
ช่วงเช้าวันที่ 2 มกราคม 2552...ชุมชนหมู่บ้านเจริญมิตรพัฒนา ท้องทุ่งหนองจอก คึกคักเป็นพิเศษ เต็มไปด้วยเสียงโห่ร้องอย่างมีความสุข มิใช่เป็นการฉลองในเทศกาลปีใหม่ แต่เป็นการแสดงออกขณะไปร่วมใน การแต่งงาน ของชาย หญิงคู่หนึ่ง ซึ่งการจัดพิธีมงคลสมรสถือเป็นเรื่องธรรมดา ถ้าคู่บ่าวสาวอยู่ ในวัยเจริญพันธุ์ หมายถึงมีความเป็นหนุ่มเป็นสาวเต็มตัว พร้อมที่จะสร้างครอบครัวใหม่ มีทายาทสืบตระกูลตามวิถีชีวิตที่สืบสานกันมาของสังคมมนุษยชาติ
แต่...การจัดพิธีกรรมครั้งนี้ไม่ธรรมดา เพราะเจ้าบ่าว คือ นวพล สีเขียว และเจ้าสาว คือ พิมชนก สีเขียว...ทั้งคู่มี อายุเพียง 2 ขวบ 11 เดือน เท่านั้น
การจัดพิธีกรรมในการแต่งงานของเด็กชายหญิงคู่นี้ ทำในรูปแบบเดียวกันกับประเพณี ของท้องถิ่นทั่วๆ ไป คือมีการทำบุญเลี้ยงพระกันตามประเพณี มีแห่ขันหมากของเจ้าบ่าว เข้าสู่เรือนของเจ้าสาว รดน้ำสังข์ มีการผูกแขนรับไหว้ญาติผู้ใหญ่ พร้อมส่งกันเข้าหอ แขกเหรื่อทั้งหลายที่มาในงานกินเลี้ยงกันอย่างสนุกสนาน ทุกอย่างทุกขั้นตอน แต่ ไม่มีการจดทะเบียนสมรสตามนิติกรรม
ความผิดแผกแตกต่างเพียงนิดๆ นี้ ก็ยังเป็นข่าวจากปากต่อปาก ของชุมชนแห่งท้องทุ่ง...จึงกลายเป็นเรื่องที่ฮือฮาลามไปอย่างรวดเร็ว
เหนือฟ้า ใต้บาดาล...ได้รับกระแสข่าวนี้ ถึงจะล่าแต่ก็ไม่ช้าเกินไป จึงตรงแหนวไป ณ บ้านเลขที่ 27 หมู่บ้านเจริญมิตรพัฒนา หมู่ 11 แขวงกระทุ่มราย เขตหนองจอก กทม. ซึ่งได้พบกับ นางสุรินทร์ รอดรัตนา อายุ 72 ปี ซึ่งกำลังเลี้ยงหลานตากไออุ่นแดดอยู่ใต้ถุนบ้าน จึงเข้าไปถามไถ่ว่ารู้เรื่องราวของการเป็นข่าวหรือไม่ ก็ได้รับคำตอบว่า...รู้เรื่องดีเพราะคู่บ่าวสาวนั้นคือหลานทั้ง 2 ที่กำลังเลี้ยงอยู่ในตอนนี้ เพราะพ่อกับแม่เด็กไปทำงานนอกบ้าน

แล้ว นางสุรินทร์ ก็เล่าต่อว่า ตามศักดิ์เธอเป็นยายของ นาย (เด็กชายนวพล) กับ เนย (เด็กหญิงพิมชนก) เนื่องจากเป็นลูกของ นางนวลจันทร์ กับ นายพัลลภ สีเขียว ซึ่งเป็นลูกสาวกับลูกเขย แฝดคู่นี้ก็เป็นท้องแรกของพ่อแม่ ตามปกติทั่วๆ ไปในละแวกนี้ ถ้ามีลูกแฝดจะเป็นชายคู่ หรือหญิงคู่ ซึ่งจะไม่มีปัญหาใด ในความรู้สึกหรือความ เชื่อต่างเพียงแต่อาจจำได้ ยากกว่าใครเป็นใครเท่านั้น เพราะส่วนใหญ่แล้ว แฝดจะมีลักษณะหน้าตาเหมือนหรือคล้ายกัน
นางสุรินทร์ ้เล่าต่อว่า ส่วน นาย กับ เนย เป็นแฝดซึ่ง ผิดแผกไปจากแฝดคู่อื่นๆ คือเป็นชายกับหญิงด้วย เชื่อกันว่าหากเลี้ยงดูต่อไปในอนาคต พี่น้องคู่นี้ผู้หนึ่งจะต้องมีอันเป็นไป จึงมีการแก้เคล็ดโดยให้แต่งงานกันเป็นการประกาศให้รู้ว่าไม่ใช่พี่น้องกัน การแก้เคล็ดนี้ บางคู่พอคลอดลูกออกมาเป็นแฝดชายหญิงก็จับให้แต่งงาน ตั้งแต่แบเบาะเลย แต่สำหรับ นาย กับ เนย ในตอนแรกเพียงยกให้ผู้อื่นไปคนหนึ่ง แต่ก็เอามาเลี้ยงรวมกันคือให้เพียงในนามเท่านั้น
"ลูกเราหลานเราเราก็รัก ให้เด็กเกิดมาแล้วเจริญเติบโตมีความสุข นอกจากต้องเลี้ยงดูอย่างดีตามรูปแบบสุขอนามัยของแพทย์และวิถีสังคมปัจจุบันแล้ว ในเรื่องของความเชื่อโบราณก็ไม่ทอดทิ้ง ใครจะว่างมงายก็ไม่เป็นไร วิธีใดที่ทำแล้วสบายใจก็ต้องทำ แม้จะเสียค่า ใช้จ่ายบ้างก็ไม่เป็นไร จึงได้จัดพิธีการแต่งงานให้ แม้ว่าเด็กจะไม่ประสีประสาก็ตาม" ยายสุรินทร์ บอกอย่างนั้น
ผู้สันทัดกรณี ท่านหนึ่งบอกว่า การมีลูกแฝดคู่ชายหรือคู่หญิงนั้น เทวดาประทานให้มาเป็นพี่น้องกัน จึงอยู่ด้วยกันได้จนเติบโตเป็นผู้ใหญ่โดยไม่มีปัญหาใดๆ แต่ถ้าเป็นแฝดชายหญิงแล้ว หมายถึงว่าเทวดาได้ประทานให้มาเป็นคู่สามีภรรยากัน ซึ่งหากไม่ยอมที่จะเป็นตามประสงค์ เทวดาก็จะเรียกคืนกลับไปคนหนึ่ง หรืออาจกลับทั้งคู่ เลยก็ได้

ฉะนั้น จึงต้องจัดพิธีการแต่งงาน เพื่อให้เทวดารับรู้ว่าทั้งคู่นั้นเป็นผัวเมียกันแล้ว เป็นไปตามที่ต้องการ จะได้ไม่เรียกกลับสวรรค์ ซึ่งเป็นความเชื่อที่ชาวบ้านบอกกล่าวเล่าขานสืบต่อกันมาเป็นเวลาที่นานนม...!!!
หากมีคำถามย้อนกลับมาว่า...เคยมีคู่แฝดชายหญิงที่ไม่ยอมแต่งงานกันแล้วมีอันเป็นไปตามความเชื่อหรือไม่ ก็ได้รับคำตอบที่ไม่ยืนยันแบบ 100 เปอร์เซ็นต์ เนื่องจากแฝดในลักษณะนี้มีไม่ค่อยมากนัก การเกิดเหตุที่เป็นรูปธรรม ให้เห็นกันจะจะจึงไม่ค่อยมี
แต่...ถ้าเกิดแฝดชายหญิงขึ้นมา ส่วนใหญ่ก็จะไม่ปล่อยปละละเลย ไม่มีใครที่จะกล้าเสี่ยง เอาชีวิตของลูกหลานให้เป็นเครื่องทดสอบความเชื่อของคนโบราณ จึงต้องจัดพิธีแต่งงานขึ้นแก้เคล็ด เพื่อให้สังคมรับรู้กันว่าพวกเขา 2 คนนี้เป็นสามีภรรยากันแล้ว...นะจะบอกให้
พฤติกรรมหลอกเทวดา ที่มนุษย์จัดกันขึ้น....ไม่เชื่ออย่าลบหลู่.!!!
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก![]()
คอลัมน์ : เหนือฟ้าใต้บาดาล
โดย : ก้อง กังฟู






