ครอบครัวคุณชาย สุขุมพันธุ์ บริพัตร


ใช้ชีวิต ชิล ชิล แต่ต้องรับผิดชอบหน้าที่ ครอบครัว "คุณชาย สุขุมพันธุ์ บริพัตร" (เดลินิวส์)
 
          "ครอบครัว" เป็นหนึ่งในองค์ประกอบที่สำคัญของคนเรา รัฐบาลได้เห็นความสำคัญ จึงกำหนดให้วันที่ 14 เมษายน ของทุกปี เป็นวันครอบครัว เพื่อให้สมาชิกในครอบครัว แบ่งปันเวลาให้แก่กันอย่างเต็มที่ เนื่องในวันครอบครัวปีนี้ จึงขอนำเสนอความอบอุ่นของครอบครัวผู้ว่าฯ กทม.คนล่าสุด ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร มาดูกันว่าผู้ว่าฯ กทม.ของเรามีวิธีการดูแลครอบครัวอย่างไร

          คุณชายสุขุมพันธุ์ : คำว่า "ครอบครัว" ในความคิดผมมี 2 ความหมาย อย่างแรกเป็นความหมายแบบภาพกว้างตามจารีตประเพณีไทย ซึ่งจะรวมถึงพ่อ แม่ ลูก ปู่ ย่า ตา ยาย  เป็น 3 รุ่น หรือ 4 รุ่น รวมถึงทวดด้วย ส่วนอีกความหมายเป็นความหมายที่ใช้กันในยุคปัจจุบันคือครอบครัวที่ประกอบด้วย พ่อ แม่ ลูก ความสำคัญของครอบครัว สำหรับผมคิดว่าคนเราต้องครอบครัวเข้มแข็ง ให้ลูกสามารถเติบใหญ่ในสภาพแวดล้อมที่ดีได้ ลูกไม่มีสิทธิเลือกที่จะเกิดหรือไม่เกิด เราเป็นคนทำให้เกิด เราจึงต้องทำให้เขาเติบใหญ่ในสภาพแวดล้อมที่ดีได้ อีกส่วนหนึ่งที่สำคัญ คือ ผมเชื่อว่าคนทำงานต้องมีครอบครัวที่เข้มแข็ง ถ้าที่บ้านมีปัญหาแล้วครอบครัวไม่เข้มแข็ง คนเราก็จะมีความพร้อมในการทำงานที่ไม่สูงนัก ดังนั้นครอบครัวจึงเป็นฐานสำคัญที่ทำให้เราทำหลายสิ่งหลายอย่างได้สำเร็จ





เลี้ยงลูกแบบชิล ชิล ไม่บังคับ 
 
          คุณชายสุขุมพันธุ์ : สิ่งสำคัญที่จะทำให้ครอบครัวอบอุ่น คือ ต้องให้เวลากับครอบครัว ผมยอมรับว่าบางครั้งก็มีปัญหาเรื่องไม่มีเวลาให้ แต่ผมจะพยายามบริหารเวลา ในตอนที่ลูกยังเล็ก ก่อนที่จะส่งไปเรียนต่างประเทศ จะพยายามให้เวลากับลูกในวันเสาร์-อาทิตย์ แต่ไม่ได้กะเกณฑ์ว่าวันไหนต้องไปไหนต้องทำอะไร เพราะครอบครัวผมไม่ใช่ครอบครัวกิจกรรม แต่จะให้ทุกคนใช้วิถีชีวิตตามความพอใจของตนเอง วันนี้อยากทำอะไรก็ทำ ไม่อยากทำก็ไม่บังคับ ซึ่งเป็นวิธีที่ผมใช้เลี้ยงลูกมาตั้งแต่เด็ก คือให้อิสระในการใช้ชีวิต แต่อย่างน้อยที่สุดต้องกินข้าวด้วยกัน อาจไปดูหนังด้วยกันบ้าง จนถึงทุกวันนี้ลูกก็เริ่มโตกันแล้ว ทำให้เขามีวาระที่อยากทำเป็นของตัวเอง บางทีก็ไม่อยากให้พ่อแม่เข้าไปยุ่งด้วย ผมก็ไม่ว่าก็เข้าใจดี แม้กระทั่งเรื่องการบ้านผมยังปล่อย ไม่มีการถือไม้เรียวมายืนข้างหลังแล้วบังคับให้ทำ แต่จะสอนให้รู้จักการรับผิดชอบตัวเอง รู้ว่าสิ่งไหนต้องทำ สิ่งไหนเป็นหน้าที่ คือให้อิสระแต่ถ้าทำผิดต้องดุแล้วอธิบายว่า เขาทำผิดอะไร 
 
          คุณชายสุขุมพันธุ์ : หนังสือการ์ตูนก็ให้อ่าน ผมก็ให้ลูกอ่านไม่มีปัญหาอะไร นาน ๆ ทีผมจะไม่สบายใจในสิ่งที่ลูกทำ ที่มากที่สุด คือ วันหนึ่งไปเจอลูกคนเล็กเล่นเกมจีทีเอ เป็นเกมคอมพิวเตอร์มีเนื้อหาเกี่ยวกับการยิงกัน มีการนำปืนส่องหัว พอคนวิ่งหนียังเอาจรวดยิงใส่ ตอนนั้นลูกอายุ 11 ปี รู้สึกว่ามันโหดไปผมและคุณน้อง "ภรรยา" ต้องเก็บเกมนั้น แล้วสัญญากับลูกว่าเมื่ออายุ 14 ปี ให้รู้อะไรเป็นอะไร รู้จักผิดชอบชั่วดี ก่อนแล้วจะให้เล่น พอครบกำหนดก็ให้เล่นตามสัญญา 

 



          คุณชายสุขุมพันธุ์ : กรอบในการดำรงชีวิต คือ ทุกคนรู้จักรับผิดชอบหน้าที่ของตัวเอง แค่นั้น ที่เหลือก็ให้ใช้ชีวิตอย่างสบายๆ หรือที่ศัพท์ใหม่ๆ เขาเรียกว่า ชิล ชิล แต่เรื่องไหนไม่ถูกต้องก็ต้องตักเตือนกัน ที่เลี้ยงลูกแบบนี้ เพราะครอบครัววัยเด็กของผม ที่เลี้ยงผมมาก็ไม่มีภาคบังคับ ให้อิสระ อยากทำอะไรก็ทำ ไม่อยากทำก็ไม่ต้องทำตามความสมัครใจ พ่อแม่จะชวนไปไหนถ้าเราขี้เกียจไปก็ไม่ไป พ่อแม่ก็ไม่บังคับ ทุกสิ่งทุกอย่างตั้งอยู่บนพื้นฐานความสมัครใจ คือตอนเด็กๆ ผมมีอิสระ อยากนั่งอ่านหนังสือ ก็อ่านหนังสือไป พ่อแม่ผมมีแขกมาบ้าน ผมก็ไม่จำเป็นต้องออกมารับแขก ผมเห็นหน้าคนแปลกหน้าผมก็วิ่งหนี พ่อแม่ผมก็ไม่ว่าอะไร พอผมโตก็ออกมารับแขกเอง ไม่ต้องมาบังคับกัน รู้ว่าเราควรทำอะไรไม่ควรทำอะไร ก็เลยนำวิธีการดังกล่าวมาใช้เลี้ยงลูกของตัวเอง ให้อิสระ บางครั้งผมชวนลูกผมไปไหน ถ้าเขาไม่ไปผมก็แค่ผิดหวัง แต่ไม่บังคับ ไม่ว่าอะไร 
 
จำไม่ได้ว่าเคยลงโทษลูกหรือเปล่า
 
          คุณชายสุขุมพันธุ์ : ผมไม่เคยตีหรือลงโทษลูก อย่างลูกคนโต เคยลงโทษครั้งเดียว ตอนนั้นเขายังเล็กอยู่ประมาณ 3-4 ขวบ เขาขว้างของที่ผมรักมากแตก ก็อุ้มเขามาเขย่าแล้วอธิบายว่า สิ่งที่ทำนั้นไม่ถูกต้อง หลังจากนั้นเขาก็ไม่เคยทำของแตก หรือขว้างของอีก ส่วนคนเล็กผมยังไม่เคยทำโทษ ส่วนใหญ่แม่จะทำโทษมากกว่า อาจมีตีมือเล็กๆ น้อยๆ แต่ผมจะดุและอธิบายว่าสิ่งที่ทำไม่ถูกต้องยังไง อย่างพ่อแม่ผมก็ไม่เคยลงโทษผม มีแต่ขังอยู่ในห้องคนเดียวให้สงบสติอารมณ์ อีกอย่างลูกๆ ผมก็ไม่ใช่เด็กที่ร้องเอาของแล้วลงไปดิ้นกลางห้าง และคุณน้องไม่ได้ตามใจลูกขนาดที่ว่าอยากได้อะไรก็ซื้อ คุณน้องจะคอยบอกเขาว่าอันไหนซื้อได้ก็ซื้อ แต่บางอย่างถ้าเกินไปก็ต้องรอ หรือมีโอกาสพิเศษก่อน ลูกก็เข้าใจ แต่ถ้าเกิดเหตุการณ์ลงไปดิ้นพราดๆ ก็คงจะปล่อยทิ้งไว้ ให้ดิ้นต่อไป ที่ผ่านมาไม่เคยเจอ จะมีก็แค่บ่นและทำหน้างอ บางทีผมก็แอบซื้อให้ 
 
          คุณชายสุขุมพันธุ์ : เรื่องที่ผมต้องดุและสอนลูกอยู่เสมอ คือ การพูดจา ผมจะไม่ชอบให้ลูกพูดไม่ดีกับคนอื่น ถ้าได้ยินว่าเขาพูดไม่ดีก็จะดุเขา แต่ก็มีน้อยมาก ตอนที่เขายังเล็กจะมีบ้างที่พูดไม่ดี กับเด็กในบ้าน แต่ตอนนี้ไม่มีแล้ว 
 



ลูกสำคัญกว่าตำแหน่งผู้ว่าฯ กทม. 
 
          คุณชายสุขุมพันธุ์ : ยอมรับว่าตั้งแต่เป็นผู้ว่าฯ กทม. มีเวลาให้ครอบครัวน้อยลงมาก ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมเล็งเห็นแล้วว่าต้องเป็นเช่นนี้ จริงๆ แล้วก่อนที่พรรคประชาธิปัตย์จะส่งนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ลงสมัครผู้ว่าฯ กทม. เมื่อปี 2547 ก็มีผู้ใหญ่ในพรรคพูดกันเล่นๆ ว่าผมสนใจจะลงสมัครผู้ว่าฯ กทม.หรือไม่ ผมก็ตอบไปว่า ในอดีตผู้ว่าฯ กทม.มีสองประเภท อย่างแรกคือไม่มีลูกอย่าง พล.ต.จำลอง ศรีเมือง หรืออีกประเภทหนึ่ง คือผู้ว่าฯ กทม. ที่ลูกโตแล้ว ไม่ว่าจะเป็น ร.อ.กฤษฎา อรุณวงษ์ ณ อยุธยา นายพิจิตต รัตตกุล นายสมัคร สุนทรเวช แต่ตอนนั้นลูกคนเล็กผมเพิ่งอายุ 10 ขวบ ถ้าผมเป็นผู้ว่าฯ กทม. ต้องให้เวลาพร้อมที่จะทำงาน 7 วันต่อสัปดาห์ ตลอดทั้ง 4 ปี บอกได้เลยถ้าผมลงผู้ว่าฯ กทม. ตอนนั้นไม่ได้กลัวแพ้ แต่กลัวชนะ เพราะถ้าได้รับเลือกตั้งเป็นผู้ว่าฯ กทม.ไป 4 ปี หันมาดูอีกที ลูกผมอายุ 14 ปีแล้ว ซึ่งผมคิดว่าถ้าลูกอยู่ในวัยนี้มีพ่ออยู่ก็อยากเห็นหน้าพ่อบ้าง ตอนนั้นจึงคิดว่าลงไม่ได้ พอมาถึงการเลือกตั้งสมัยต่อมา ลูกผมก็ 15 ปีแล้ว และไปเรียนที่ต่างประเทศแล้วทั้งสองคน จึงคิดว่าโอกาสนี้เป็นไปได้แล้ว 
 
เป็นผู้ว่าฯกทม.หมดเวลาโชว์ฝีมือทำอาหาร 
 
          คุณชายสุขุมพันธุ์ : พอเป็นผู้ว่าฯ กทม. สิ่งที่ขาดหายไป คือเวลาที่ได้นั่งอยู่กับบ้านกับครอบครัว ผมเป็นคนรักบ้าน ชอบกินข้าวบ้าน ชอบทำกับข้าว เวลาตรงนั้นก็หายไป ซึ่งคุณน้องก็ไม่ซีเรียสเรื่องนี้ อาหารที่ชอบโชว์ฝีมือส่วนใหญ่จะเป็นอาหารฝรั่ง อาทิ ไก่งวงยัดไส้ ไก่ซอสขาว ซึ่งที่บ้านชมว่าอร่อย ส่วนอาหารไทยมีแม่ครัวทำให้แล้ว ที่ผมทำอาหารเป็นเพราะไปอยู่เมืองนอกมานาน และต้องดูแลน้องๆ ไปด้วย เลยต้องทำอาหารเป็นทั้งอาหารไทยและอาหารฝรั่ง จำได้ว่าสมัยที่เรียนอยู่ที่ประเทศอังกฤษแล้วคุณย่าเคยไปเยี่ยม คุณย่าเกือบเป็นลมที่เห็นผมทำอาหารได้อย่างคล่องแคล่ว จากที่แต่ก่อนแค่เจียวไข่ยังทำไม่เป็น 

 



คุณสาวิตรี บริพัตร ณ อยุธยา (คุณน้อง) หลังบ้านท่านผู้ว่าฯ กล่าวเสริม
 
          คุณน้อง : น้องไม่ค่อยได้ดูแลคุณชาย เพราะปกติคุณชายเป็นคนที่ชอบดูแลตัวเองอยู่แล้ว พยายามจะดูแล แต่คุณชายก็ไม่ค่อยให้ดูแลเท่าไหร่ คุณชายเป็นคนตื่นเช้า ตีสี่ตีห้าก็ตื่นแล้ว ซึ่งน้องก็โชคดีที่มีแม่ครัว ดูแลหาอาหารให้ มา 20-30 ปีแล้ว ยอมรับว่าตื่นมาดูแลไม่ไหว แต่น้องจะพยายามหาซื้อของอร่อยมาไว้อุ่นให้คุณชายกินตอนเช้า อีกอย่างคุณชายก็ไม่ค่อยอยู่ให้ดูแล เลยไม่ค่อยได้ดูแลเท่าไหร่ 
 
           คุณน้อง : การเป็นหลังบ้านผู้ว่าฯ กทม.ทำให้มีข้าราชการเข้ามาคุยบ้าง โทรศัพท์มาคุยบ้าง แต่คุยกับน้อง 3 คำก็จะหายไป เรื่องต่างๆ ที่รับไว้ก็ไม่ได้รับประกันความสำเร็จทุกเรื่อง ทั้งข้อเสนอแนะและร้องเรียน ตอนนี้ยังไม่มีเรื่องหนักใจอะไร เพราะคุณชายเพิ่งรับตำแหน่งได้แค่ 2 เดือน
 
          คุณชายสุขุมพันธุ์ : คุณน้องจะไม่ยุ่งกับงานผม ทำให้ผมสบายใจได้ จะมีก็เรื่องร้องเรียน ที่คุณน้องจะสแกนให้ เอาแต่เรื่องสำคัญๆ ผมไม่อยากให้เป็นธรรมเนียมปฏิบัติว่า เวลาอยากได้อะไร ทั้งเรื่องร้องเรียนและอื่นๆ ก็เข้าหลังบ้านแล้วจะประสบความสำเร็จ มิเช่นนั้นก็จะไม่มีความสุข ถ้ามีคนเข้าออกบ้านตลอดเวลา ไม่มีใครมีความสุขหรอก บ้านก็คือบ้าน ที่ของครอบครัว
  
          นับว่าเป็นครอบครัวที่สบาย ๆ สไตล์ อบอุ่น จริงๆ



ครอบครัว "บริพัตร"

          ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร เป็นบุตรของพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสุขุมาภินันท์ และหม่อมดุษฎี บริพัตร ณ อยุธยา ชื่อเล่น "คุณชายหมู" มีน้องชาย 1 คน คือ ม.ร.ว.วโรรส บริพัตร 
 
          ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ สมรสด้วยกัน 2 ครั้ง โดยครั้งที่ 1 กับ นางสาวนุชวดี บำรุงตระกูล มีบุตรคือ หม่อมหลวงพินิตพันธุ์ บริพัตร (คุณบั๊บ) และสมรสครั้งที่ 2 กับ นางสาวิตรี บริพัตร ณ อยุธยา (คุณน้อง) มีบุตร 1 คน คือ หม่อมหลวงวราภินันท์ บริพัตร (คุณบิ๊บ)


ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก


 

เรื่องน่าสนใจอื่นๆ
เรื่องที่คุณอาจสนใจ
ครอบครัวคุณชาย สุขุมพันธุ์ บริพัตร อัปเดตล่าสุด 14 เมษายน 2552 เวลา 13:17:23 39,313 อ่าน
TOP
x close