รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานงุบงิบชง คณะรัฐมนตรีเห็นชอบคอมพ์ฉาว 2.8 พันล้าน อ้างปรับลดโครงการเหลือ 2.3 พันล้าน รองรับงาน สปส.หน่วยเดียว เลี่ยงขัดคำสั่งกฤษฎีกา ผู้นำแรงงานยื่น กมธ. วุฒิสภาสอบสวน เล็งฟ้องศาลปกครองระงับ
แหล่งข่าวจากกระทรวงแรงงานเปิดเผย เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม ว่า ขณะนี้ได้มีคำสั่งจากผู้บริหารกระทรวงให้สำนักงานประกันสังคม (สปส.) เดินหน้าดำเนินโครงการจัดหาและดำเนินการระบบงานเทคโนโลยีสารสนเทศแรงงาน หรือรู้จักกันในชื่อโครงการ "คอมพิวเตอร์ 2.8 พันล้านบาท" ต่อไป หลังจาก เมื่อวันที่ 24 มิถุนายนที่ผ่านมา นางอุไรวรรณ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้เสนอเรื่องให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) ทราบเพื่อดำเนินโครงการต่อไป หลังจากหยุดชะงักมานานนับปี เนื่องจากเกิดความไม่โปร่งใส ประกอบกับคณะกรรมการกฤษฎีกาตีความว่า สปส.ไม่สามารถนำเงินกองทุนไปใช้ในโครงการติดตั้งคอมพิวเตอร์ให้หน่วยงานอื่นในสังกัดกระทรวงแรงงานได้ เพราะผิดวัตถุประสงค์
แหล่งข่าวกล่าวว่า ฝ่ายการเมืองได้นำเสนอโครงการต่อ ครม.อย่างเงียบๆ เพราะกลัวจะถูกวิพากษ์วิจารณ์ ข้าราชการที่เกี่ยวข้องหลายคนอึดอัดใจ เพราะหลายเรื่องหมิ่นเหม่ต่อการทำผิดกฎหมายมาก แต่เมื่อผู้ใหญ่สั่งการมาก็ต้องทำ เนื่องจากนายไพโรจน์ สุขสัมฤทธิ์ อดีตเลขาธิการ สปส.ได้ไปลงนามกับธุรกิจค้าร่วม เอส โอ เอ คอนเซอร์เทียม แล้วตั้งแต่ วันที่ 28 กันยายน 2549 เมื่อมีการชะลอโครงการตามคำตีความของกฤษฎีกา บริษัทดังกล่าวได้ยื่นฟ้องศาลปกครองเอาผิดกับผู้บริหารกระทรวงแรงงานหลายคน ต่อมามีเจรจากันในทางลับเพื่อให้บริษัทเอกชนถอนฟ้องแลกกับการเดินหน้าโครงการต่อไป
แหล่งข่าวกล่าวว่า ในหนังสือที่กระทรวงแรงงานทำถึง ครม.ระบุว่า ได้แต่งตั้งคณะที่ปรึกษาโครงการดังกล่าว ซึ่งประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีสารสนเทศจากหน่วยงานต่างๆ 7 คน เพื่อศึกษาวิเคราะห์แนวทางดำเนินโครงการ และได้ตรวจสอบการปรับลดขอบเขตเนื้องานและประเมินค่าใช้จ่ายในส่วนเนื้องานของ สปส. มีข้อสรุปดังนี้ โครงการจัดหางานและดำเนินการระบบงานเทคโนโลยีสารสนเทศแรงงานของ สปส. เป็นระบบงานที่มีความสำคัญควรดำเนินงานต่อไป โดยตัดระบบคอมพิวเตอร์ที่สนับสนุนการทำงานหลักของส่วนราชการอื่นที่ไม่ใช่ของ สปส.ออก ตามความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา และพัฒนาระบบเชื่อมต่อไปยังระบบงานของสำนักงานปลัดกระทรวงแรงงาน กรมการจัดหางาน กรมพัฒนาฝีมือแรงงานและกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
หนังสือดังกล่าวยังระบุด้วยว่า คณะกรรมการพิจารณาร่างกฎหมายกระทรวงงานมีมติว่า สปส.สามารถปรับปรุงแก้ไขสัญญาได้ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ แต่มีข้อสังเกตว่าหากมีการแก้ไขหรือปรับลดโครงการต้องรายงาน ครม.เพื่อทราบ บัดนี้โครงการดังกล่าวมีข้อยุติให้ดำเนินการเฉพาะของ สปส.ไปพลางก่อน โดยการปรับลดส่วนงานของโครงการพร้อมปรับลดวงเงินจากสัญญาเดิมจำนวน 2,894,136,000 บาท เป็นจำนวน 2,355,391,305 บาท ใช้เงินกองทุนประกันสังคม ซึ่งอนุมัติไว้แล้ว
ด้าน น.ส.วิไลวรรณ แซ่เตีย ประธานคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.) กล่าวว่า ไม่เห็นด้วยกับโครงการนี้มาตั้งแต่ต้น เพราะนำเงินกองทุนถึง 2.8 พันล้าน ไปติดตั้งคอมพิวเตอร์ให้หน่วยงานอื่นโดยถือว่าเป็นงบประมาณที่สูงเกินไป ที่น่าสนใจคือ การลงนามจัดจ้างบริษัทเอกชนในครั้งนั้นเปิดโอกาสให้มีการแข่งขันมากน้อยแค่ไหน ทำไมถึงรีบร้อนนัก แม้แต่คณะกรรมการกฤษฎีกาเองระบุชัดว่า ไม่สามารถดำเนินการได้ แต่กระทรวงแรงงานยังดันทุกรังเสนอกันใหม่อีก แทนที่จะรื้อใหม่ทั้งหมด ทั้งๆ ที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สอบสวนอยู่ และยังไม่ได้ข้อสรุปออกมา
น.ส.วิไลวรรณกล่าวต่อไปว่า ในวันที่ 10 กรกฎาคม จะนำเรื่องไปยื่น น.ส.รสนา โตสิตระกูล ประธานคณะกรรมธิการศึกษาตรวจสอบเรื่องการทุจริตและเสริมสร้างธรรมาภิบาล วุฒิสภา ตรวจสอบต่อไป ก่อนหน้านี้เคยปรึกษากับคณะทำงานสภาทนายความ ว่าควรนำเรื่องยื่นฟ้องศาลปกครองหรือไม่ เพราะมีมติของกฤษฎีกาชัดเจนแล้ว แต่กระทรวงแรงงานยังเดินหน้าอีก แถมมีเบื้องหลังซับซ้อน เชื่อว่ามีการใช้อำนาจทางการเมืองเข้ามาล้วงลูก
ข้อมูลจาก
ภาพประกอบทางอินเทอร์เน็ต






