
แค่ลำพังตัวเกาะอีสเตอร์ (Ester Island) อันเป็นเกาะเล็กกระจิริดตั้งอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิกอย่างโดดเดี่ยวห่างไกลนั่นน่ะ ไม่มีความสลักสำคัญอะไรนักหรอกครับ ความสำมะคัญที่ทำให้ใครๆ มานั่งถกเถียงกันอย่างหัวเรื่องที่จะคุยกับท่านผู้อ่านในวันนี้ มันอยู่ที่รูปสลักลึกลับแปลกประหลาด ที่เรียงรายกันอยู่ตามชายหาดของเกาะเป็นจำนวนมากมายร่วม 600 รูป ต่างหากละครับ
รูปสลักศิลาจำนวน 600 รูปดังกล่าวนั้นถ้าเป็นรูปขนาดเท่าคนธรรมดาๆ มันก็ไม่ประหลาดอะไรหรอกครับ แต่ว่าขนาดของรูปสลักแต่ละรูปมันบะหลาก๋าบานตะไทเหลือเกินน่ะซีครับผม มีหลายรูปสูงใหญ่โย่งโก้งเท่าตึก 4 ชั้น หนักปาเข้าไปร่วม 30 ตัน ขนาดรองๆลงมามีส่วนสูง 30 ฟุต และหนักยี่สิบตันลงไปจนถึงขนาดเล็กที่สุดสูง 18 ฟุต หนัก 12 ตันเศษ กับทั้งยังมีรูปสลักที่ยังไม่เสร็จทิ้งค้างไว้ที่นั่น ไม่ได้ชักลากเอามาตั้งเรียงตามชายหาดอย่างรูปอื่นๆ ก็มีอีกเหมือนกันครับ ทำให้เกิดความฉงนฉงายว่าใครหนอมาสลักรูปหน้าศิลามหึมาด้วยความประสงค์อะไร
ก็คงเพราะความประหลาดอัศจรรย์และลึกลับน่าสนใจของรูปศิลาสลักเหล่านี้น่ะซีครับ ทำให้ผู้คนที่รู้เรื่องฉงนฉงายไปตามๆกัน โดยเฉพาะนักลึกลับศาสตร์ เอริค ฟอน ดานิเก้น นั่นไม่ฉงนเปล่า ยังพยายามหาคำตอบให้กับปริศนาลับของรูปสลักแห่งเกาะอีสเตอร์อีกด้วย โดยหาหลักฐานมาหว่านล้อมว่า รูปเหล่านั้นเป็นผลงานของมนุษย์ต่างดาวที่มาเยือนพิภพในอดีต ทำให้นักโบราณคดี และนักวิชาการต้องออกโรงคัดค้าน ซึ่งการโต้แย้งของนักวิชาการกับนักวิชาเกินอย่างดานิเก้น (เขาไม่มีคุณวุฒิอื่นใดรับรองความรู้ นอกจากมีอาชีพเป็นนักธุรกิจโรงแรมผู้สนใจเรื่องลึกลับทั่วโลกเท่านั้น)

ตรงนี้ขอสาวประวัติเกาะอีสเตอร์ให้ท่านรับทราบกันอีกสักนิดเหอะว่า เกาะนี้มีขนาดเล็กเพียง 105 ตารางไมล์ห่างจากประเทศชิลีที่เป็นเจ้าของถึง 2,350 ไมล์ ผู้ค้นพบเกาะเป็นคนแรกได้แก่ นักเดินเรือชาวดัตช์ชื่อจาค็อบร็อกเกวีน ซึ่งค้นพบในวันอีสเตอร์ของปี ค.ศ.1722 จึงตั้งชื่อเกาะว่า อีสเตอร์ ไอส์แลนด์ ไงล่ะครับ
การสำรวจทางโบราณคดีที่เกาะนี้ทำขึ้นในปี 1955 คณะนักโบราณคดีชุดนี้นำโดยนักสำรวจและนักมานุษยวิทยา คนที่ท่านผู้ที่สนใจเรื่องการผจญภัยคงรู้จักดีคือ "ธอร์ เฮเยอร์ดาร์ล" (Thor Heyerdahl) ไงครับ เขาคนนี้เคยต่อแพไม้ ชื่อ "คอน-ติกิ" เดินทางสำรวจทะเลใต้ประสบความสำเร็จโด่งดังมาแล้วในปี 1947
ธอร์ เฮเยอร์ดาห์ล กับคณะของเขาซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญทางโบราณคดี และมานุษยวิทยาระดับด็อกเตอร์หลายคน ได้ศึกษาอารยธรรมของชาวพื้นเมืองอยู่นานถึง 6 เดือน จึงได้ความรู้ว่าแรกเริ่มเดิมทีชาวเกาะประกอบด้วยชน 2 พวก พวกหนึ่งผิวขาว ผมแดง รูปร่างสูงใหญ่ ใบหูยาว จึงเรียกกันว่าพวก "หูยาว" พวกนี้มีความฉลาดกว่าพวกผิวคล้ำตัวเล็กหูสั้น ซึ่งเรียกว่าพวก "หูสั้น" พวกหูยาวจึงได้ปกครองพวกหูสั้นและออกคำสั่ง ให้สร้างรูปศิลาสลักหน้าคนขนาดมหึมาไว้เต็มชายหาดเพื่อสักการบูชา เพราะว่าหน้าตาของคนในรูปสลักนั้นเหมือนกับบรรพบุรุษของชาวหูยาว แต่ต่อมาพวกหูสั้นทนกดขี่ข่มเหงไม่ไหว ก็เลยลุกฮือขึ้นเป็นขบถโค่นล้มพวกหูยาวเสียจนสำเร็จในปี ค.ศ.1680 แล้วก็เลิกสร้างรูปศิลาสลักต่อไปอีก นี่ก็เป็นเหตุผลว่าทำไมรูปศิลาสลักบางรูปถึงยังสลักไม่เสร็จ และบางรูปก็ทิ้งไว้ที่ภูเขาซึ่งสกัดเอาหินออกมาสลักนั่นเอง
ธอร์ เฮเยอร์ดาห์ล เขียนหนังสือเกี่ยวกับ การสำรวจของเขาอย่างละเอียดให้ชื่อ เป็นภาษาพื้นเมืองว่า "อากู-อากู" โดยเขียนและพิมพ์ออกจำหน่ายในราวปี 1957
ต่อมาในราวปี 1960 ก็มีหนังสือเล่มหนึ่งฮิตตูมตามขึ้นมาสนั่นโลก ภายใต้ชื่อว่า "รถทรงขององค์พระเจ้า" (Chariots of the Gods?) เขียนโดยนักลึกลับศาสตร์ เอริค ฟอน ดานิเก้น คนนั้นแหละ
ดานิเก้นบอกว่า รูปศิลาสลักขนาดสูงตั้ง 30 ฟุต และหนักตั้ง 30 ตัน อย่างนั้น มันเกินกำลังที่ชาวเกาะในสมัยหลายร้อยปีก่อน จะสลักขึ้นด้วยเครื่องมือแบบง่ายๆ ที่เขาใช้กันอยู่สมัยโบราณ ประกอบกับหินที่ใช้สลักก็แข็งเหลือกำลัง นอกจากนี้ ชาวเกาะซึ่งไปสกัดหินสลักเป็นรูปหน้าคนจากภูเขาห่างเข้าไปในตัวเกาะ สามารถชักลากรูปสลักใหญ่ปานนั้นมาได้อย่างไรในเมื่อไม่รู้จักการใช้ ล้อเลื่อนเลยสักนิด?
ดานิเก้นจึงสรุปว่า ผู้ที่มาสร้างรูปศิลามหึมาไว้นี้คือ มนุษย์ต่างดาวที่เดินทางมาจากโลกอื่น แวะลงพักที่เกาะนี้ชั่วคราวด้วยจุดประสงค์บางประการแล้ว ก็เลยใช้เวลาว่างสลักรูปเล่นด้วยเครื่องมือที่ "คมจนตัดหินได้เหมือนใช้มีดตัดเนย" ครั้นพอยานอวกาศมารับพวกเขา มนุษย์ต่างดาวก็ทิ้งรูปสลักที่สลักเล่นๆ ให้ค้างคาไว้แล้วพากันขึ้นจานผีกลับคืนสู่ดวงดาวของตน
มีหลักฐานสำคัญบางประการที่ดานิเก้นใช้อ้างถึง ในการยืนยันเรื่องมนุษย์ต่างดาวของเขา เป็นหลักฐานที่มาจากตำนานของคนพื้นเมืองในเกาะเอง คือคนพวกนี้มีตำนานของ "มนุษย์ปักษี" (Bird men) ซึ่งบินได้เหมือนนก ชาวเกาะเชื่อว่า บรรพชนในอดีตของพวกเขาสามารถบินได้ในอากาศเหมือนนกทีเดียวครับ แต่เนื่องจากว่าอารยธรรมของชาวเกาะได้สูญไป เพราะการทำลายล้างของนักเดินเรือผิวขาวเกือบหมด ดานิเก้นจึงสรุปเอาดื้อๆว่าบรรพชนที่บินได้ เหมือนนกนั่นน่ะคือ มนุษย์ต่างดาว
หลักฐานอีกอย่างที่ดานิเก้นพบมาก็คือ บนเกาะมีร่องรอยของถนนสายใหญ่ลาดไปตกทะเล ซึ่งแสดงว่า บางส่วนของเกาะจมหายลงไปในทะเลด้วย ดานิเก้นบอกว่า ถนนนี้แหละมนุษย์ต่างดาวมาสร้างไว ้เพื่อให้สะดวกในการพักอยู่ชั่วคราวของพวกเขา กับทั้งแผ่นดินเหนียวจารึกอักขระที่ยังไม่มีใครอ่านออก ก็น่าจะเกี่ยวข้องกับมนุษย์ต่างดาวด้วย

น่าประหลาดที่ว่า ธอร์ เฮเยอร์ดาห์ล คนสำรวจเกาะอย่างถี่ถ้วนและเขียนหนังสือไว้ก่อนหน้าดานิเก้นตั้งหลายปีกลับวางเฉย ไม่โต้แย้งอะไรทั้งนั้น ร้อนถึงนักวิชาการบางคนต้องเต้นผางออกมาแสดงแทน ได้แก่ ดร.คลิฟฟอร์ด วิลสัน นักโบราณคดีใหญ่ แห่งมหาวิทยาลัยเซาธ์ แคโรไลนา เขียนหนังสือชื่อ "Crash Go The Chariots" กล่าวหาว่า ข้ออ้างเกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาว มาเยือนเกาะอีสเตอร์ก็ดี เรื่องมนุษย์ต่างดาวช่วยสร้างพีระมิดก็ดี ล้วนไขปัญหาได้ง่ายๆ ด้วยวิชาโบราณคดีเท่านั้น นอกจาก ดร.คนนี้แล้ว ในปี 1976 ยังมีนักวิชาการอีกคนชื่อโรแนลด์ สตอรี่ เป็นเดือดเป็นแค้นอีท่าไหนไม่ทราบ นอกจากเขียนประท้วงดานิเก้นแล้ว ยังเรียกร้องให้ธอร์ เฮเยอร์ดาห์ล ออกมาแถลงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับความลับของรูปสลักมหึมาเหล่านั้นอีกด้วย
เฮเยอร์ดาห์ลคิดอยู่นานจึงตกลงใจเขียนสรุปย่อ การสำรวจความลับบนเกาะอีสเตอร์ออกสู่ประชาชน เขาบอกว่า เท่าที่ไปศึกษาคลุกคลีอยู่ กับชาวเกาะนานตั้ง 6 เดือนนั้น ได้รู้ความลับความหลังของรูปสลักมาว่า อายุอานามของรูปสลักเหล่านี้มิได้เก่าแก่เก๋ากึ๊กส์อย่างที่เข้าใจกัน มันแบ่งออกเป็น 3 สมัย สมัยที่เริ่มสลักรูปหน้าคนเป็นครั้งแรกเริ่มขึ้นในปี ค.ศ.300 หรือราวพันเจ็ดร้อยปีเศษมาแล้ว เป็นรูปสลักขนาดไม่ใหญ่นัก แสดงว่าชาวพื้นเมืองยังไม่มีความรู้เท่าที่ควร สมัยต่อมาสลักขึ้นในราวปี ค.ศ.1100 รูปใหญ่โตและหนักมากขึ้น ซึ่งแสดงถึงความรู้ความชำนาญของช่างมากขึ้น เพราะปรากฏว่าบางรูปสูงถึง 32 ฟุต หนัก 32 ตันเชียวครับ ต่อมาเป็นสมัยที่ 3 การแกะสลักหินเปลี่ยนไปเป็นการสลักเรื่องราวของ "มนุษย์ปักษี" อันเป็นบรรพชนในอดีตกาลของพวกเขา จนถึง ค.ศ. 1680 ชาวหูสั้นที่ตก เป็นเบี้ยล่างสลักรูปเคารพให้แก่ชาวหูยาว จึงทำรัฐประหารสำเร็จ และเลิกสลักรูปเคารพขนาดมหึมาตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
เมื่อเฮเยอร์ดาห์ลถามหัวหน้าชาวเกาะว่า คนโบราณขนรูปสลักขนาดมหึมานี้จากภูเขากลางเกาะมาสู่ชายฝั่งได้อย่างไร หัวหน้าตอบหน้าตาเฉยว่า"มันเดินมาเอง!"
เฮเยอร์ดาห์ลเชื่อเหมือนกันว่ารูปสลักมัน "เดิน" มาจากภูเขา แต่ไม่ได้เดินเองด้วยอำนาจมนตราใดๆ หากแต่เดินมาได้ด้วยแรงชักลากของชาวเกาะโบราณแหละครับ เขาทดลองดูแล้วเห็นว่า ไม่จำเป็นจะต้องใช้คนเป็นพันหรือมากมายอย่างที่ดานิเก้นประมาณไว้เลย แค่ 500 คนก็เหลือแหล่แล้วที่จะชักลากรูปสลักมาที่ชายหาดซึ่งทำทางลาดรอไว้ก่อนแล้ว อาศัยทางลาดนั้นก็ทำให้เข็นรูปสลักขึ้นได้โดยไม่ยาก การชักลากรูปสลักมาจากภูเขายังตอบปัญหาของดานิเก้นที่ว่ามีถนนอย่างดีในตัวเกาะด้วย ถนนนั้นทำไว้สำหรับชักลากรูปสลักนี่เองครับ
เฮเยอร์ดาห์ลยังกล่าวต่อไปอีกว่า ถ้ามนุษย์ต่างดาวมาสร้างรูปสลักเอาไว้จริงแล้ว ทำไมจึงไม่ทิ้งเครื่องมืออันแสดงถึงความเจริญสูงสุดเป็นต้นว่าโลหะหรือพลาสติกไว้บ้างเล่า? ส่วนตำนานมนุษย์ปักษีนั้น เฮเยอร์ดาห์ลก็บอกว่ามันเป็นเรื่องของขนบธรรมเนียมดั้งเดิม ของชาวเกาะต่างหากที่ว่าในอดีต คนที่จะเป็นหัวหน้าชาวเกาะจะต้องแสดงความสามารถให้ประจักษ์ ด้วยการไต่ขึ้นไปบนยอดผาริมทะเลแล้วร่อนลงมาสู่ที่ต่ำ ในระหว่างที่ร่อนลงมาก็ต้องฉวยไข่นกทะเลที่ทำรังบนชะง่อนหินหน้าผาให้ได้ แล้วจึงตกลงสู่พื้นน้ำและดำลงไป ถ้าใครโผล่ขึ้นมาโดยปลอดภัยละก็แสดงว่าเก่ง สมควรจะรับไว้เป็นหัวหน้าได้
อีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งค้านความเห็นของดานิเก้นอย่างชนิดตีแสกหน้าเลยก็คือ เฮเยอร์ดาห์ลยืนยันหนักแน่นว่า หินที่ใช้สลักรูปหน้าคนนี้ไม่แข็ง มันเป็นหินภูเขาไฟที่เกิดจากการทับถมของขี้เถ้าจากปล่องภูเขาไฟนั่นเอง ถ้าชุบน้ำให้เปียกก็สามารถสลักได้โดยง่ายดาย เขาได้ขอให้หัวหน้าแสดงการสลักหินให้ดู ปรากฏว่าใช้คนแค่ 6 คนแกะสลักหินใหญ่ ด้วยขวานแบบโบราณเสร็จภายในเวลาไม่ถึงเดือนเท่านั้น
เป็นอันว่า ธอร์ เฮเยอร์ดาห์ล กล่าวแก้ข้อคิดของดานิเก้นได้ครบหมดทุกข้อเลยนะครับ ไม่ว่าจะในแง่ตำนานหรือโบราณคดี
แต่ผมยังสงสัยอยู่!! เช่นเดียวกับคนเกือบครึ่งโลกที่อ่านหนังสือของดานิเก้น ต่างก็สงสัยเหมือนกัน
เฮเยอร์ดาห์ลและคณะนักโบราณคดีพากันไปสำรวจเกาะอีสเตอร์เมื่อปี 1955 นี้เอง เป็นสมัยที่ทุกอย่างเจริญหมดแล้ว แม้ชาวเกาะจะด้อยพัฒนาอยู่แต่ก็ไม่ด้อยเสียจนไม่รู้จักอะไรเลย ฉะนั้น อะไรที่คนในสมัยนี้บอกว่าง่ายดายนั้น ในสมัยพันเจ็ดร้อยกว่าปีก่อน พวกเขาอาจเห็นว่ายากแสนเข็ญก็ได้
และคำอธิบายเกี่ยวกับ "มนุษย์ปักษี" ก็ฟังทะแม่งชอบกล เพราะคนที่ขึ้นไปกระโดดจากหน้าผาสูงพุ่งลงสู่น้ำทะเลเพื่อชิงความเป็นหัวหน้าน่ะ คงไม่ต้องติดปีกเป็นมนุษย์ปักษีด้วยล่ะกระมัง มนุษย์ปักษี ในตำนานน่าจะหมายถึงคนที่ติดปีกจริงๆ ซึ่งอาจจะเป็นปีกเครื่องร่อนหรือปีกเครื่องบินเล็กก็ได้
สิ่งที่น่าคิดอีกอย่างก็คือ ถ้าพวก "หูยาว" บังคับพวก "หูสั้น" ให้สลักรูปบรรพบุรุษของพวกเขาไว้บูชาจริงก็ทำไมต้องสลักกันมากมายตั้งหกร้อยกว่ารูปยังงี้ และทำไมไม่สลักไว้ที่เชิงภูเขาจะได้ไม้ต้องเคลื่อนย้ายมาให้ลำบาก?...
คุณผู้อ่านช่วยผมตอบหน่อยสิครับ
ข้อมูลและภาพประกอบจาก






