สำรวจตำรวจจราจรไทยกว่าครึ่ง เชื่อหัวล้าน เพราะหมวกกันน็อค
เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม นายคมสัน เทพกิจอารีกุล ผู้จัดการหน่วยธุรกิจ บริษัท เอ็มเอสดี (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยผลสำรวจทัศนคติเรื่องผมร่วง ศีรษะล้านที่เกี่ยวข้องกับอาชีพของชายไทย ที่โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนเทิล ว่า เมื่อเร็วๆ นี้ ได้ร่วมกับสวนดุสิตโพลล์ สำรวจชายไทย อายุ 25-40 ปี 469 คน ใน 3 กลุ่มอาชีพ คือ ตำรวจจราจร 262 คน นักกอล์ฟ 105 คน และวิศวกร 102 คน พบว่า ตำรวจจราจรร้อยละ 66 เชื่อว่าสวมหมวกกันน็อคทำให้ศีรษะล้าน ขณะที่ร้อยละ 69 กังวลมาก ร้อยละ 31 อับอายและสูญเสียความมั่นใจ และร้อยละ 15 คิดว่าเป็นปัญหาขั้นวิกฤต
นพ.อุดมศักดิ์ หุ่นวิจิตร อายุรแพทย์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ กล่าวในเวทีเสวนา "ผมร่วง ศีรษะล้านกับอาชีพของชายไทย" ว่า การสวมใส่หมวกกันน็อคไม่มีผลต่อภาวะผมร่วง ศีรษะล้าน แต่จะมีผลทางอ้อมคือ อาจมีความอับชื้น สกปรกจนเป็นเชื้อรา และทำให้ผมหลุดร่วงได้ แต่เป็นอาการชั่วคราวยังรักษาหายได้ และว่า ศีรษะล้านส่วนใหญ่เกิดจากกรรมพันธุ์ และการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนเพศชายเทสโทสเตอโรน เป็น ไดไฮโดรเทสโทสเตอโรน ซึ่งมีผลต่อกระบวนการสร้างเส้นผมใหม่ ทำให้เซลล์รากผมฝ่อตัวและหลุดร่วง โดยพบมากถึงร้อยละ 90 ในกลุ่มชายอายุ 40 ปีขึ้นไป แต่ในกลุ่มคนไทยจะพบเพียงร้อยละ 50 เท่านั้น ขณะที่ชาวต่างชาติพบสูงถึงร้อยละ 60-70
นพ.อุดมศักดิ์ กล่าวถึงยาที่ใช้รักษาอาการผมร่วงว่า ยาทาเป็นยากลุ่มมินอกซ์ซิดิล (Minoxidil) ส่วนยากินเป็นยากลุ่มฟินาสเตร์ไรด์ (Finasteride) ซึ่งเป็นยาในกลุ่มรักษาต่อมลูกหมากโต โดยให้เพียง 1 มิลลิกรัม เท่านั้น การรักษาด้วยยาใช้เวลา 6 เดือน-1 ปี จึงจะเริ่มเห็นผล และต้องกินต่อเนื่อง แต่อาจทำให้สมรรถภาพทางเพศลดลงร้อยละ 2-3 ในกลุ่มที่มีภาวะศีรษะล้านมากเป็นวงกว้าง อาจต้องรักษาด้วยวิธีปลูกผม โดยนำเซลล์บริเวณท้ายทอยมาตัดแยก และปลูกตรงบริเวณที่ไม่มีผม ซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูง อย่างไรก็ตาม ผู้ชายศีรษะล้านจะมีกล้ามเนื้อแข็งแรง และมีสมรรถภาพทางเพศสูง
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก






