คุณหมอกระเป๋าเขียว เสี่ยงชีวิต รักษาชีวิต

พอ.สว.


คุณหมอกระเป๋าเขียว เสี่ยงชีวิต รักษาชีวิต (กรุงเทพธุรกิจ)

          ตามติดภารกิจของ หมอกระเป๋าเขียว ที่มุ่งมั่นสืบทอดพระราชปณิธานของ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี เพื่อให้ประชาชนในถิ่นทุรกันดารได้มีคุณภาพชีวิตที่ดี

          เสียงเครื่องยนต์ของรถยีเอ็มซีครางคลอเม็ดฝนที่เทร่วงฟ้ามาอย่างไม่ขาดสาย ขณะค่อยๆ เคลื่อนตัวไปตามถนนดินแดงที่มีสภาพเป็น "เนินเลน" กลายๆ อย่างยากเย็นนั้น แทบไม่น่าเชื่อว่า เราเพิ่งเดินทางผ่านห้วงวันที่อุณหภูมิสูงที่สุดในรอบปีมาหมาดๆ เมื่อวานนี้

          ความหนาวเหน็บของเม็ดฝนที่เสียดผิวเข้าไปจนถึงกระดูก ยิ่งทำให้ทัศนียภาพแบบ ซ้ายติดเขา ขวาติดเหว ตรงหน้าดูมาคุมากยิ่งขึ้น อย่าว่าแต่คิดถึงจุดหมายปลายทางที่น่าจะล่วงเวลาไปกว่า 2 ชั่วโมงเลย แค่ตั้งสมาธิเอาใจช่วยให้รถวิ่งผ่านหล่มตรงหน้าโดยไม่แฉลบตกเขาไปก่อนก็ถือว่าเก่งแล้ว

          "บรื้น!!! .... ว้าย!!!" ทันทีที่ตัวรถโขยกไต่ขึ้นจากหล่มได้ แรงกระชากจนองศาผิดเหลี่ยมไปในระดับ 'เสียศูนย์' ทำเอาหลายคนถึงกับร้องเสียงหลง

          "เหลืออีกประมาณ 10 กิโลน่ะครับกว่าจะถึงหมู่บ้าน" เสียงนุ่มๆ ของพลทหารหนุ่มที่นั่งปิดท้ายขบวนบอกถึงปลายทางหลังสถานการณ์เข้าสู่ภาวะปกติ

          ลองไล่สายตาไปตามคำบอกเล่าของเจ้าถิ่น ภาพเทือกเขาคดเคี้ยวในม่านหมอกโปรยฝน ร่องรอยยางรถยนต์คันก่อนหน้าที่ทิ้งเอาไว้ ไม่ต้องแปลกใจเลยว่า นับแต่นี้ไปจนสุดทางข้างหน้า จะต้อง 'เสี่ยงผา ฝ่าฝน' กันอีกขนาดไหน...

สนองพระราชปณิธาน

          ประสบการณ์ "เสี่ยงตกเขา" บน "ดอยสามหมื่น" ที่ตั้งอยู่ติดพื้นที่อุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดัง จังหวัดเชียงใหม่นั้นน่าจะเป็นอีก "สีสัน" ในวงสนทนาของบรรดาขาเที่ยว แต่คงไม่ใช่สำหรับเหล่า 'คุณหมอกระเป๋าเขียว' แน่ๆ  บ่อยครั้งที่พวกเขาต้องเสี่ยงชีวิต เพื่อไปรักษาชีวิตแบบนี้ จนกลายเป็นลายเซ็นสำคัญของ มูลนิธิแพทย์อาสาสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี (Pincess Mother's Medical Volunteer - PMMV) หรือ พอ.สว. มาตลอด 40 ปี

          "ฉันได้ไปเยี่ยมตำรวจตระเวนชายแดนที่ปฏิบัติงานในป่าเขา เพื่อปกป้องและรักษาแผ่นดินของเรา เขาเสี่ยงอันตรายหลายอย่าง รวมทั้งโรคภัยไข้เจ็บด้วย ชาวบ้านและชาวเขาที่อยู่ตามป่าดงเหล่านั้น ก็มีปัญหาเรื่องป่วยไข้เช่นเดียวกัน เพราะอยู่ห่างไกล การคมนาคมสะดวก พวกเราจะไปดูแลและรักษาเขาบ้าง จะเป็นเดือนละครั้ง สองเดือนครั้ง หรือแม้แต่สามเดือนครั้งก็ได้ จะได้ช่วยเหลือเขาเป็นประโยชน์มาก"
 
          จากพระราชกระแสรับสั่งของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2512 ณ พระตำหนักภูพิงค์ราชนิเวศน์ จังหวัดเชียงใหม่ซึ่งถือเป็นปฐมบทของ พอ.สว.อย่างแท้จริง เพื่อสนองพระราชดำริของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ที่ทรงพบเห็นความยากลำบากของราษฎร ในด้านการสาธารณสุข ในระหว่างที่ทรงเสด็จพระราชดำเนินทรงเยี่ยมตำรวจตระเวนชายแดน ตามจังหวัดชายแดนต่างๆ ของประเทศ 

          "ที่ไหนไม่มีใครไป ที่นั่นเราไป" ศ.นพ.ยงยุทธ สัจจวาณิชย์ หนึ่งในทีมแพทย์ พอ.สว.ชุดแรกที่ออกหน่วยกับสมเด็จพระบรมราชชนนี ตั้งแต่  พ.ศ.2512 ย้อนอดีตเมื่อวันวาน

          "คืนนั้น (22 กุมภาพันธ์ 2512) ท่านโปรดให้เราไปเฝ้าทั้งหมด 12 คน มีทั้งแพทย์ พยาบาล ทันตแพทย์ ขึ้นไปที่ภูพิงค์ เมื่อเราเป็นอาสาสมัครท่านก็แต่งตั้งคุณหมอระเบียบ (นพ. ระเบียบ ฤกษ์เกษม (ปัจจุบันเสียชีวิตแล้ว) เป็นหัวหน้า และให้ผมกับ อ.ประณีต (ประณีต สวัสดิรักษา) หัวหน้าฝ่ายพยาบาลเป็นผู้ช่วย 2 วันต่อมาท่านก็พระราชทานเงินจำนวน 20,000 บาทให้เป็นค่ายา และค่าอาหารกลางวัน สมเด็จย่ารับสั่งว่าแพทย์ของฉันจะทำงานไม่ซ้ำซ้อนกับใคร เพราะฉันไปในหน่วยที่คนอื่นไปไม่ถึง นั่นคือไป เฮลิคอปเตอร์ ครั้งแรกที่ไปคือดอยสามหมื่น วันที่ 8 มี.ค. 2512 ด้วยเฮลิคอปเตอร์ของพระองค์ท่าน" 

          ต้นทางดีแต่ไม่ได้หมายความว่าทุกอย่างจะราบรื่น เพราะนอกจากต้องต่อสู้กับโรคภัยไข้เจ็บแล้ว สิ่งหนึ่งที่คณะแพทย์อาสาต้องเผชิญคือ ความเชื่อดั้งเดิมของชาวบ้านที่เคยรักษาด้วยยาป่า หมอผี และปัญหาด้านความมั่นคงจากพรรคคอมมิวนิสต์ที่กระจายอยู่ทั่วพื้นที่ 

          "สิ่งที่เราต้องทำความเข้าใจอย่างแรกเลยก็คือ เขาไม่รู้จักหมอ เขาไม่รู้ว่าหมอคืออะไร พอเราไปรักษาก็ต้องไปต่อสู้กับความเชื่อดั้งเดิมของชาวบ้านที่เวลาเจ็บป่วยเขาก็จะพากันไปให้หมอผีประจำหมู่บ้านรักษา เขาก็จะเอาหมูผูกขา แล้วก็จับคนผูกขาเหมือนกันก่อนจะเริ่มทำพิธีไล่วิญญาณชั่วร้ายจากคนไปไว้ที่หมู เราก็ต้องทำความเข้าใจกับชาวบ้าน แต่ไม่ได้ไปลบล้างความเชื่อเขานะ ก็ใช้การแพทย์สมัยใหม่ควบคู่ไปกันไปให้การรักษามีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น คอมมิวนิสต์สมัยก่อนก็มีอยู่ทั่วไป แต่ผมว่าด้วยบารมีของสมเด็จย่าพวกเราก็เลยไม่เป็นไร อีกอย่างเราก็ไปช่วยเขาด้วย อย่างดีก็เอาไปเป็นหมอประจำบ้านเท่านั้น" ศ.นพ.ยงยุทธ อธิบาย


พอ.สว.



เอิบอิ่มตรงหัวใจ

          ถึงสายฝนยังโปรยปราย แต่ก็ไม่ได้ทำให้ชาวบ้านที่เดินทางมายังโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนบ้านสามหมื่นบางตาลงไปแต่อย่างใด กลับค่อยๆ ทยอยเดินกันมารอ "หมอ" อย่างไม่ขาดสาย เหมือนกับเมื่อ 40 ปีที่ผ่านมาไม่มีผิด เพียงแต่ครั้งนี้เป็นการจัดโครงการหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ของมูลนิธิโรงพยาบาลสวนดอก ออกทำการตรวจรักษา ณ บ้านสามหมื่น อำเภอเวียงแหง จังหวัดเชียงใหม่ ส่วนหนึ่งในกิจกรรมสาธารณประโยชน์เพื่อสังคม เนื่องในวาระครบรอบ 50 ปีคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

          อาคารเรียนฟากหนึ่งถูกใช้เป็น "โรงหมอ" ชั่วคราวโดยแบ่งเป็นส่วนต่างๆ ทั้งห้องตรวจโรค ห้องทำฟัน ห้องตรวจภายใน ห้องจ่ายยา ตามสถานที่จะอำนวย แต่โชคไม่ค่อยดีนัก รถบรรทุกเครื่องมือแพทย์คันหนึ่งเกิดติดหล่ม ทำให้ไม่สามารถขนอุปกรณ์ตรวจภายในขึ้นมาให้บริการได้ ห้องเรียนนั้นจึงค่อนข้างว่างเปล่า หลังจากจัดแจงอุปกรณ์ข้าวของ บรรดาแพทย์อาสาต่างก็เริ่มต้นทำงานของตัวเองอย่างขะมักขเม้น

          รศ.นพ.นิเวศน์ นันทจิต คณบดีคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่บอกว่า พื้นที่ดังกล่าวค่อนข้างทุรกันดารสลับกับทางภูเขาสูงชัน ห่างไกลจากโรงพยาบาลและสาธารณสุข ทำให้เมื่อเจ็บป่วยก็ไม่สามารถเดินทางมารักษาตัวที่โรงพยาบาลหรือสาธารณสุขได้ อีกทั้งชาวบ้านต่างก็มีฐานะยากจนกิจกรรมครั้งนี้จึงเกิดขึ้นมา เพราะถึงแม้ปัจจุบันประชาชนจะเข้าถึงบริการทางการแพทย์ได้มากขึ้น แต่ความเจ็บป่วยในท้องถิ่นทุรกันดารก็ยังคงเป็นปัญหาอยู่

          ในระนาบเดียวกัน ภาพวันนี้ยังสะท้อนความประทับใจต่อพระจริยวัตรอันงดงามของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี และสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ยังแจ่มชัดในความทรงจำของใครหลายๆ คน

          รศ.พญ.ยุพา สุมิตสวรรค์ รองคณบดีคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่เผยความทรงจำในฐานะสมาชิกคนหนึ่งของ พอ.สว.ที่มีต่อ "สมเด็จย่า" ว่า สิ่งสำคัญที่ทำให้คณะแพทย์อดทนต่อความลำบากยากเข็ญต่างๆ ได้ก็เพราะน้ำพระทัยจากพระองค์ท่านที่ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณแก่คณะทำงานตลอดมา

          "ท่านก็ให้กำลังใจ เวลาที่ท่านเสด็จมาท่านก็เชิญพวกหมอทั้งหลายมาสันทนาการแล้วท่านก็พระราชทานพระกริ่ง แล้วพอครบปีท่านก็จะให้ไดอารี่เล่มสีแดง ที่ลงพระนามของท่าน"

          นอกจากนี้ ความรู้สึกของ ศ.นพ.ยงยุทธ ยังมองเห็นชาวบ้านว่าเป็นอีกแรงขับสำคัญ ทำให้เขาเชื่อว่าใครก็ตามที่ได้มีโอกาสก้าวเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของสมาชิก พอ.สว.แล้วจะไม่มีวันนิ่งดูดายเพื่อนมนุษย์ที่กำลังได้รับความลำบากอย่างแน่นอน 

          "ผมเห็นบ้านของชาวบ้านที่เข้าไปรักษา เห็นชีวิตความเป็นอยู่ของเขาแล้วมันสะท้อนให้เรารู้สึกว่า ในเมื่อเรามีโอกาสที่ดีกว่าเขาในทุกๆ อย่าง แล้วทำไมเมื่อมีโอกาสที่จะช่วยเขาได้ อย่างน้อยๆ เรื่องการรักษาพยาบาล ทำไมเราถึงจะไม่ช่วย มีคนไข้รายหนึ่งที่เคยรักษากับผมเขาก็เอาไข่ไก่มาให้ ทั้งๆ ที่แถวนั้นก็ไม่ได้มีของมากมาย หรือความเป็นอยู่ที่ดีอะไร ผมก็ปฏิเสธว่าไม่เอา ไข่ 1 ฟองนี่มันหมายถึง 1 ชีวิตเลยนะ ให้เขาเอากลับไปไว้สำหรับครอบครัวเขาดีกว่า เขาก็บอกว่า คุณหมอเป็นคนช่วยชีวิตผม ไข่ใบนี้ยังไงคุณหมอก็ต้องรับไว้ ในที่สุดผมก็ต้องรับไข่มา แล้วก็เอาไข่ใบนั้นไปบำรุงคนไข้อีกคนหนึ่งที่กำลังไม่สบาย"

          ยังไม่นับเรื่องราวสนุกๆ ระหว่างหมอกับคนไข้ที่หากตั้งวงเล่ากันจริงๆ 3 วันก็ยังไม่จบ


พอ.สว.



หมอใหม่ใจ "อาสา"

          "วันนี้เป็นยังไงบ้างคะ" เจ้าของรอยยิ้มสดใสถามคนไข้ที่นั่งอยู่ตรงหน้า 

          ไม่มีเสียงตอบนอกจากรอยยิ้ม คนรอตรวจจึงฉุกคิดได้ว่าต้องเรียกหาตัวช่วยเสียแล้ว "ล่ามตัวน้อย" จึงได้โอกาสปฏิบัติหน้าที่อย่างไม่รีรอ 

          "รุ่นพ่อรุ่นแม่บางคนอาจจะพูดไทยไม่ได้ แต่ถ้ารุ่นลูกลงมา รับประกันว่าพูดไทยคล่องปรื๋อ" รศ.พญ.พรรณี ศิริวรรธนาภา รองคณบดีคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เย้าคนไข้อย่างอารมณ์ดี 

          เพราะเครื่องมือตรวจภายในไม่สามารถเดินทางมาได้ เธอ กับหมอสูติฯ จบใหม่อีก 2 คนจึงเปลี่ยนมาทำหน้าที่ตรวจโรคทั่วไปแทน 

          ภาพคนหนุ่มสาววิ่งสลับเข้าออกระหว่างห้องตรวจโรค (ชั่วคราว) เป็นเครื่องพิสูจน์อย่างชัดเจนว่า ไม่ได้มีแต่รุ่นเก่ากับรุ่นกลางเท่านั้นที่มุ่งมั่นสืบสานพระราชปณิธานที่ 'สมเด็จย่า' ทรงตั้งพระทัยไว้ บรรดาหมอจบใหม่ใจอาสาวันนี้ก็มีไม่ใช่น้อย

          กิจการแพทย์อาสาได้แผ่ขยายกว้างขวางออกไปทั่วทุกภาคของประเทศ มีจังหวัดที่มีเขตติดชายแดนหรือจังหวัดใกล้เคียงชายแดน ซึ่งมีพื้นที่ทุรกันดารห่างไกล เข้าร่วมเป็นจังหวัดแพทย์อาสามากขึ้นเป็นลำดับ รวมทั้งมีผู้ถวายตัวเป็นอาสาสมัครเป็นจำนวนมาก จนถึงปัจจุบันมีจังหวัดแพทย์อาสารวม 51 จังหวัด และอาสาสมัคร พอ.สว. มากกว่า 30,000 คน

          ในมุมมองของ รศ.นพ.ประพันธ์ จุฑาวิจิตรธรรม จากภาควิชาพยาธิวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ที่เข้าร่วมกิจกรรมแพทย์อาสาแทบทุกครั้งที่มีโอกาส โดยไม่จำกัดว่าเป็นสังกัดไหน เพราะเขาคิดว่า สิ่งที่ได้ทั้งหมดก็ล้วนตกแก่ตัวเองแทบทั้งสิ้น

          "เราเป็นอาจารย์แพทย์อยู่แล้ว สอนเขาเองแล้วเราไม่ทำมันก็คงไม่ดีใช่ไหมครับ (หัวเราะ) เราต้องเป็นแบบอย่างให้กับน้องๆ รุ่นหลัง ว่าเวลาที่จะเป็นแพทย์เราหารายได้ เราก็ควรที่จะมีเวลาส่วนหนึ่งที่ให้กับสังคมด้วย อยากให้นักศึกษาแพทย์เห็นว่า ชาวบ้านต้องการให้หมอปัจจุบันเหมือนกับหมอโบราณที่มีความสัมพันธ์อันดีกับคนไข้ แต่มีความรู้ความเชี่ยวชาญแบบหมอสมัยใหม่เท่านั้นเอง"

          เขายอมรับว่าปัจจัยแวดล้อมปัจจุบันค่อนข้างมีผลที่ทำให้ทัศนคติของหมอรุ่นใหม่เปลี่ยนไป แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าหมอรุ่นใหม่จะเป็นแบบนั้นกันทุกคน

          "เรื่องจิตอาสากับการเรียนสายแพทย์จะถูกปลูกฝังมาตั้งแต่ตอนเรียนแล้วล่ะครับ" หมอจัมป์-นพ.กิตติพงษ์ สาริวงษ์ วิสัญญีแพทย์วัย 27 ปีจากโรงพยาบาลสวนดอกให้คำตอบเรื่องจิตอาสากับหมอรุ่นใหม่ 

          เขากับ หมอแคร์-พญ.ชยาดา ตั้งชีวินศิริกุล แพทย์ใช้ทุนปี 2 และ หมอเกด-กมลนันธ์ ประพันธ์วัฒนะ แพทย์ใช้ทุนปี 1 ภาควิชาสูตินรีเวช คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ คิดเหมือนกันว่า การช่วยเหลือคนไข้ไม่จำเป็นต้องเลือกว่าเป็นใคร เพราะสิ่งที่แพทย์ต้องเรียนรู้เกี่ยวกับจริยธรรมเบื้องต้นก็คือการเห็นมนุษย์เป็นมนุษย์เหมือนกัน

          "คนไข้ในเมืองเขาเข้าถึงหมอได้ง่าย ถ้าไม่มีใครคิดที่จะกระจายตัวออกมารอบนอกก็จะไม่มีใครมาเลย ถ้าคิดเฉยๆ ไม่ทำก็ไม่ได้ประโยชน์ ถ้าช่วยแต่คนไข้ที่มีเงินแล้วคนที่เหลือล่ะจะเป็นยังไง" ทั้ง 3 คนออกความเห็น

          นอกจากนี้ ประโยชน์ที่จะได้รับจากการออกค่ายมาทำจิตอาสาสำหรับ ไอซ์-ภัทรามาส เลิศชีวกานต์ นักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่ 6 คณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ คือ ประสบการณ์

          "เราไม่เคยมาค่ายแบบนี้มาก่อน ไม่เคยรู้ว่าเวลาเขาออกตรวจกันจริงๆ เป็นยังไง ถึงวันนี้เครื่องมือจะเดินทางมาไม่ได้ แต่หน้าที่อื่นที่ได้ทำก็ช่วยเปิดโลกให้เราได้เห็นการทำงานของหมอจริงๆ ว่า คนเป็นหมอนั้นจะต้องเป็นยังไง ทำให้เราเข้าใจมากขึ้น น่าจะโตขึ้นด้วย แต่ก็ไม่คิดว่ามันจะลำบากขนาดนี้นะ (หัวเราะ)" ไอซ์ตอบติดตลก

          ป้ายผ้า "โครงการหน่วยแพทย์เคลื่อนที่สู่ชุมชน ณ บ้านสามหมื่น อำเภอเวียงแหง จังหวัดเชียงใหม่" ตรงข้างคาราวานรถยนต์ของหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ที่เปียกชุ่มพอหมาดลงไปบ้าง หลังจากฝนหยุดตก แถวของชาวบ้านเริ่มกระจัดกระจายลงมาตรงบริเวณสนามหน้าอาคาร หลายคนสีหน้าแช่มชื่นขึ้นหลังได้ "ถุงยา" มาอยู่ในมือ 

          "รู้จักไหมคนในรูปนั่นใคร" ใครอีกคนกระเซ้าถาม

          "โสเดะย่า" ภาษาไทยแปร่งปร่าจากร่างผอมบางนั้นออกเสียงชัดเจน


ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก

เรื่องน่าสนใจอื่นๆ
เรื่องที่คุณอาจสนใจ
คุณหมอกระเป๋าเขียว เสี่ยงชีวิต รักษาชีวิต อัปเดตล่าสุด 5 พฤษภาคม 2552 เวลา 15:19:33 29,191 อ่าน
TOP
x close