
แกะรอย "ธนา ตันศิริ" 1 ในทีมทนายอดีตนายกฯ ทักษิณ คดีเงินถุงขนม 2 ล้าน ไม่มาฟังคำพิพากษาศาลฎีกา ป่วยเป็นโรคบ้านหมุน พักอยู่บำรุงราษฎร์ กับ 3 ทางออกที่ตำรวจกันตัวเองจากข้อครหา "ช่วยพาหนี"
นับตั้งแต่ศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาจำคุก "พิชิฏ ชื่นบาน" ทนายความ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และคุณหญิงพจมาน ชินวัตร "ศุภศรี ศรีสวัสดิ์" เสมียนทนายความ และ "ธนา ตันศิริ" ผู้ประสานงานคดี ฐานละเมิดอำนาจศาล กรณีเงินถุงขนม 2 ล้านบาท เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน เป็นต้นมา จนถึงขณะนี้ธนาก็ยังไม่ปรากฏตัวต่อสาธารณชน โดยอ้างถึงเหตุแห่งความเจ็บป่วยด้วยโรคเวียนศีรษะ
ศาลเห็นว่าไม่มีเหตุเพียงพอจึงมีคำสั่งยกคำร้องและให้ออกหมายจับธนามาบังคับคดีตามคำสั่งศาล จากนี้ไปหน้าที่ติดตามตัวจึงตกไปอยู่กับตำรวจอย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น !
หากว่าธนาจะเป็นเพียงทนายความธรรมดาๆ คนหนึ่ง เรื่องก็คงจบลงไม่ยากนัก ทว่าเขามีศักดิ์เป็นหลานของคุณหญิงอ้อ พจมาน ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าด้วยบารมีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ยังมีสายพันธ์อันแนบแน่นกับคนสีกากีมากหน้าหลายตา นายตำรวจระดับสูงของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) หลายคนยังแนบแน่นกับขั้วอำนาจเก่าอย่างตัดไม่ขาด
หนึ่งในนั้นคือนายตำรวจเมืองหลวงยศ พ.ต.อ.คนสนิทของนายตำรวจใหญ่มือปราบชื่อดัง ตลอดเวลาที่ยังไม่มีข่าวเกี่ยวกับธนา มีกระแสข่าวออกมาหนาหูว่า เขาผู้นี้ได้นำพาทนายหลบหนีออกนอกประเทศไปแล้ว ร้อนถึงบิ๊ก สตช.คนหนึ่งต้องตรวจสอบข่าวนี้ด้วยตนเอง และแน่นอนว่าคำตอบที่ได้คือการปฏิเสธว่าไม่รู้เรื่องใดๆ ทั้งสิ้น
การตรวจสอบข่าวของธนายังคงดำเนินต่อไป ชุดสืบสวนพบว่าเขามีแฟนสาวอยู่คนหนึ่ง ซึ่งมีความสนิทสนมกับตำรวจชั้นประทวนสังกัดสำนักงานตำรวจตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) ด่าน ตม.ท่าเรือกรุงเทพฯ จึงมีคำถามตามมาถึงความเป็นไปได้ที่ว่า นายตำรวจยศ พ.ต.อ.พาหนีออกทางท่าเรือกรุงเทพฯ แต่แล้วก็ได้รับข่าวยืนยันจากแหล่งหนึ่งว่า ธนายังคงอยู่ในเมืองไทย โดยพักรักษาตัวอยู่ที่ รพ.บำรุงราษฎร์
รพ.บำรุงราษฎร์ อยู่ในพื้นที่ สน.ลุมพินี กองบังคับการตำรวจนครบาล 5 (บก.น.5) จึงได้รับมอบหมายให้ไปตรวจสอบข่าวยังโรงพยาบาลก็พบพยานหลักฐานยืนยันได้ว่า ธนาพักรักษาตัวอยู่จริง ตั้งแต่ก่อนศาลฎีกามีคำพิพากษา
แพทย์คนหนึ่งให้ข้อมูลว่า ธนาเข้ารับการรักษาตัวจากอาการเวียนศีรษะ หรือที่ภาษาชาวบ้านเรียกว่าโรคบ้านหมุน ทางการแพทย์เรียกว่าน้ำในหูไม่สมดุล (vertigo) โดยพักอยู่ที่ห้อง 904 ชั้น 9 กระทั่งศาลมีคำพิพากษาคดีเงินถุงขนม 2 ล้านบาท เขาจึงย้ายมาพักอยู่ที่ห้อง 711 ชั้น 7
โรคบ้านหมุน คือ อาการน้ำในช่องหูที่เป็นศูนย์รักษาความสมดุลในร่างกายมนุษย์ไม่เท่ากัน คนที่เป็นโรคนี้จะมีอาการเวียนศีรษะ ลุกขึ้นไม่ได้ เมารถ เมาเรือ อาเจียนตลอดเวลา
การรักษาทำได้ด้วยการกินยาหรือฉีดยา ซึ่งชุดสืบสวนตรวจสอบกับแพทย์หลายคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า รักษาง่าย เพียงวันเดียวก็หาย !?!
ชุดสืบสวนจึงทำรายงานการสืบสวนทั้งหมดเสนอให้ผู้บังคับบัญชาระดับสูงและผู้เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณาว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไปในกรณีที่เกิดขึ้นนี้ ด้วยอาการของโรคและการรักษาที่แพทย์ยืนยันว่า กินยาหรือฉีดยาเพียงวันเดียวก็หายนั้น ค้านกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับธนา ตำรวจในฐานะผู้ปฏิบัติให้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย เมื่อธนามีหมายจับแล้วจะทำอย่างไรต่อไป เพื่อคลายข้อครหาที่ประเดประดังเข้ามาตลอดว่า อาจมีความพยายามช่วยเหลือทนายความผู้นี้จากนายตำรวจขั้วอำนาจเก่า
กระทั่งมีการหารือกันแล้วจึงมีคำสั่งให้เฝ้าติดตามดูพฤติกรรมอย่างใกล้ชิด พร้อมกับ 3 แนวทางปฏิบัติ คือ หากมีพฤติกรรมที่เชื่อได้ว่าอาจจะหลบหนีก็ให้จับกุมตัวได้ทันที หรือหากมีการติดต่อเข้ามอบตัวกับศาล เพื่อให้ศาลเพิกถอนหมายจับ แล้วออกหมายขังส่งตัวเข้าเรือนจำก็แค่ติดตามดูอยู่ห่างๆ
แนวทางสุดท้าย คือ ทำเรื่องร้องขอต่อศาล รายงานให้ศาลทราบถึงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสถานการณ์ของธนา โรค ตลอดจนการรักษา แล้วขอให้ศาลมีคำสั่งให้ส่งตัวเข้าไปรักษาในโรงพยาบาลในเรือนจำแทน
เพราะหากธนาหายตัวไปคนที่ถูกเพ่งเล็งมากที่สุดก็คงหนีไม่พ้นตำรวจ นี่จึงเป็น 3 ทางออกที่ตำรวจพยายามกันตัวออกมาจากข้อครหาทั้งปวง
ส่วนการดำเนินคดีอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 144 ฐานให้สินบนแก่เจ้าหน้าที่นั้น ขณะนี้เลขานุการศาลฎีกาได้เข้าแจ้งความกับผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งสามคนแล้ว
"สิทธิโชค ศรีเจริญ" ประธานอนุกรรมการมารยาทสภาทนายความ ระบุว่า ความผิดของพิชิฏ ชื่นบาน ศุภศรี ศรีสวัสดิ์ และธนา ตันศิริ ทีมทนายความของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และครอบครัว ถือว่ามีความผิดชัดเจน เพราะศาลฎีกามีคำสั่งให้จำคุกคนละ 6 เดือน ฐานละเมิดอำนาจศาลหรือประพฤติตนไม่เรียบร้อยภายในบริเวณศาล ถือเป็นโทษร้ายแรงที่สุด เพราะเป็นการทำลายกระบวนการยุติธรรม
ขณะนี้ สภาทนายความได้ประสานไปยังฝ่ายธุรการศาลฎีกา เพื่อขอคัดสำเนาคำพิพากษาศาล พร้อมหนังสือแจ้งกรณีที่ทนายถูกลงโทษจำคุก ซึ่งศาลพิจารณาถึงที่สุดแล้ว โดยคาดว่าภายในสัปดาห์หน้าน่าจะได้รับหนังสือแจ้งและสำเนาคำพิพากษาศาล หลังจากนั้นจะมีการประชุมคณะกรรมการมารยาทสภาทนายความ เพื่อพิจารณาลบชื่อทั้งสามออกจากบัญชีผู้ประกอบวิชาชีพทนายความ
คณะกรรมการมารยาทสภาทนายความมีทั้งหมด 15 คน ซึ่งการพิจารณาลบชื่อทนายความทั้ง 3 คน ต้องได้รับเสียงเห็นชอบจากคณะกรรมการเสียงข้างมาก หมายความว่าต้องได้รับเสียงเห็นชอบอย่างน้อย 8 คนขึ้นไป โดยไม่จำเป็นต้องเรียกทนายทั้ง 3 คนมาชี้แจง เพราะถือว่าคำพิพากษาศาลฎีกา เป็นสิ่งชัดเจนแล้ว ตามมาตรา 69 พ.ร.บ.สภาทนายความ ที่ระบุว่า กรณีที่ทนายความต้องคำพิพากษาศาลถึงที่สุดให้จำคุก ไม่ใช่คดีหมิ่นประมาทหรือคดีลหุโทษ ให้ศาลแจ้งสภาทนายความเสนอให้กรรมการมารยาทประชุมเพื่อมีมติถอนชื่อ
หลังจากทั้งสามถูกลบชื่อออกจากบัญชีผู้ประกอบวิชาชีพทนายความแล้วจะไม่สามารถประกอบอาชีพทนายได้เป็นเวลา 5 ปี !!!
เมื่อครบ 5 ปีแล้ว หากทั้ง 3 คน จะกลับมาประกอบอาชีพทนายความอีก จะต้องทำเรื่องขออนุญาตต่อสภาทนายความ เพื่อขอขึ้นบัญชีผู้ประกอบวิชาชีพทนายความใหม่ โดยสภาทนายความมีคณะกรรมการพิจารณาเรื่องดังกล่าว 25 คน และต้องได้รับเสียงส่วนมากคืออย่างน้อย 13 คน ให้ความเห็นชอบจึงจะสามารถกลับเข้ามาประกอบอาชีพทนายความใหม่ได้
"ในการพิจารณานั้น ไม่ใช่ครบกำหนด 5 ปีแล้วทั้ง 3 คน จะสามารถกลับมาเป็นทนายความได้เลย จะต้องมีหนังสือยืนยันจากภาคสังคมว่า ทั้งสามได้ทำประโยชน์อะไรเพื่อสังคมจนเชื่อได้ว่า ได้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมกลายเป็นคนดีต่อสังคมแล้ว และมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเป็นทนายความได้ จึงจะมีการพิจารณารับกลับเป็นทนายความได้"
อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาไม่เคยมีทนายความทำความผิดโดยการติดสินบนศาลมาก่อน แต่มีกรณีถูกพิจารณาลบรายชื่อจากบัญชีผู้ประกอบวิชาชีพทนายความอยู่เฉลี่ยเดือนละ 2 ราย โดยการกระทำผิดในลักษณะฉ้อโกงทรัพย์ ยักยอกทรัพย์ เอาทรัพย์ลูกความ
ข้อมูลและภาพประกอบจาก






