
เรียบเรียงข้อมูลและภาพประกอบโดยกระปุกดอทคอม
บ่อยครั้ง... ที่อากาศหนาวมักทำให้เราเหงาใจ เมื่อไรก็ตามที่เรารู้สึกว่ามีคนมากมายอยู่รอบๆ กาย แต่ทำไมเหมือนตัวเราอยู่คนเดียว นั่นล่ะ "ความเหงา" เข้ามาโจมตีหัวใจคุณเข้าแล้ว...!! งั้นวันนี้เราขอเอาใจคนขี้เหงา พาไปท่องเที่ยวพักผ่อนคลายความเหงาเบาสมองกับทริปมันส์ๆ "ชมตะกั่วป่าเมืองเก่า นั่งช้างเดินป่า เล่นน้ำตกศรีพังงา" ซึ่งทางทีมงานกระปุกได้มีโอกาสเดินทางไปที่เมืองตะกั่วป่า จังหวัดพังงา โดยได้รับการสนับสนุนการเดินทางและดูแลเป็นอย่างดีจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
ทั้งนี้ การเดินทางท่องเที่ยวที่แสนสนุกนำทีมโดยไกด์อารมณ์ขัน คุณเฉลิมชาติ เจนเจนประเสริฐ หรือ "โกจั่น" ผู้รอบรู้เส้นทางท่องเที่ยวในจังหวัดพังงาเป็นอย่างดี ซึ่งโกจั่นบอกกับพวกเราว่า โปรมแกรมที่เราจะเดินทางไปท่องเที่ยวในวันนี้ เป็นโปรแกรมที่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาตินิยมมาเที่ยวมากที่สุด อย่างไรก็ตาม ทริปนี้นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางมาท่องเที่ยวได้ทุกฤดูกาลนะคะ ไม่ว่าจะหน้าร้อน หน้าฝน หน้าหนาว หรือจะเป็นหน้าเหงา (ใจ) ก็มาได้จ้า...
เริ่มกันที่... Khao Lak Elephant Camp นั่งช้างชมธรรมชาติ หนึ่งในการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ สัมผัสบรรยากาศที่แสนร่มรื่น ชมวิวจากบนหลังช้าง ดูพันธ์ไม้แปลกๆ ที่อยู่ในป่า น่าตื่นตาตื่นใจเป็นที่สุด มิน่าล่ะ นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเขาถึงหลงไหลธรรมชาติเมืองไทย แถมยังคลั่งไคล้การนั่งช้างเอามากๆ (ควานช้างเขาแอบกระซิบมาค่ะ)





หลังจากโยกซ้ายที... ขวาที โยกหน้าที... หลังที เพราะขี่อยู่บนหลังช้างกันไปแล้ว เราก็เดินทางกันต่อมุ่งหน้าเข้าเมืองตะกั่วป่า ระหว่างทางผ่าน "สุสานผู้ประสบภัยสึนามิ" ที่ใช้ฝังศพเหยื่อสึนามิที่ยังตรวจพิสูจน์ไม่ได้ เราจึงเก็บภาพมาฝากเพื่อนๆ ด้วยค่ะ


ใช้เวลาไม่นาน เราก็เดินทางมาถึง "วัดพระธาตุคีรีเขต" หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า "วัดลุ่ม" วัดเก่าแก่ของเมืองพังงา เป็นสถานที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ ซึ่งนับว่าเป็นสิ่งมงคลสูงสุดคู่บ้านคู่เมือง ที่ชาวพังงาภาคภูมิใจ ทั้งนี้ พระครูศรีปริยัตยากร (จิตติ ส.ภัทรปราณี) เจ้าคณะอำเภอตะกั่วป่า จ.พังงา และเจ้าอาวาสวัดพระธาตุคีรีเขต กล่าวว่า เดิมทีพระบรมสารีริกธาตุไม่ได้ประดิษฐานอยู่ที่วัดแห่งนี้ แต่อยู่ที่เจ้าเมืองตะกั่วป่า ต่อมาเจ้าเมืองตะกั่วป่านึกขึ้นได้ว่า เราเป็นเจ้าเมือง เป็นเจ้าหน้าที่ แต่สมบัตินี้ไม่ใช่ของเจ้าเมือง ไม่ใช่ของส่วนตัวแต่เป็นของเมือง และก็เกรงว่าต่อไปลูกหลานจะไปแย่งชิงมรดก จึงได้พาพระบรมสารีริกธาตุมาไว้ที่วัดพระธาตุคีรีเขต
อย่างไรก็ตาม ที่อุโบสถหลังใหม่ของวัดพระธาตุคีรีเขต มีพระพุทธรูปหินหยกซ้อนอยู่หลังพระประธาน สำหรับผู้ที่ต้องการเข้าชม สามารถเดินเข้าไปชมได้ทีละหนึ่งคนเท่านั้น





จากนั้น "โกจั่น" ก็พาพวกเราเดินเท้าชมเมืองกันต่อ โดยเริ่มที่ "ร้านขายยาสมุนไพรจีน" ร้านขายยาเก่าแก่ที่มีขายทั้งยาแผนโบราณและยาแผนปัจจุบัน พร้อมชมตึกเก่าสไตล์ "ชิโนโปรตุกีส" การผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมโปรตุเกสและจีน มีการออกแบบเป็นอาคารสองชั้นกึ่งร้านค้ากึ่งที่อยู่อาศัย ที่ด้านหน้าอาคารชั้นล่างมีช่องโค้งต่อเนื่องกันเป็นระยะๆ เพื่อใช้เป็นที่เดินเท้า คือเหมือนมีหลังคาต่อๆ กันทุกบ้าน
โกจั่นบอกว่า สมัยก่อนเวลาฝนตกไม่ต้องพกร่ม เพราะสามารถเดินรอดทางหน้าบ้านทะลุถึงกันได้เป็นทางยาว ทั้งนี้ ลักษณะเด่นของอาคารชิโนโปรตุกีสมีอีกหลายอย่าง คือ ช่องกลางบ้านเปิดโล่ง และมีช่องให้แสงส่องกลางบ้าน เพื่อไม่ให้อากาศอับและอบอ้าว นิยมสร้างให้มีบ่อน้ำอยู่ในบ้าน มีลวดลายปูนปั้นบนผนังด้านนอก มีลายแกะสลักที่บานประตูหรือหน้าต่าง กรุบานหน้าต่างด้วยกระจกแบบยุโรปซึ่งเป็นกระจกสี และมีเฉลียงยื่นออกมาจากตัวบ้าน เอาล่ะ! เดินมาได้พักนึงพอให้เสียเหงื่อ เราก็แวะดื่มกาแฟโบราณกันที่ "ร้านกาแฟ ชา..ย" ร้านกาแฟโบราณที่ชาวบ้านระแวกนี้ต่างสมัครเป็น "ลูกค้าประจำ" กันเป็นแถว แหม... ก็ของเค้าดีจริงนี่คะ อิอิ





จากนั้นเราก็เดินทางกันต่อ และแวะถ่ายรูปที่ "จวนเจ้าเมืองตะกั่วป่า" ตามประวัติกล่าวไว้ว่า ในปี ค.ศ.1843 พระยาเสนานุชิตสิทธิศาสตรามหาสงคราม ได้มารักษาการที่เมืองตะกั่วป่า และได้สร้างกำแพงเมืองล้อมรอบจวนที่พักไว้อย่างแข็งแรง เพื่อป้องกันศัตรู ก่อด้วยกรวดทรายผสมปูนล้วน หนา 58.5 เซนติเมตร สูง 3.80 เมตร ลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า กว้าง 95 เมตร ยาว 158 เมตร ใช้เวลาไม่นาน พวกเราก็เดินทางไปถึงศาลเจ้า "ฮกเกียน" ศาลเจ้าที่สร้างโดยชาวจีนที่อพยพเข้ามาทำเหมืองแร่ในเมืองตะกั่วป่า ส่วนใหญ่เป็นชาวจีนเชื้อสายฮกเกี้ยน ไหหล่ำ และกวางตุ้ง





ต่อกันที่... "โรงงานทำขนมเต้าส้อ" ชมการผลิตเต้าส้อแบบเป็นๆ ปั้นกันจะจะ โดยทีมงานมืออาชีพ (ปั้นกันไวมากๆ) เมื่อกลิ่นหอมๆ ของเต้าส้อลอยเตะจมูก แถมได้รับอนุญาติจากเจ้าของร้านให้ชิมฟรี พวกเราไม่รอช้าเลยทดลองชิมซะหลายลูก ด้วยรสชาติหวานๆ มันๆ ของไส้ถั่วเขียว ไส้ไข่เค็ม ทำเอาพวกเราติดใจ... ไม่แปลกใจเลยที่ "ขนมเต้าส้อ" กลายเป็นขนมที่ขึ้นชื่อประจำจังหวัดพังงา ขอบอกว่าใครที่มาเที่ยวเมืองพังาแล้วไม่ได้ซื้อขนมเต้าส้อกลับไปฝากคนที่บ้าน ก็เหมือนมาไม่ถึงพังงาค่ะ จากนั้น... เราก็แวะรับประทานอาหารกลางวันกันที่ร้านอาหาร "โง้วเม็งเฮง" ริมแม่น้ำตะกั่วป่า




หลังจากที่กินจนอิ่มหนำสำราญ หนังท้องตึง แต่... หนังตาเราไม่หย่อน เราก็เดินทางไปที่ "อุทยานพระนารายณ์" สถานที่ประดิษฐานองค์เทวรูปพระนารายณ์พร้อมเทพบริวารจำลอง ซึ่งเป็นที่เคารพบูชาของชาวอำเภอตะกั่วป่า โดยเทศบาลเมืองตะกั่วป่าจัดให้มีพิธีบวงสรวงพระนารายณ์ ณ ที่แห่งนี้เป็นประจำทุกปี

ปิดท้ายกันที่การเดินทางไปชมธรรมชาติของป่าดิบชื้น "อุทยานแห่งชาติศรีพังงา" อุทยานแห่งชาติที่มีความอุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติประเภทป่าไม้และสัตว์ป่า มีเนื้อที่ประมาณ 153,800 ไร่ จากนั้นเราก็เดินเท้าเพื่อไปเล่นน้ำที่ "น้ำตกตำหนัง" ระยะทางประมาณ 500 เมตร ระหว่างทางแวะให้อาหารปลาที่ "บึงปลาพลวง" ที่มีปลาทั้งตัวเล็กตัวใหญ่อาศัยอยู่เยอะมากๆ เดินต่อไปเรื่อยๆ ก็พบลอยหมูป่าตลอดทาง ใช้เวลาไม่นานเราก็ถึง "น้ำตกตำหนัง" สายน้ำสีใสเย็น บวกกับบรรยากาศที่แสนร่มรื่น เย็นสบาย ทำเอาพวกเราหายเหนื่อยและหลงรักธรรมชาติไทยไปในปริยาย...









เป็นอย่างไรกันบ้างคะ โปรแกรมท่องเที่ยว 1 วันเต็มๆ ในเมืองตะกั่วป่า สนุกถูกใจเพื่อนๆ ใช่ไหมล่า... อย่างที่เค้าว่ากันว่า เที่ยวเมืองไทย ไม่ไปไม่รู้ ถ้าอยากรู้ว่าสนุกแค่ไหน สามารถพิสูจน์ได้ด้วยตัวคุณเองค่า... แล้วเจอกันที่เมืองพังงานะคะ (อิอิ อยากไปเที่ยวอีกรอบ)
ทั้งนี้ สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย โทร. 02-250-5500 (120 คู่สายอัตโนมัติ)
ขอขอบคุณข้อมูลและสนับสนุนการเดินทางโดย






