x close

Star Trek





สตาร์ เทรค (ยูไนเต็ด อินเตอร์เนชั่นแนล พิคเจอร์ส)

กำหนดฉาย :7 พฤษภาคม 2552
นำแสดง

          จอห์น โช             รับบท   ซูลู
          เบน ครอสส์           รับบท   ซาเร็ก
          บรูซ กรีนวู้ด          รับบท   ไพค์
          ไซม่อน เป็กก์         รับบท   สก็อตตี้
          คริส ไพน์              รับบท   เคิร์ก
          แซ็คคารี่ ควินโต      รับบท   สป็อค
          วีโนน่า ไรเดอร์       รับบท   อาแมนด้า เกรย์สัน
          โซอี้ ซัลดาน่า         รับบท   อูฮูร่า
          คาร์ล เออร์แบน        รับบท   โบนส์
          อันตวน เยลชิน        รับบท   เชคอฟ
          เอริค บาน่า             รับบท   นีโร
          เลนนาร์ด นีมอย       รับบท   สป็อค ไพรม์

กำกับ : เจเจ อับรามส์ (J.J. ABRAMS)
บทภาพยนตร์ : โรแบร์โต้ ออร์ซี และอเล็กซ์ เคิร์ตซ์แมน จาก "Star Trek" ที่สร้างโดยจีน ร็อดเดนเบอร์รี
อำนวยการสร้าง : เจ. เจ. อับรามส์, เดมอน ลินเดลอฟ

อนาคตอุบัติขึ้นแล้ว

          การผจญภัยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาลได้อุบัติขึ้นแล้ว ด้วย "Star Trek" เรื่องราวสุดมหัศจรรย์ที่พูดถึงการเดินทางผจญภัยครั้งแรกของลูกเรือหนุ่มสาวบนยานอวกาศที่ก้าวล้ำนำสมัยและไฮเทคที่สุดเท่าที่เคยมีการสร้างกันออกมา อย่างยานยูเอสเอส เอ็นเตอร์ไพรส์ และระหว่างการเดินทางสุดแสนตื่นเต้นครั้งนี้ที่อัดแน่นไปด้วยความหวัง, แผนการร้าย, เรื่องราวสนุกเฮฮา และภยันตรายของจักรวาล บรรดาลูกเรือหน้าใหม่กลุ่มนี้ต้องหาทางหยุดวายร้ายที่หวังจะแก้แค้น ซึ่งส่งผลคุกคามชีวิตของมนุษย์ทุกคน 

          ชะตากรรมของทั้งแกแล็คซี่ตกอยู่ในกำมือของสองคู่ปรับจากสองโลก คนแรกคือ เจมส์ ไทบีเรียส เคิร์ก (คริส ไพน์) เด็กหนุ่มชาวไร่จากไอโอว่าที่ต้องการความตื่นเต้นในชีวิต ซึ่งมีความเป็นผู้นำอยู่ในสายเลือด อีกคนก็คือ สป็อค (แซ็คคารี่ ควินโต้) ผู้เติบโตมาบนดาววัลแคน เขากลายเป็นแกะดำในสังคมเพราะชาติกำเนิดที่เป็นลูกครึ่งมนุษย์ ทำให้เขามีอารมณ์ที่อ่อนไหวในแบบที่ชาววัลแคนไม่มี แต่ด้วยความที่เป็นนักเรียนที่มีความมุ่งมั่นตั้งใจและเฉลียวฉลาด ทำให้เขากลายเป็นชาววัลแคนคนแรกที่สามารถเข้าเรียนในสถาบันสตาร์ฟลีทได้ 

          เคิร์ก กับ สป็อคแตกต่างกันอย่างสุดขั้ว แต่ในระหว่างการเดินทางเพื่อค้นหาตัวเองของทั้งคู่ รวมถึงค้นหาสิ่งที่พวกเขาอยากทำเพื่อโลกใบนี้ ในไม่ช้า ทั้งคู่กลายเป็นคู่แข่งในการเรียน ด้วยสไตล์ที่ตรงกันข้ามกันอย่างสิ้นเชิง คนหนึ่งทำทุกอย่างด้วยอารมณ์ อีกคนทำด้วยเหตุผล พวกเขากลายเป็นคู่ปรับที่แข่งขันชิงดีชิงเด่นกันอยู่ตลอดเวลา และต่างไม่ชอบขี้หน้ากัน และต่างฝ่ายต่างต้องการที่จะได้รับเลือกให้อยู่ในกลุ่มนักเรียนหัวกะทิที่จะได้เข้าร่วมทีมลูกเรือของยานยูเอสเอส เอ็นเตอร์ไพรส์ ยานอวกาศที่ก้าวล้ำยุคที่สุดเท่าที่เคยมีการสร้างกันมา

          ลูกเรือกลุ่มนี้อยู่ภายใต้การนำทีมของกัปตันคริสโตเฟอร์ ไพค์ (บรูซ กรีนวู้ด) ที่เข้ามาร่วมผจญภัยบนยานเอ็นเตอร์ไพรส์กับเขา ก็คือ เจ้าหน้าที่แพทย์ประจำยาน เลนนาร์ด "โบนส์" แม็คคอย (คาร์ล เออร์แบน), ชายผู้จะกลายมาเป็นหัวหน้าทีมวิศวกรรมของยาน มอนต์โกเมอรี่ "สก็อตตี้" สก็อตต์ (ไซม่อน เป็กก์), เจ้าหน้าที่สื่อสาร อูฮูร่า (โซอี้ ซัลดาน่า), นายท้ายยานผู้มีประสบการณ์อย่างซูลู (จอห์น โช) และเด็กอัจฉริยะวัย 17 ปีอย่างเชคอฟ (อันตวน เยลชิน) พวกเขาเหล่านี้จะต้องเผชิญหน้ากับการทดสอบครั้งแรกที่สุดแสนเจ็บปวดที่จะช่วยสร้างความภักดี มิตรภาพ ความกล้าหาญ และอารมณ์ขันที่จะผูกพันพวกเขาไปตลอดกาล 

          ท่ามกลางเรื่องราวทั้งหมดนี้ เคิร์กกับสป็อคต้องเผชิญหน้ากับพรหมลิขิตที่ปฏิเสธไม่ได้ นั่นก็คือความต้องการที่จะก่อมิตรภาพที่ไม่น่าจะเป็นไปได้แต่ทรงพลังยิ่งนัก ทำให้พวกเขาสามารถนำลูกเรือของพวกเขาเดินหน้าฝ่าฟันไปถึงยังที่ที่ไม่เคยมีใครไปถึงมาก่อน 

          พาราเม้าต์ พิคเจอร์ส และ สปายกลาส เอนเตอร์เทนเม้นต์ ภูมิใจเสนอ ผลงานการสร้างของแบ็ดโรบ็อท เรื่อง "Star Trek" นำแสดงโดย จอห์น โช, เบน ครอสส์, บรูซ กรีนวู้ด, ไซม่อน เป็กก์, แซ็คคารี่ ควินโต้, วีโนน่า ไรเดอร์, โซอี้ ซัลดาน่า, คาร์ล เออร์แบน, อันตวน เยลชิน, เอริค บาน่า และเลนนาร์ด นีมอย ภาพยนตร์เรื่องนี้กำกับโดย เจเจ อับรามส์ (Mission: Impossible III, Lost, Alias) และ เขียนบทโดย โรแบร์โต้ ออร์ซี่ และอเล็กซ์ เคิร์ตซ์แมน (MI: III, Transformers) ภาพยนตร์เรื่องนี้อิงเนื้อหาจาก "Star Trek" ที่สรรค์สร้างโดยจีน ร็อดเดนเบอร์รี่

          ภาพยนตร์เรื่องนี้อำนวยการสร้างโดยเจเจ อับรามส์ และเดม่อน ลินเดลอฟ ทีมผู้อำนวยการสร้างบริหารประกอบไปด้วย ไบรอัน เบิร์ก, เจฟฟรีย์ เชอร์นอฟ, โรแบร์โต้ ออร์ซี่ และอเล็กซ์ เคิร์ตซ์แมน, ผู้กำกับภาพ ได้แก่ แดน มินเดล, เอเอสซี, โปรดักชั่น ดีไซเนอร์ ได้แก่ สก็อตต์ แชมบลิสส์ ภาพยนตร์เรื่องนี้ลำดับภาพโดยแมเรี่ยนน์ แบรนดอน, เอซีอี และแมรี่ โจ มาร์กี้, เอซีอี ส่วนผู้ทำหน้าที่ออกแบบเครื่องแต่งกาย ได้แก่ ไมเคิล แคปแลน งานวิชวลเอฟเฟ็กต์และแอนนิเมชั่นเป็นฝีมือของอินดัสเทรียล ไลท์ แอนด์ เมจิค, ดนตรีประกอบเป็นฝีมือของไมเคิล เกียคชิโน่

          ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับการจัดให้เป็นภาพยนตร์เรต PG-13 อันเนื่องมาจากฉากแอ็กชั่นแนววิทยาศาสตร์ ความรุนแรง และเนื้อหาบางส่วนที่เกี่ยวกับเรื่องเพศ


















ลูกเรือป้ายแดงของยานยูเอสเอส เอ็นเตอร์ไพรส์




คริส ไพน์

 



  คริส ไพน์ รับบท เจมส์ ไทบีเรียส เคิร์ก  

          แม้ เจมส์ ที เคิร์ก จะถูกกำหนดให้กลายเป็นกัปตันของยานอวกาศลำนี้ ซึ่งได้สร้างตำนานต่างๆ ขึ้นมา แต่เมื่อตอนที่ "Star Trek" เริ่มต้นขึ้น เขายังเป็นเพียงวัยรุ่นเลือดร้อนจากไอโอว่าที่เต็มไปด้วยความฉลาดเฉลียว มีเสน่ห์ และเป็นพวกเฮี้ยวชอบแหกกฎที่อาจทำให้เขาหลงผิดได้ เคิร์กต้องเอาชนะสิ่งที่ตัวละครตัวหนึ่งพูดเอาไว้ว่าเป็น "สัญชาตญาณในการกระโดดก่อนจะมองทาง" ให้ได้ก่อน แต่เมื่อเขาได้เห็นยานยูเอสเอส เอ็นเตอร์ไพรส์ ที่กำลังอยู่ภายใต้การก่อสร้างอยู่ในโรงเก็บยานที่มีการรักษาความปลอดภัยแน่นหนา บางอย่างในหัวใจของเขาเหมือนถูกปลุกให้ตื่น และเคิร์กเกิดความทะเยอทะยานที่จะเข้าเรียนที่สตาร์ฟลีท และพยายามก้าวขึ้นเป็นที่หนึ่งตามแบบฉบับของเขาเอง 

          ภาพลักษณ์ของเคิร์กที่เป็นชายหนุ่มสุดเถื่อน ผู้กำลังค้นหาอนาคตก่อนที่เขาจะพร้อมรับผิดชอบ ซึ่งจะทำให้เขากลายเป็นผู้นำอันยิ่งใหญ่ นี่คือเรื่องที่ยังไม่เคยมีใครได้เห็นบนจอมาก่อน "เรามีไอเดียที่ให้เคิร์กเป็นหนุ่มเฮี้ยวหัวกบฏเมื่อเราได้พบเขาครั้งแรก เขาเป็นพวกไม่เอาใคร เป็นคนที่ไม่ทำตามสังคม เป็นคนประเภทใช้กึ๋นตัดสินใจชีวิต แต่ที่จริงแล้ว เขาเหมือนคนหลงทาง และเมื่อเขาได้เห็นยานเอ็นเตอร์ไพรส์ เขาจึงเกิดแรงบันดาลใจคิดอยากจะปรับเส้นทางชีวิตของตัวเอง" อับรามส์อธิบาย  

          การจะค้นหาตัวนักแสดงหนุ่มที่สามารถแสดงบทบาทที่ วิลเลี่ยม แช็ตเนอร์ เคยแสดงเอาไว้ได้อย่างยากจะลืมเลือน แต่จะต้องแสดงเป็นตัวละครได้อย่างมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเองด้วย ทางทีมผู้สร้างต้องเดินทางค้นหาอยู่นาน จนพวกเขาเกือบจะเลิกค้นหาแล้วนั่นเองที่ คริส ไพน์ ได้เดินเข้ามาออดิชั่นบทกับพวกเขา และทำให้พวกเขาต้องประหลาดใจ บทบาทของไพน์ในภาพยนตร์ตลกโรแมนติคหลายเรื่อง รวมถึงในภาพยนตร์แนวแอ็กชั่นอย่าง "Smokin' Aces" ทำให้เขากลายเป็นดารารุ่นใหม่ที่น่าจับตามอง แต่ไม่มีใครเคยคิดเลยว่าเขาจะเหมาะกับบท เคิร์ก ที่ต้องมีความจริงจัง มีอารมณ์ขัน และมีความเป็นตัวของตัวเองสูง ไบรอัน เบิร์ก ผู้อำนวยการสร้างบริหารของภาพยนตร์เรื่องนี้เล่าว่า "คริสมีความเชื่อมั่นสูงจนน่าทึ่ง และเป็นไอ้หนุ่มขี้เต๊ะโดยไม่ทำให้รู้สึกว่าเขาดูยโสหรือเสแสร้ง เรารู้ทันทีเลยว่าเราได้เจอเคิร์กของเราแล้ว" ผู้อำนวยการสร้าง เดม่อน ลินเดลอฟ เล่าเสริมว่า "เรากำลังมองหาคนที่สามารถสื่อความเป็นแช็ตเนอร์ออกมาได้โดยไม่ต้องลอกเลียนแบบแช็ตเนอร์ เป็นคนที่จะต้องดูสนุกเฮฮา แต่ก็ต้องเป็นคนที่สามารถเดินเข้าไปยังหอบังคับการของเอ็นเตอร์ไพรส์ และบัญชาการได้อย่างมีอำนาจในทันที คริสมีคุณสมบัติเหล่านั้นอยู่อย่างครบถ้วน" 

          เจเจ อับรามส์สรุปว่า "คริสมีความเฉลียวฉลาด เฉียบคม และมีความคล่องแคล่วแบบเคิร์ก แต่ที่สำคัญพอๆ กันก็คือ เขาสามารถทำให้ตัวเองดูตลกขบขันและอ่อนไหวได้ด้วย เหนือสิ่งอื่นใด เขากล้าเสี่ยงในทุกอย่าง และมักจะทุ่มเทให้กับบทเสมอ เขาทำให้เคิร์กดูจริงอย่างมาก ซึ่งคือทุกสิ่งทุกอย่างที่เราต้องการ" 

          ในทางกลับกัน ไพน์รู้สึกประทับใจในตัวอับรามส์อย่างมาก "พลังที่อยู่รอบๆ ตัวเขา และโปรเจ็กต์นี้เป็นสิ่งที่สัมผัสได้" ไพน์บอก "ผมแทบรอเวลาที่จะได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ไหวด้วยซ้ำ" 

          นับแต่เริ่มต้น ไพน์เข้าใจดีว่าเขาจะต้องสร้างเส้นทางเดินส่วนตัวขึ้นมา และนำมาแค่แรงบันดาลใจที่ได้จากสิ่งที่แช็ตเนอร์เคยแสดงเอาไว้เพื่อสร้างให้ตัวละครตัวนี้กลายเป็นตัวละครที่แฟนๆ ทั่วโลกชื่นชม "คุณแช็ตเนอร์ได้สร้างตัวละครที่เป็นแอ็กชั่นฮีโร่ และเป็นขวัญใจสาวๆ เขายังแสดงบทนี้อย่างมีอารมณ์ขันมากมาย สิ่งที่ผมชอบมากในภาพยนตร์เรื่องนี้ก็คือ คุณมีโอกาสได้เห็นว่าเขากลายมาเป็นชายคนนี้อย่างที่เขาเป็นได้อย่างไรและทำไม” ไพนส์กล่าว "มันน่าปลาบปลื้มจริงๆ ที่ได้มาเดินตามรอยเท้าคุณแช็ตเนอร์ รวมถึงประวัติศาสตร์ของ "Trek" ทั้งที่เป็นภาพยนตร์จอเงินและจอแก้ว เราทุกคนต่างเห็นพ้องกันว่ามันคงเป็นความผิดพลาดที่จะคิดสร้างสิ่งที่เขาทำเอาไว้แล้วขึ้นมาใหม่อีกรอบ ความท้าทายคือการสร้างมันออกมาในแบบฉบับของผมเองต่างหาก"

          บทภาพยนตร์เรื่องนี้ช่วยจุดประกายจินตนาการของเขาไปสู่ทิศทางใหม่ๆ ไพน์เล่าว่า "เพราะเราได้เห็นเคิร์กตอนเป็นหนุ่ม เราจึงสามารถสร้างจุดกำเนิดพลังและความปรารถนาของเขา และยังเล่าได้ด้วยว่าทำไมเขาถึงต้องดิ้นรนที่จะใช้ความสามารถของตัวเองให้ได้"

          หัวใจที่ยังคงเป็นมนุษย์ปุถุชนของเคิร์ก ซึ่งบ่อยครั้งมีข้อบกพร่องและกล้าบ้าบิ่นพอๆ กับที่ดูทรงพลังและมีอำนาจ คือสิ่งที่ไพน์อยากนำเสนอให้เห็นมากที่สุด "เคิร์กไม่ใช่ซูเปอร์ฮีโร่ เขาเป็นแค่ผู้ชายธรรมดาเหมือนกับพวกเราทุกคนที่ต้องเผชิญหน้ากับปัญหาหนักๆ เหล่านี้ที่จำต้องแก้ปัญหาให้ได้ สิ่งที่ทำให้เขาแตกต่างออกไป ก็คือ เขามักจะต่อสู้ด้วยทุกอย่างที่เขามีและบากบั่นจนถึงที่สุด" 

          ไพน์ฝึกฝนร่างกายอย่างหนักทั้งชกมวย และฝึกศิลปะการต่อสู้เพื่อเรียนรู้ที่จะต่อสู้กับสิ่งมีชีวิตจากนอกอวกาศด้วยปัญญาระดับหาตัวจับได้ยาก รวมถึงความอึดแบบเด็กข้างถนนของเขาด้วย "ผมฝึกกับทีมสตั๊นต์ที่เก่งมากๆ ของเรา และสิ่งที่ทำให้งานนี้เป็นเรื่องสนุกก็คือ แอ็กชั่นที่เห็นคือของจริง เคิร์กไม่ใช่คนประเภทที่ชนะหมดทุกครั้ง เขาโดนหมัดเข้าไปหลายครั้งเหมือนกัน แต่เขาจะสู้แบบสุดชีวิตเลย"

          สำหรับไพน์ ความท้าทายสูงสุดอยู่ที่การต้องโต้ตอบกับสป็อคได้อย่างตลกในจังหวะที่ลงตัวที่สุด "แซ็ค (ควินโต) กับผมอยากให้คนดูได้เห็นเคิร์กกับสป็อคที่เป็นชายหนุ่มสองคนที่หลักแหลมและดื้อดึงอย่างมาก ผู้จะต้องตะลุยตลอดทั้งชีวิตของพวกเขา แต่พวกเขาก็จะเริ่มรักกันเพราะนิสัยแบบนั้นเช่นกัน" ไพนส์อธิบาย 

          ไพน์บอกว่าสุดท้าย การแสดงที่เข้าขาของทีมนักแสดงหนุ่มสาวเหล่านี้ เริ่มสะท้อนให้เห็นภาพของลูกเรือยานเอ็นเตอร์ไพรส์ "เราสนุกด้วยกันมากทีเดียว” ไพน์บอก "แซ็คเป็นเพื่อนร่วมงานที่ดีมาก จอห์น โชที่แสดงเป็นซูลู ก็ตลกและมีความสามารถเยอะ คุณจะได้เห็นด้านใหม่ๆ ของเขาในบทนี้ คาร์ล เออร์แบน (รับบทดร.แม็คคอย) กับผมเล่นด้วยกันได้อย่างไหลลื่น และเขาคงทำให้ทุกคนแปลกใจได้มากที่สุด โซอี้ ซัลดาน่าในบทอูฮูร่า ให้ทั้งความสวยและความฉลาดที่ยากจะหาได้พบ ไซม่อน เป็กก์ และอันตวน เยลชินดูสนุกสนานมากในบทสก็อตตี้และเชคอฟ พวกเราทุกคนคือกลุ่มเพื่อนร่วมงานที่ดีจริงๆ เราไม่เคยจริงจังกับตัวเองมากเกินไป แต่เราทำงานกันเป็นทีมจริงๆ" 

          ไพน์บอกว่าทุกอย่างนี้เหมือนก่อตัวเข้าด้วยกันในนาทีที่เขาเดินเข้าไปในฉากหอบังคับการยาน โดยรู้ว่าในสักวันหนึ่งข้างหน้าเร็วๆ นี้ เคิร์กจะเป็นผู้บัญชาการยานเอ็นเตอร์ไพรส์ "การได้เดินเข้าไปในฉากยานเอ็นเตอร์ไพรส์เป็นครั้งแรก คือหนึ่งในวินาทีที่จู่ๆ มันก็เหมือนกระแทกโดนใจคุณว่าคุณกำลังทำงานที่มันพิเศษแค่ไหน" ไพน์เปิดเผยความรู้สึก "แล้วก็มาถึงวินาทีสำคัญ ซึ่งก็คือครั้งแรกที่ผมได้นั่งเก้าอี้กัปตันยาน ผมรู้สึกขนลุกซู่ มันคือวินาทีที่ผมจะจดจำไปชั่วชีวิตผม"


แซ็คคารี่ ควินโต



  แซ็คคารี่ ควินโต รับบท สป็อค

          เมื่อยานเอ็นเตอร์ไพรส์ถูกปล่อยออกจากท่าเป็นครั้งแรก และมุ่งหน้าไปยังดาวดวงต่างๆ มีเจ้าหน้าที่นายหนึ่งที่แตกต่างไปจากคนอื่นๆ เขาก็คือชายที่รู้จักกันในชื่อสั้นๆ ว่าสป็อค สป็อคเกิดบนดาวเคราะห์วัลแคน โลกที่อารมณ์เป็นสิ่งที่เกินความควบคุม เพราะบนดาวของพวกเขา ทุกอย่างเป็นไปตามเหตุผลอย่างเดียวเท่านั้น อย่างไรก็ดี แม่ของสป็อคเป็นมนุษย์โลก ทำให้สป็อคต้องเติบโตมาพร้อมการต่อสู้ภายในระหว่างเชื้อชาติกับสัญชาตญาณ เหมือนที่ซาเร็ก พ่อของสป็อคได้บอกเขาเอาไว้ "ลูกสามารถเลือกโชคชะตาของตัวเองได้...นี่คือสิ่งเดียวที่ลูกเลือกได้"  

          "Star Trek" ทำให้คนดูได้เห็นสป็อคในช่วงที่ยังเป็นหนุ่ม และต้องตัดสินใจเลือกระหว่างด้านของมนุษย์โลกและด้านของชาววัลแคนในตัวเขา "สป็อคต้องตัดสินใจว่าเขาควรจะควบคุมอารมณ์เอาไว้หรือควรจะยอมรับในความเป็นมนุษย์ของเขา และดิ้นรนต่อสู้กับตัวตนสองด้านของเขาตลอดทั้งเรื่องนี้" อับรามส์บอก "ผมชอบไอเดียที่ตัวละครตัวนี้พยายามมองหาจุดยืนของเขาในโลกใบนี้" 

          ในตอนเริ่มต้น อับรามส์ยอมรับว่า “เรายังไม่แน่ใจเลยว่าเราจะหาคนมาเล่นเป็นสป็อคได้ไหม และเราจะเชื่อมโยงไปถึง เลนนาร์ด นีมอย ได้แค่ไหน” เมื่อทีมผู้สร้างได้เห็นแซ็คคารี่ ควินโต ซึ่งเป็นที่รู้จักดีจากซีรีส์สุดฮิตทางทีวีเรื่อง  "Heroes" พวกเขาเชื่อว่าพวกเขาได้พบสป็อคแล้ว "แซ็คมีความฉลาดและดูช่างคิด ซึ่งหาได้ยากนักในตัวนักแสดงรุ่นใหม่ เขาสามารถให้การแสดงที่ให้เกียรติต่อสิ่งที่เลนนาร์ดได้ทำเอาไว้อย่างสำเร็จท่วมท้น โดยไม่ต้องให้การแสดงที่เป็นการลอกเลียนแบบเขา" 

          ควินโตอยากแสดงบทนี้ใจจะขาด "ผมปิ๊งส์ตัวละครอย่างสป็อคมาก" ควินโตบอก "แล้วผมก็ชอบไอเดียที่ทำให้ลูกเรือเอ็นเตอร์ไพรส์มีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้ง สำหรับผมแล้ว สป็อคดูน่าทึ่งเสมอ เพราะความขัดแย้งระหว่างจิตใจและอารมณ์ของเขา และด้วยความสามารถของเขาที่จะสร้างสมดุลของจิตและใจไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นรอบตัวเขาก็ตาม ในภาพยนตร์เวอร์ชั่นใหม่นี้ คุณจะได้เห็นเขาพยายามหาวิธีสร้างสมดุลนั้น ที่ทำให้เขาได้พบความสำเร็จ ลักษณะที่คล้ายคลึงกันระหว่างเขากับเคิร์กและลูกเรือคนอื่นๆ ก็คือ เขาอยากจะทำให้จักรวาลนี้น่าอยู่มากขึ้น"

          การทำงานอย่างใกล้ชิดกับคริส ไพน์ ช่วยให้ควินโตสามารถดึงเอาอารมณ์ที่สป็อคเก็บซ่อนเอาไว้ออกมาได้ "คริสแสดงเป็นเคิร์กได้อย่างไม่มีที่ติ" ควินโตบอก "ด้วยท่าทางวางโต มีความเชื่อมั่น และดูเป็นธรรมชาติของเขา คุณจะมองเห็นเลยว่าทำไมสป็อคผู้มีเหตุผลและเชื่อฟังคำสั่งเสมอ ถึงได้คิดว่าเคิร์กเป็นพวกบ้าระห่ำที่เป็นตัวอันตราย ผมว่าคุณคงจะเข้าใจเลยว่าทำไมในตอนแรกเคิร์กถึงคิดว่าสป็อคเป็นตัวน่ารำคาญจอมเจ้ากี้เจ้าการ แต่เมื่อเรื่องดำเนินไป ผมหวังว่าคุณคงจะเห็นด้วยว่าทำไมพวกเขาถึงสามารถดึงสิ่งที่ดีที่สุดออกมาจากอีกฝ่ายหนึ่งได้" 

          ควินโตยังเพลิดเพลินไปกับการทำงานกับสองตัวละครคลาสสิก ผู้มีบทสำคัญในภาพยนตร์เรื่อง "Star Trek" นั่นก็คือพ่อแม่ต่างสายพันธุ์ของสป็อค ได้แก่ อาแมนด้า เกรย์สัน แม่ที่เป็นมนุษย์โลกของเขา และซาเร็ก พ่อที่เป็นทูตจากดาววัลแคน ซึ่งรับบทแสดงโดย วีโนน่า ไรเดอร์ ผู้เคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์มาแล้ว 2 ครั้ง (The Age of Innocence, Little Women) และนักแสดงชายชาวอังกฤษ เบน ครอสส์ ผู้สร้างชื่อจากภาพยนตร์รางวัลออสการ์เรื่อง  "Chariots of Fire" เมื่อมาแสดงด้วยกัน ไรเดอร์และครอสส์ได้สร้างคู่สามีภรรยาที่มีความแตกต่างแต่ซับซ้อน "วีโนน่านำความอ่อนโยนมาสู่บทที่เธอแสดง เธอเน้นให้เห็นถึงการเดินเคียงข้างกันไประหว่างการใช้ชีวิตด้วยความรู้สึกจากหัวใจของเธอ กับการมีเหตุมีผลของซาเร็ก" ควินโตบอก "เบนคือพลังอันเปี่ยมล้นเมื่อคุณอยู่ใกล้ๆ เขา เขามีความแน่นอนและมีความติดดินในบทซาเร็ก ซึ่งผมสามารถเข้าใจและผูกพันกับเขาได้ในทันที" 

          ควินโตยังได้รับโอกาสอันน่าตื่นเต้นที่ได้ทำงานกับชายผู้ให้กำเนิดสป็อค เขาผู้นั้นก็คือนีมอย อับรามส์กล่าวว่า "นี่ไม่ใช่การตัดสินใจง่ายๆ หรือเอาแน่เอานอนไม่ได้เลยสำหรับเลนนาร์ด ในด้านหนึ่ง มันถูกกระตุ้นด้วยความต้องการที่จะทำให้ตัวละครตัวนี้มีการปิดกั้น และส่งไม้ผ่านไปให้แซ็ค การรับบทนี้มีความหมายกับเขามาก แต่ขณะเดียวกัน เขาก็สนุกไปกับมันมากทีเดียว"  

          นีมอยบอกว่าเป็นเพราะการได้พูดคุยในช่วงแรกระหว่างเขากับอับรามส์ และการได้พบปะกับออร์ซี่และเคิร์ตซ์แมนครั้งแรกที่ทำให้เขาเกิดความสนใจขึ้นมาอย่างแรง "ผมรู้สึกว่าพวกเขามีความเข้าใจดีทีเดียวว่าอะไรคือสิ่งที่ดีที่สุดใน "Star Trek" นีมอยบอก "ผมรู้สึกว่าพวกเขาคงจะให้ความยุติธรรมกับเรื่องนี้ได้ และคงจะช่วยยกระดับภาพยนตร์เรื่องนี้ไปสู่จุดที่เรายังไม่เคยไปถึงมาก่อน ทีมเขียนบททีมนี้สร้างผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในการเข้าถึงคุณสมบัติพิเศษของตัวละครต้นฉบับ และผมรู้สึกมีกำลังใจจากองค์ประกอบทั้งหมดนี้"  

          เขายังรู้สึกประทับใจกับความสามารถในการกำกับของอับรามส์ "มีผู้กำกับหลายคนที่มีความสามารถที่จะทำงานกับภาพยนตร์ฟอร์มใหญ่ที่มีฉากแอ็กชั่นเยอะๆ ได้ และมีผู้กำกับอีกหลายคนที่สามารถสร้างวินาทีที่กินใจระหว่างตัวละครได้ เจเจเก่งในแง่ที่เขาทำได้ทั้งสองอย่างนี้" นีมอยตั้งข้อสังเกต จากนั้นก็มาถึงบทภาพยนตร์ที่เสร็จสมบูรณ์ "ผมว่ามันมีความเป็นภาพยนตร์แอ็กชั่น/ ผจญภัยที่ดีมาก เป็นเรื่องอันทรงพลังที่ว่าด้วยความขัดแย้งและความพยาบาทโดยมีอนาคตของแกแล็คซี่ต่างๆ เป็นเดิมพัน และในขณะเดียวกัน มันคือเรื่องใกล้ตัวของผู้คนที่มีความพิเศษที่ได้มาเจอกันเป็นครั้งแรก" นีมอยให้ความเห็นไว้ 

          นีมอยยอมรับว่าทั้งตัวเขาเองหรือคนที่เคยมีส่วนเกี่ยวข้องกับซีรีส์ต้นฉบับทางทีวี ไม่เคยคิดเลยว่าตัวละครเหล่านี้จะอยู่คงทนยาวนานมาได้ถึงปัจจุบัน "เรารู้ดีว่าเรากำลังสร้างผลงานที่ดูน่าสนใจและทันสมัย" นีมอยบอก “เรารู้ดีว่าเรากำลังสร้างผลงานที่มีความบันเทิงและให้แง่คิด แต่ไม่มีใครคาดเดาได้เลยว่าในอีก 40 ปีต่อมา ตัวละครและคอนเซปต์นี้จะยังคงมีความสดใหม่และถูกนำมาสร้างใหม่ได้อยู่เรื่อยๆ” นีมอยยังตื่นเต้นกับกระบวนการคัดเลือกตัวนักแสดงของ "Star Trek" ที่พยายามรักษามุมมองที่มีต่อตัวละครให้มีความสดใหม่เข้าไว้ "ผมรู้สึกประทับใจกับทีมนักแสดงชุดนี้มาก" นีมอยให้ความเห็น "พวกเขาคือกลุ่มคนที่มีความสามารถ เหมาะกับบทบาท เป็นคนที่สามารถสะท้อนคุณสมบัติเด่นของทีมนักแสดงต้นฉบับไว้ได้ในขณะที่ดูเป็นคนร่วมสมัยด้วย" 

          นีมอยยังรู้สึกทึ่งเมื่อเขาได้พบกับนักแสดงหนุ่มที่จะมาสานต่อรอยเท้าของเขาในบทสป็อค "เลนนาร์ดกับผมได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันพักใหญ่" ควินโตเล่า "ผมถามคำถามเขามากมาย และเขาก็ให้ทั้งมุมมองและคำแนะนำกับผม เราคุยกันถึงสภาพจิตใจของสป็อค และสิ่งที่เกิดขึ้นกับสป็อคในช่วงกลางระหว่างตัวละครของเราสองคน เขามีความผูกพันอันยาวนานกับตัวละครตัวนี้ ดังนั้นเขาจึงคิดหมดทุกเรื่อง เขาช่วยได้เยอะมาก และผมรู้สึกว่าผมได้เปรียบจริงๆ ที่ได้ทำงานกับเขาอย่างใกล้ชิดขนาดนี้" 

          ไบรอัน เบิร์กสรุปว่า "เลนนาร์ดทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาให้กับแซ็ค และมันเป็นประสบการณ์ทางอารมณ์สำหรับพวกเขาทั้งคู่ มีความตื่นเต้นที่สัมผัสได้ในทุกครั้งที่พวกเขาสองคนมาอยู่ในกองถ่าย"

  คาร์ล เออร์แบน รับบท ดร.เลนนาร์ด "โบนส์" แม็คคอย

          ดร.แม็คคอยคือหมอที่เกลียดการบิน แต่ในเมื่อมีปัญหาส่วนตัวบนโลก เขาจึงอุทิศตัวเพื่อมาเป็นเจ้าหน้าที่การแพทย์ให้กับสตาร์ฟลีท วิธีในการรักษาของเขาอาจได้ประโยชน์จากเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ก้าวหน้าที่สุด แต่มารยาทท่าทางของเขากลับติดดินและเผ็ดร้อน ซึ่งช่วยให้เขามีบทบาทสำคัญในการกันไม่ให้เคิร์กและสป็อคจริงจังกับปัญหามากเกินไป 

          เพื่อมารับบทเป็นชายที่ต่อไปจะกลายมาเป็น "โบนส์" สั้นๆ ซึ่งในซีรีส์ต้นฉบับรับบทแสดงโดยนักแสดงตลกผู้เป็นที่จดจำอย่าง เดอฟอเรสต์ เคลลี่ย์ ผู้ล่วงลับไปแล้ว ทางทีมผู้สร้างเลือก คาร์ล เออร์แบน นักแสดงชาวนิวซีแลนด์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังจากภาพยนตร์ไตรภาคเรื่อง "The Lord the Rings" และยังรับบทเป็นนักฆ่าชาวรัสเซียในภาพยนตร์เรื่อง "The Bourne Supremacy" การออดิชั่นบทของเขาทำให้ทุกคนที่ได้เห็นต่างรู้สึกประทับใจว่าเขาคือทางเลือกที่เหมาะที่สุดสำหรับบทนายแพทย์เจ้าอารมณ์ ผู้จะกล่าวประโยคอันหาญกล้าที่ว่า "อวกาศคือเชื้อโรคและอันตรายที่ห่อตัวอยู่ในความมืดและความเงียบงัน" แต่เขากลับมีความพอใจอย่างลับๆ ที่จะสำรวจอวกาศ

          "คาร์ลเหมือนโบนส์มากอย่างน่าประหลาดใจ จนชวนให้ขนลุก เขาแสดงเป็นตัวละครตัวนี้ได้โดยไม่ต้องทำอะไรมากมายเลย" อับรามส์บอก "เขาคือคนปากร้าย  ชอบเหน็บแหนม ขี้โมโห แต่มันช่วยไม่ได้จริงๆ ที่คุณจะรักเขา"

          เออร์แบนต้องการแสดงบทนี้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเขาเองก็เป็นแฟนพันธุ์แท้ของ Trek มานาน "ผมมีความทรงจำอันน่าชื่นชมเมื่อผมได้ดูซีรีส์เรื่องนี้ตั้งแต่ผมยังเด็ก ผมจึงมีความคุ้นเคยเป็นอย่างดี และรู้ดีถึงบุคลิกของตัวละครและความสัมพันธ์ของพวกเขา สำหรับผมแล้ว การออดิชั่นครั้งนี้มันสนุกจริงๆ" เออร์แบนเล่า 

          เมื่อได้เซ็นสัญญาแล้ว เออร์แบนเริ่มสำรวจตัวตนจริงๆ ของดร.แม็คคอย "ผมว่าภายใต้ท่าทางภายนอก เขาคือผู้เชื่อมั่นในความเป็นมนุษย์ระดับตัวพ่อ เขามีความรู้สึกเมตตากรุณา เพียงแต่เขาแสดงความเมตตาออกมาในแบบที่ชอบถากถางและขี้โมโห" เออร์แบนบอก "เขาจะคอยดูแลคุณทั้งวันทั้งคืน แต่ในเวลาเดียวกัน มารยาทข้างเตียงคนไข้ของเขาก็แย่มาก สิ่งที่ผมชอบก็คือโบนส์กับเคิร์ก และสป็อคกลายมาเป็นเหมือนสามทหารเสือ เคิร์กคือขาลุย สป็อคคือพวกยึดเหตุผลและศาสตร์ ส่วนโบนส์เป็นจิตสำนึกของมนุษย์ที่คอยโต้แย้งกับแรงกระตุ้นแรกเริ่มของพวกเขา และช่วยให้สป็อคกับเคิร์กเดินไปบนเส้นทางที่ถูกต้องได้"

          สำหรับวิธีที่เขาใช้ในการรับบทนี้ เออร์แบนเล่าว่า "ผมอยากให้เกียรติกับเดอฟอเรสต์ เพราะเขาได้สร้างผลงานอย่างเยี่ยมยอดในการทำให้โบนส์กลายเป็นตัวละครผู้เป็นที่รัก ผมไม่อยากทำตัวเป็นเหมือนสำเนาของเขาหรอกนะ เมื่อตอนที่เราได้พบแม็คคอยในภาพยนตร์เรื่องนี้ เขาอยู่ในจุดที่แตกต่างไปจากที่เราเคยเห็น เพราะเขายังเหมือนกับกำลังวิ่งหนีจากชีวิตที่แตกเป็นเสี่ยงๆ ในความรู้สึกหนึ่ง ยานเอ็นเตอร์ไพรส์ก็คือที่สุดท้ายที่เขาเหลืออยู่ ผมอยากแสดงให้เห็นถึงด้านนั้นของตัวละคร" 

          เออร์แบนไฟแรงอยู่แล้ว แต่เมื่อเขาได้เห็นฉากหอบังคับการของยานเป็นครั้งแรก มันกลับยิ่งผลักดันให้ความกระตือรือร้นของเขาเพิ่มสูงขึ้น "ผมรู้สึกประทับใจกับฉากนี้มาก มันทั้งไฮเทคและสนุก และมีความใส่ใจในรายละเอียดสูงมาก มีการบีบให้ต้องวิ่งไปรอบๆ และกดทุกปุ่ม ทุกลูกบิด และสับสวิตช์เพื่อดูว่ามันอาจทำงานได้จริงๆ ก็ได้  ทางทีมผู้สร้างทำอย่างสุดฝีมือเพื่อให้การผจญภัยครั้งนี้ดูเหมือนจริงจนคุณรู้สึกว่าคุณสามารถปล่อยยานลำนี้ให้บินออกไปได้จริงๆ"

  ไซม่อน เป็กก์ รับบท มอนต์โกเมอรี่ "สก็อตตี้" สก็อตต์

          วิศวกรที่แสนร่าเริงของยานเอนเตอร์ไพรส์ ผู้จะได้รับชื่อเล่นว่า "สก็อตตี้" เพราะสำเนียงที่แสนมีชีวิตชีวาของเขา มาถึงยานลำนี้ด้วยท่าทางที่น่าประหลาด ซึ่งเป็นตัวกำหนดโทนในเรื่องที่ว่าจิตวิญญาณ อารมณ์ขัน และความสามารถของเขาในการหาทางออกจากปัญหา และมันได้กลายมาเป็นเสาหลักให้กับลูกเรือได้อย่างไร ด้วยความร่าเริงที่มีอารมณ์ขันเช่นนั้น บทสก็อตตี้ ที่ เจมส์ ดูแฮน เป็นผู้ให้กำเนิดเอาไว้ ได้ตกไปอยู่ในมือของนักแสดงตลกและผู้กำกับชาวอังกฤษ ไซม่อน เป็กก์ ทางทีมผู้สร้างภาพยนตร์เรื่อง "Star Trek" นึกภาพของเขาเอาไว้แล้วตั้งแต่ต้น ซึ่งต้องขอบคุณบทแสนเฮฮาที่ยากจะลืมเลือนของเขาในภาพยนตร์ฮิตของอังกฤษอย่าง "Shaun of the Dead" และ "Hot Fuzz"   

          "เราเป็นแฟนของไซม่อนมาตั้งแต่ "Shaun of the Dead" แล้ว และเขาเป็นหนึ่งในคนที่ตลกที่สุดที่เรารู้จัก ซึ่งทำให้เขาเหมาะกับบทสก็อตตี้" ไบรอัน เบิร์ก บอก

          เมื่ออับรามส์ถามเป็กก์ว่าเขาอยากแสดงบทนี้ไหม ตอนแรก เป็กก์รู้สึกปลาบปลื้มมาก "ไซม่อนอีเมล์มาหาผม และบอกว่า "ผมไม่รู้ว่าผมจะทำได้ไหม มันยิ่งใหญ่มาก" อับรามส์เล่า "จากนั้น เขาอีเมล์มาหาผมอีก เพื่อบอกว่า "รอเดี๋ยว ขอเวลาผมคิดดูก่อน" แล้วก็โชคดีสำหรับเรา หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ตอบตกลง"  

          สำหรับเป็กก์ ความกดดันเกิดมาจากความทรงจำในวัยเด็กที่เขาได้ดูซีรีส์ต้นฉบับด้วยความยำเกรง "มันเป็นสิ่งที่แปลกประหลาดมากนะที่ได้มาเล่นเป็นตัวละครที่คุณรู้จักมาตั้งแต่เด็ก" เป็กก์กล่าว "โดยเฉพาะเพราะว่า เจมส์ ดูแฮน ทำให้สก็อตตี้เป็นตัวละครที่ดีมาก เขาเป็นตัวละครที่มีความซับซ้อน ขณะที่อีกทางหนึ่ง เขามีด้านที่อ่อนไหวมากขึ้น และอีกด้านหนึ่ง เขาเป็นนักสู้ เป็นนักดื่ม และเขารับผิดชอบส่วนที่เท่ที่สุดของเอ็นเตอร์ไพรส์ นั่นก็คือห้องเครื่องและห้องขนส่ง อาณาเขตของเขาคือตำนาน ดังนั้นมันจึงเป็นสิ่งที่ต้องสานต่อ”  

          "ผมชอบที่บทภาพยนตร์เรื่องนี้ปล่อยให้ตัวละครแต่ละตัวได้พูดประโยคที่ทำให้พวกเขามีชื่อเสียงโด่งดังโดยไม่ต้องกะพริบตาส่งสัญญาณ ตัวละครแต่ละตัวได้มาถึงวินาทีสำคัญของพวกเขา โดยไม่ทำให้เรื่องราวเสียไป" เป็กก์บอก  

          เมื่อคนดูได้พบกับสก็อตตี้ครั้งแรก เขาใช้ชีวิตอยู่บนดาวเคราะห์น้ำแข็ง เดลต้า เวก้า ในสภาพคนที่โดนเนรเทศ "มันคือโอกาสอันดีที่ได้มาเห็นสก็อตตี้ในสถานการณ์ที่คุณไม่เคยเห็นมาก่อน ที่ซึ่งเขาเหมือนหลงทางและเมามาย เขาไม่รู้เลยว่าเขาจะได้เป็นนักประดิษฐ์ที่ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ของสตาร์ฟลีท" เป็กก์กล่าว "สนุกมากที่ได้มาสำรวจชีวิตช่วงนี้ของเขา"



  โซอี้ ซัลดาน่า รับบท อูฮูร่า

          อูฮูร่าแสนสวยและฉลาด นำทักษะฝีมืออันหาได้ยากของเธอในการฟังและตีความมาใช้ในการทำงานของเธอในฐานะเจ้าหน้าที่สื่อสารของยานเอ็นเตอร์ไพรส์  

          อูฮูร่าคือตัวละครสำคัญอีกตัวหนึ่งของซีรีส์ต้นฉบับ ซึ่งรับบทโดย นิเชลล์ นิโคลส์ เธอกลายเป็นหนึ่งในตัวละครเชื้อสายอัฟริกัน อเมริกันคนแรกๆ ทางทีวี และมีส่วนร่วมในจุมพิตข้ามเผ่าพันธุ์ครั้งแรกของวงการทีวีอเมริกัน การค้นหาของทีมผู้สร้างภาพยนตร์เรื่องนี้นำพวกเขาไปหา โซอี้ ซัลดาน่า นักแสดงสาวเชื้อสายเปอโตริโก้ และโดมินิแกน ที่กำลังมาแรง ผู้สร้างความโดดเด่นมาแล้วในบท อานามาเรีย ในภาพยนตร์ผจญภัยสุดคลาสสิกอย่าง "Pirates of the Caribbean: The Curse of the Black Pearl" ภาพลักษณ์ที่ดูมีพลังของเธอนี่เองที่ทำให้เธอเหมาะกับบทนี้ ตามที่เจเจ อับรามส์ บอก "โซอี้เป็นคนสวย ดวงตาโตของเธอทำให้คุณละลายได้เลย แต่เธอยังเป็นคนที่มีความอดทนสูงมาก ผมชอบที่เธอเหมือนมีการแบ่งออกเป็นสองภาค คือด้านผู้หญิงที่มีความอ่อนโยน และความแข็งแกร่งที่มีความเชื่อมั่น เธอเหมาะกับบทอูฮูร่าจริงๆ"  

          เมื่อลงมือค้นคว้าหาข้อมูลจากซีรีส์เรื่องนี้ ซัลดาน่ารู้สึกประทับใจกับบท อูฮูร่า ในซีรีส์ต้นฉบับมากทีเดียว "ไม่ใช่แค่เพราะเธอเป็นคนอเมริกันเชื้อสายอัฟริกันเท่านั้น แต่เธอยังเป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวในห้องที่อัดแน่นไปด้วยผู้ชาย และเธอก็มีตำแหน่งสูงด้วย" ซัลดาน่าบอก "ตัวละครตัวนี้และนิเชลล์คือผู้บุกเบิกให้กับผู้หญิงทุกรูปแบบในฮอลลีวู้ดจริงๆ ไม่ใช่แค่สำหรับผู้หญิงผิวสีเท่านั้น ฉันรู้สึกว่ามันคือเกียรติอันงดงามที่ได้มารับบทนี้จริงๆ"

          ซัลดาน่ากล่าวต่อไปว่า "ฉันมีโอกาสได้กลับไปยังจุดเริ่มต้นและคิดว่าอูฮูร่ามาจากไหน และเธอเป็นใคร และเธอสามารถอยู่บนยานเอ็นเตอร์ไพรส์ได้อย่างไร ฉันมองว่าเธอมีความเป็นนักสู้ เป็นคนที่ไม่เคยปล่อยให้ตัวเองผ่อนคลายเลย เพราะเธอรู้ดีว่าเธอจะต้องเก่งกว่าทุกคนรอบๆ ตัวเธอ"


  จอห์น โช รับบท ซูลู

          ผู้ทำหน้าที่เป็นต้นหนของยานยูเอสเอส เอ็นเตอร์ไพรส์ ก็คือซูลู หนึ่งในเจ้าหน้าที่ที่มีประสบการณ์มากที่สุดบนยาน เขาเป็นผู้รอบรู้ที่มีความสามารถตั้งแต่การบังคับยาน ไปจนถึงความรู้ในเรื่องฟิสิกส์ และการฟันดาบ ซึ่งทั้งหมดนี้ถือเป็นประโยชน์มากในภารกิจแรกของเขาในฐานะลูกเรือหน้าใหม่ 

          แต่แรกเริ่ม ซูลูรับบทแสดงโดย จอร์จ ทาเคอิ ผู้กลายมาเป็นฮีโร่ในหมู่นักแสดงอเมริกันเชื้อสายเอเชีย เขาคือตัวแทนผู้มีใบหน้าหล่อเหลาของชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียที่ได้ขึ้นจอทีวี อับรามส์เล็งเห็นถึงความคล้ายคลึงกันนี้ในตัว จอห์น โช นักแสดงชาวเกาหลีที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักจากบทบาทในภาพยนตร์ฮิตเรื่อง "American Pie" และซีรีส์เรื่อง "Harold and Kumar" อับรามส์กล่าวว่า "จอห์นทำให้ผมนึกถึง จอร์จ ทาเคอิ ในลักษณะที่เขานำความแข็งแกร่งและบุคลิกอันโดดเด่นมาสู่บทนี้ เขามีความห่วงใยที่จะทำให้ซูลูดูสมจริง" 

          โชรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้ก้าวตามรอยเท้าของทาเคอิ "ในฐานะคนอเมริกันเชื้อสายเอเชีย ซูลูคือผู้บุกเบิกสำหรับผม" โชกล่าว "ในเวลานั้นมีบทสำหรับคนเอเชียที่ไม่ได้เกี่ยวกับการต่อสู้หรือฉากสตั๊นต์อยู่น้อยมาก และเขาได้แสดงบทบาทอันเยี่ยมยอดนี้ในซีรีส์ที่โดดเด่น ในฐานะคนที่มีความน่าทึ่งน่าติดตาม ผู้มีความสนใจและมีทักษะฝีมือมากมาย สำหรับผม ถือเป็นความเฉียบคมจริงๆ ที่ได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของการผจญภัยครั้งใหม่ครั้งนี้"

          ขณะเตรียมตัวให้พร้อมเพื่อมารับบทนี้ โชมีโอกาสได้พบกับทาเคอิ "ผมพูดว่า "จอร์จ ผมค่อนข้างเป็นกังวลเหมือนกันนะที่ต้องมาสวมบทบาทต่อจากคุณ และถูกมองว่าเป็นจอร์จ ทาเคอิคนใหม่ และเขาก็พูดด้วยบุคลิกที่งดงามว่า "ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอก ในไม่ช้า พวกเขาคงจะเรียกฉันว่าเป็น จอห์น โช เวอร์ชั่นแก่’ เขาช่วยผมได้มากทีเดียว" 

  บรูซ กรีนวู้ด รับบท กัปตันไพค์


          กัปตันคนแรกของยานยูเอสเอส เอ็นเตอร์ไพรส์ กัปตันไพค์ปรากฏตัวให้เห็นในซีรีส์ต้นฉบับแค่สามตอนเท่านั้น โดยในตอนแรกบทนี้รับบทแสดงโดย เจฟฟรีย์ ฮันเตอร์ ต่อมา บทนี้รับบทแสดงโดย ฌอน เคนนี่ย์ นี่คือครั้งแรกที่คนดูจะได้เห็นกัปตันไพค์มากขึ้นและลึกซึ้งขึ้น และครั้งนี้คนที่รับบทเป็นกัปตันไพค์ ก็คือ บรูซ กรีนวู้ด นักแสดงชายชาวแคนาดา ผู้เคยฝากบทบาทการแสดงอันหลากหลาย ตั้งแต่บทประธานาธิบดี จอห์น เอฟ เคนเนดี้ ในภาพยนตร์เรื่อง "Thirteen Days" จนถึงบทฮีโร่ในซีรีส์ของ HBO เรื่อง "John from Cincinnati" "บรูซเป็นเสมือนตัวแทนพ่อของเคิร์ก" อับรามส์บอก "เขามีบุคลิกที่ดูแข็งแกร่ง เชื่อมั่น และเป็นผู้ใหญ่ ซึ่งจู่ๆ ก็เป็นที่สังเกตเห็นทันทีเมื่อไพค์ลงจากยาน เป็นการส่งถ่ายพลังอย่างแท้จริง" 

          สิ่งที่ทำให้กรีนวู้ดสนใจโปรเจ็กต์นี้ก็คือตัวบทภาพยนตร์ "ผมชอบวิธีที่ทีมผู้เขียนบทสำรวจตัวละครเหล่านี้" กรีนวู้ดบอก "มันคือการเดินทางไปสู่แรงจูงใจของเคิร์กและสป็อค และความขัดแย้งภายในใจของพวกเขา ผมว่ามันอัดแน่นไปด้วยเรื่องดราม่าดีๆ"

          เมื่ออยู่ในกองถ่าย กรีนวู้ดเหมือนล่องลอยไปด้วยประสบการณ์อันแสนสนุกสนานเมื่อได้มานั่งอยู่บนเก้าอี้ที่โด่งดังของกัปตัน "การได้มานั่งบนเก้าอี้ตัวนี้คือความรู้สึกพิเศษจริงๆ" กรีนวู้ดยอมรับ "ผมพูดว่า "ว้าว นี่คือภาพยนตร์เรื่องนี้จริงๆ ด้วย" แต่มันยังทำให้ผมคิดถึงธรรมชาติของความมีอำนาจ และสิ่งที่มีความหมายเมื่ออยู่บนหอบังคับการ ไม่ว่าธรรมชาติของการเป็นผู้นำในอีก 200 ปีข้างหน้าจะแตกต่างจากตอนนี้หรือไม่ก็ตาม"   ส่วนหนึ่งของความเป็นผู้นำของกรีนวู้ด ส่งผลอย่างลึกซึ้งต่อ เจมส์ เคิร์ก ผู้ซึ่งเขาได้สร้างแรงบันดาลใจให้จนกลายเป็นนักเรียนของสถาบันสตาร์ฟลีท ด้วยการท้าทายให้เคิร์กเติมเต็มให้กับโอกาสของพ่อของเขาที่เคยพบกับอุปสรรคมาก่อน "ผมชอบเรื่องพ่อกับลูกชายอยู่แล้ว ซึ่งมันมีลักษณะเช่นนั้นอยู่ในความสัมพันธ์ระหว่างไพค์กับเคิร์ก” กรีนวู้ดบอก "ลูกชายทุกคนไม่อยากทำผิดพลาดเหมือนที่พ่อของเขาเคยทำ และเมื่อไพค์เดินเข้ามาหาเคิร์ก และพูดว่า "ฉันขอท้าให้เธอทำให้ดีกว่าพ่อ" นั่นคือสิ่งที่โดนใจเขา สำหรับไพค์ เขามองเห็นบางอย่างที่โดดเด่นในตัวเคิร์ก และเขายินดีที่จะมอบโอกาสให้เขา ถึงแม้เคิร์กจะทำให้เขารู้สึกเสียใจอยู่หลายครั้ง!"

  อันตวน เยลชิน รับบท เชคอฟ

          พาวเวล แอนเดรียวิช เชคอฟคือเจ้าหน้าที่ที่อายุน้อยที่สุดของยานยูเอสเอส เอ็นเตอร์ไพรส์ เด็กอัจฉริยะชาวรัสเซีย และเป็นเซียนหมากรุกที่ยังคงเป็นวัยรุ่นอยู่เลยเมื่อตอนที่เขาเริ่มต้นเดินทางผจญภัยที่เขาไม่เคยคิดฝันมาก่อนแม้ในความฝันที่โลดโผนที่สุดของเขา 

          บทนี้ที่ดั้งเดิมรับบทแสดงโดย วอลเตอร์ โคนิก ท่ามกลางสงครามเย็น การมีเชคอฟเป็นสมาชิกอยู่บนยานเอ็นเตอร์ไพรส์บ่งบอกถึงยุคสมัยที่ทุกชาติบนโลกน่าจะใช้ชีวิตอย่างเป็นหนึ่งเดียวกัน และให้ความร่วมมือกัน เขายังเป็นตัวแทนของความหุนหันและความไร้เดียงสาของชายหนุ่มที่ต้องเผชิญหน้ากับเหตุการณ์อันสุดมหัศจรรย์ และได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ในห้วงอวกาศ เพื่อใส่ความสมจริงที่ดูทันสมัยให้กับเชคอฟ ทางทีมผู้สร้างค้นหาตัวนักแสดงหนุ่มที่ไม่เพียงแต่จะต้องมีความเฉลียวฉลาดและมีบุคลิกอย่างที่ต้องการเท่านั้น แต่ยังจะต้องมีแบ็คกราวน์แบบชาวรัสเซียที่เข้ากับตัวละครตัวนี้ด้วย พวกเขาได้พบส่วนผสมที่ลงตัวในตัว อันตวน เยลชิน ผู้เกิดในเลนินกราด แต่กลายมาเป็นดารานำชายรุ่นใหม่ในภาพยนตร์อย่าง "House of D," "Alpha Dog," "Charlie Bartlett" และภาพยนตร์ใหม่เรื่อง "Terminator Salvation" "อันตวนมีคุณสมบัติแบบนักเล่นหมากรุกชาวรัสเซียจริงๆ แถมยังเป็นคนน่ารักด้วย คุณห้ามใจไม่ให้ชอบเขาไม่ได้เลย” อับรามส์ตั้งข้อสังเกตเอาไว้ 

          เยลชินมารับบทนี้ด้วยความสดใหม่จริงๆ เพราะเขาไม่เคยดูซีรีส์เรื่องนี้มาก่อนเลย แต่หลังจากนั้น เขาได้นั่งดูซีรีส์ต้นฉบับครบทุกตอน "ผมสนุกมากกับการนั่งดูซีรีส์เรื่องนี้" เยลชินเล่า "สิ่งที่ผมชอบในตัวเชคอฟในซีรีส์ต้นฉบับก็คือ เขาเป็นสมาชิกที่ประหลาดที่สุดบนยาน เหมือนเด็กยุคสงครามเย็นมาเจอกับเดวี่ย์ โจนส์ เขามีความแข็งขันแบบเด็กหนุ่ม และบ่อยครั้งที่เขากลายเป็นตัวสร้างอารมณ์ขัน แต่ในภาพยนตร์ของพวกเรา เขามีความหลากหลายอยู่ในตัว เขาเป็นคนที่อายุน้อยที่สุด บางครั้งก็ดูขี้อาย แต่ก็เป็นเด็กอัจฉริยะ ผมสนุกกับการค้นหาคุณสมบัติพิเศษที่ผมอยากจะใส่ลงไปในตัวเขา"

          เพื่อเจาะลึกลงไปในบทนี้ เยลชินได้พบกับ วอลเตอร์ โคนิก ผู้สร้างตัวละครตัวนี้ขึ้นมาเมื่อ 40 ปีก่อน "วอลเตอร์บอกว่าเพื่อทำให้ตัวละครตัวนี้ดูดี คุณต้องทำให้เขาเป็นตัวละครตามแบบฉบับของคุณเอง นั่นคือวิธีการทำงานของเจเจ และมันส่งผลต่อทุกสิ่งทุกอย่างในภาพยนตร์เรื่องนี้ ตั้งแต่เสื้อผ้า จนถึงการแสดงของพวกเรา เจเจดึงเอาองค์ประกอบที่แข็งแกร่งที่สุดจากอดีต และผสมมันเข้ากับจินตนาการอันยิ่งใหญ่ของเขาเอง"



  ศัตรูหมายเลข 1 : เอริค บาน่า รับบท โรมูลัน นีโร

          กัปตันนีโรรับบทแสดงโดย เอริค บาน่า นักแสดงหนุ่มชาวออสเตรเลีย ซึ่งเมื่อเร็วๆ นี้ได้รับคำชมจากบทมือสังหารชาวอิสราเอล ในภาพยนตร์ของสตีเว่น สปีลเบิร์ก เรื่อง "Munich" นับแต่เริ่มต้น อับรามส์รู้สึกว่าบาน่าสามารถนำความหลากหลายมาสู่ตัว นีโร ซึ่งจะกลายเป็นผู้ร้ายที่เคียดแค้นได้ "เอริคทำให้พวกเราได้แสดงที่หลากหลายระดับสุดยอด ทำให้ตัวละครตัวนี้ดูน่าสนใจมากขึ้น และมีอันตรายอย่างมาก" อับรามส์บอก

          อันที่จริง บาน่าอยู่ในช่วงหยุดพักจากงานแสดงพอดี เมื่อตอนที่อับรามส์ติดต่อเขาครั้งแรก แต่บทอันยากจะต้านทานบทนี้ คือตัวที่ดึงเขากลับคืนสู่จอภาพยนตร์อีกครั้ง "ผมพูดกับเจเจว่าบทภาพยนตร์เรื่องนี้คือการผจญภัยอันน่าตื่นเต้นตั้งแต่ต้นจนจบเรื่องจริงๆ และนีโรเป็นผู้ร้ายที่ทั้งบ้าและให้ความบันเทิงอย่างมาก ซึ่งผมจะต้องเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยให้ได้"

          ที่แตกต่างไปจากสมาชิกคนอื่นๆ ของทีมนักแสดงชุดนี้ ก็คือตัวละครของบาน่าไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เคยมีมาก่อนหน้านี้ ถึงแม้เขาจะสนุกกับการสำรวจวัฒนธรรมของชาวโรมูลัน ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในเรื่องของความเจ้าเล่ห์ เรื่องของความคลั่งไคล้หมกมุ่น เกียรติยศศักดิ์ศรี เทคโนโลยี และความก้าวร้าว ทั้งนี้เพื่อให้เขาเกิดความเข้าใจในสภาพจิตใจของนีโร "เขาอาจเป็นคนที่มีความอดทนสูง และนิ่งได้ราวกับเซน เขาชอบความคิดที่ว่าการล้างแค้นคืออาหารที่เหมาะจะกินในแบบเย็นๆ" 

          การเป็นตัวละครที่คิดสร้างขึ้นมาใหม่ของนีโรคือส่วนหนึ่งที่ดึงดูดความสนใจของบาน่า "มันน่าตื่นเต้นที่ได้แสดงเป็นตัวละครที่ยังไม่เคยมีใครเห็นมาก่อน และมีโอกาสได้นำความสดใหม่และความแตกต่างมาสู่เรื่องที่มีประวัติยาวนานมาก" บาน่าบอก 

          สำหรับภาพลักษณ์อันโดดเด่นของนีโร ซึ่งต้องแต่งหน้า ติดอวัยวะปลอม และแต่งตัวนานวันละ 4 ชั่วโมง บาน่าบอกว่า "ผมชอบมันแทบจะในทันทีเลยนะ มันประหลาด แต่ผมว่ามันก็สวยดี หลังจากเล่นเป็นนีโรมาได้ไม่ถึงอาทิตย์ดี เขาเริ่มดูเป็นคนปกติธรรมดาสำหรับผมไปแล้ว ขณะที่มนุษย์ปกตินี่แหละกลับดูประหลาดมากขึ้น!" บาน่ายังหลงใหลในยานของนีโรที่ชื่อ เนราด้า ซึ่งเป็นยานรบที่ดูหรูหราโฉบเฉี่ยวและมืด "มันเป็นยานที่เท่มากๆ" บาน่าบอก "ตอนที่ผมเดินเข้าไปในฉากนั้น ผมแทบไม่อยากเชื่อเลย ผมชอบพวกเครื่องยนต์กลไกอยู่แล้ว และด้วยสภาพของเส้นลวดสายไฟที่เปิดโล่ง ทุกอย่างเปิดโล่งหมด จนคุณมองเห็นเลยว่าเจ้าโครงสร้างยานทั้งลำนี้ประกอบเข้าด้วยกันอย่างไร ผมว่ามันคืองานออกแบบที่น่าทึ่งมากทีเดียว"

          แต่สิ่งที่ประทับใจบาน่าที่สุดคือเพื่อนนักแสดงของเขานี่แหละ บาน่ารู้สึกตื่นเต้นมากที่ได้ต่อสู้กับคริส ไพน์ ในบทเคิร์ก ผู้มีความมุ่งมั่นสูง "ผมได้แสดงฉากต่อสู้กับนักแสดงหลายคนด้วยกัน แต่คริสเป็นคนที่ทั้งบึกบึนและรวดเร็วมาก ทำให้การต่อสู้นั้นเป็นการเผชิญหน้าที่ยิ่งใหญ่" บาน่าบอก "การต่อสู้ของเรามันน่าตื่นเต้นมากจริงๆ และผมหวังว่าคนดูคงจะรู้สึกเช่นนั้น"

          ผู้กำกับอับรามส์บอกว่า การแสดงที่เข้าขากันจนยากจะปฏิเสธได้นั้น ค่อยๆ เกิดขึ้นในกลุ่มนักแสดง "ผมคงไม่มีทางโชคดีเท่านี้อีกแล้วเมื่อได้ทีมนักแสดงชุดนี้มา พวกเขายึดมั่นต่อกฎที่นักแสดงที่สร้างตัวละครเหล่านี้เอาไว้แล้ว ได้วางเอาไว้ และได้ปรับเปลี่ยนให้มันกลายเป็นกฎเกณฑ์ของพวกเขาเอง ทำให้มันตลก ได้อารมณ์ และสมจริง ขณะที่ดูคุ้นเคยได้อย่างวิเศษที่สุด"


ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก
 

เรื่องที่คุณอาจสนใจ
Star Trek อัปเดตล่าสุด 11 พฤษภาคม 2552 เวลา 10:13:35 54,753 อ่าน
TOP