อารยะขัดขืน - อหิงสา - สัตยาเคราะห์

อหิงสา


         ความย่อ : ดร.ประมวล เพ็งจันทร์ นักวิชาการอิสระ กล่าวในเวทีเสวนา "วิกฤตการเมืองไทย: ขัดขืนอย่างอารยะหรืออนารยะขัดขืน" ในการตีความหมายอารยะขัดขืนที่มหาตมะ คานธีได้เคยนำหลักอหิงสา และสัตยาเคราะห์มาใช้ในอินเดียอย่างได้ผลต่อประเทศล่าอาณานิคม อย่างเช่น อังกฤษ โดยเฉพาะวิธีการที่เริ่มต้นจากจิตใจไม่เบียดเบียนผู้อื่น ถือเป็นหลักสำคัญของอารยะขัดขืน

          ความตึงเครียดทางการเมืองมาถึงขั้นแตกปะทุ ด้วยการปะทะกันด้วยความรุนแรง จนมีกลุ่มผู้ชุมนุมจำนวนหนึ่งเสียชีวิตแล้วนั้น ไม่ว่าจะเป็นคู่กรณีของฝั่งใดที่ต้องจบชีวิตลง ก็นับเป็นความเศร้าสลดใจต่อสังคมไทยอย่างยิ่ง

          ท่ามกลางสถานการณ์วิกฤตการเมืองในปัจจุบัน ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นนี้ สังคมไทยจะมองฝ่าไปข้างหน้าอย่างมีสันติ-ขันติ-เลี่ยงการนองเลือด และมีสติรู้เท่าทันกลเกมส์การเมืองนี้ร่วมกันได้อย่างไร ติดตามอ่านทัศนะวิเคราะห์ โดย ดร.ประมวล เพ็งจันทร์ นักวิชาการอิสระ จากเวทีเสวนา วิกฤตการเมืองไทย: ขัดขืนอย่างอารยะหรืออนารยะขัดขืน? ณ ห้องประชุมชั้น 2 ศูนย์สตรีศึกษา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2551

          ดร.ประมวล เพ็งจันทร์ นักวิชาการอิสระ กล่าวว่า ประเด็นเรื่องอารยะขัดขืนจากบทเรียนที่ผมเคยศึกษา โดยตีกรอบเฉพาะความหมายที่ถูกนำมาใช้โดยมหาตมะ คานธี และกลุ่มของท่านที่เรียกร้องอิสรภาพจากการปกครองของประเทศอังกฤษที่เข้ามาปกครองอินเดีย ในฐานะเป็นอาณานิคม ทั้งนี้ คำว่าอารยะขัดขืนเริ่มเป็นที่พูดถึงเสมอ เมื่อมีความขัดแย้งทางการเมืองรุนแรง

          "แนวทางอหิงสา คือ การไม่เบียดเบียน ซึ่งการไม่เบียดเบียนนี้ ต้องตีความให้ลุ่มลึกมากกว่ากิริยาทางกาย กล่าวคือ หลักอหิงสาที่แท้จริง ที่ลุ่มลึกที่สุดคือ การเริ่มต้นจากจิตใจ ซึ่งไม่คิดเบียดเบียนผู้อื่น ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญมาก"

          สิ่งสำคัญที่จำเป็นจะต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับอารยะขัดขืน มีประเด็นสำคัญอย่างน้อย 3 ประการ ตามที่มหาตมะ คานธี เน้นย้ำ คือ

           1.การกระทำเช่นนี้จะต้องเป็นไปในแนวทางอหิงสา คือ การไม่เบียดเบียน ซึ่งการไม่เบียดเบียนนี้ ต้องตีความให้ลุ่มลึกมากกว่ากิริยาทางกาย กล่าวคือ หลักอหิงสาที่แท้จริง ที่ลุ่มลึกที่สุดคือ การเริ่มต้นจากจิตใจ ซึ่งไม่คิดเบียดเบียนผู้อื่น ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เป็นการประยุกต์มาจากหลักคำสอนของหลักศาสนาฮินดู เชน และพุทธ

          แต่การชุมนุมทางการเมืองดังที่เห็นในปัจจุบันก็เห็นแล้วว่า เริ่มต้นด้วยการเบียดเบียนกันในเชิงความคิดเสียก่อนแล้ว แต่ประเด็นนี้เป็นเรื่องนามธรรมมาก เราก็คงไม่สามารถไปวินิจฉัยได้ เพียงแต่สิ่งที่สำคัญที่อยากจะให้เห็นก็คือ ความรู้สึกนึกคิดจิตใจของคน

           2. การไม่เบียดเบียนกันด้วยวาจา ซึ่งมุ่งประหัตประหาร หรือใช้อำนาจในการสื่อสารที่ตัวเองมีอยู่ ไปเบียดเบียนทำลายคู่กรณี หรือคู่ตรงกันข้าม ให้ต้องประสบกับสิ่งที่พึงปรารถนา หรือสิ่งที่เลวร้ายขึ้น

           3. การไม่เบียดเบียนกันในทางร่างกาย ไม่ทุบตี

          "การที่เราบอกว่าจะใช้หลักอหิงสา เราคอยแต่จ้องมองว่าใครจะตีหัวใครเท่านั้นก่อน แต่ผมเข้าใจว่าการแสดงออกทางกายด้วยการทุบตี ทำร้ายร่างกายกัน เป็นปลายเหตุ เพราะสิ่งสำคัญมากๆ ก็คือ เราไม่ได้ทบทวนไปสู่ประเด็นที่ว่า กลุ่มคนแต่ละกลุ่มที่สถาปนาตัวเองขึ้นมาเป็นตัวแทนของผู้อื่น ได้ชักนำให้ผู้ร่วมชุมนุมให้เกิดความคิดในจิตใจที่จะเบียดเบียนผู้อื่นหรือไม่ มีการโน้มน้าวที่จะทำให้เกิดการใช้วาจาประหัตประหารผู้อื่นหรือไม่"

          "เราต้องไม่ปกปิดความเท็จ หรือทำให้บิดเบือนความจริง สิ่งนี้จะเป็นสิ่งที่ทำให้สามารถยึดหลักการอหิงสาโดยสันติวิธีได้ แต่ถ้าเมื่อใดที่มีการบิดเบือน ให้ข้อมูลที่ไม่ตรงความจริง ถ้าเมื่อใดที่เราพยายามจะทำให้คนยึดถือ หรือลุ่มหลงอยู่กับสิ่งที่ไม่เป็นจริง หรือความเชื่ออะไรบางอย่างที่ไม่ตรงข้อเท็จจริง ความรุนแรงและการเบียดเบียนก็จะเกิดขึ้นได้"

          มหาตมะ คานธี เน้นย้ำในหลักการของอหิงสาอีกประเด็นหนึ่งที่สำคัญ คือ สัตยาเคราะห์ หรือ เคารพความจริง หมายความว่า การที่เราจะแสดงออก หรือทำอะไร เราต้องไม่ปกปิดความเท็จ หรือทำให้บิดเบือนความจริง สิ่งนี้จะเป็นสิ่งที่ทำให้สามารถยึดหลักการอหิงสาโดยสันติวิธีได้ แต่ถ้าเมื่อใดที่มีการบิดเบือนให้ข้อมูลที่ไม่ตรงความจริง ถ้าเมื่อใดที่เราพยายามจะทำให้คนยึดถือ หรือลุ่มหลงอยู่กับสิ่งที่ไม่เป็นจริง หรือความเชื่ออะไรบางอย่างที่ไม่ตรงข้อเท็จจริง ความรุนแรง และการเบียดเบียนก็จะเกิดขึ้นได้

          เพราะฉะนั้นหลักการอหิงสาต้องสัมพันธ์กับสิ่งที่เรียกว่า สัตยาเคราะห์ หรือการเคารพในความจริง ซึ่งสิ่งที่เราจะต้องมาคุยกันในปัจจุบันก็คือ ความเป็นจริงอะไรบ้างที่เราควรจะรู้ และผู้รู้ ผู้นำ ได้เปิดเผยข้อมูล ความจริงอย่างเที่ยงแท้แน่นอนหรือไม่ เพราะปัจจุบันเรามักจะพบว่าข้อมูลที่เปิดเผยต่อสาธารณะนั้น มักจะไม่ตรงกับสิ่งที่เรารับรู้ มีการแพร่งพรายอยู่ในหมู่คนที่ใกล้ชิด

          ดังนั้น ถ้าเมื่อใดที่การกระทำต่อต้านที่ไม่เป็นไปตามปกติ หากเป็นไปในลักษณะที่เบียดเบียน ทำร้าย ความคิด จิตใจ คำพูด รวมทั้ง เป็นการปกปิดบิดเบือนความจริง ผมเข้าใจว่าการกระทำนั้นไม่ใช่อารยะขัดขืน แต่เป็นอนารยะขัดขืนมากกว่า


ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก



เรื่องน่าสนใจอื่นๆ
เรื่องที่คุณอาจสนใจ
อารยะขัดขืน - อหิงสา - สัตยาเคราะห์ อัปเดตล่าสุด 8 กันยายน 2551 เวลา 13:49:42 18,874 อ่าน
TOP
x close