
อนุฯ สอบนางเลิ้ง ยันฝีมือเสื้อแดงยิงคนตาย (ไทยรัฐ)
โฆษกอนุกรรมการรวบรวมเหตุการณ์บริเวณชุมชนนางเลิ้ง แถลงยืนยัน ฝีมือผู้ชุมนุมเสื้อแดง ยิงคนเสียชีวิต ระบุ ดูยูทูบอย่างละเอียด เห็นคนเสื้อดำที่ยิงวิ่งเข้าไปในกลุ่มเสื้อแดง ขณะทหารอ้างปลอกกระสุนคาร์บินเลิกใช้นานแล้ว...
วันนี้ (8 มิ.ย.) ที่รัฐสภา ได้มีการประชุมคณะอนุกรรมการรวบรวมเหตุการณ์ที่บริเวณชุมชนนางเลิ้ง พล.ต.องอาจ คงศักดิ์ รองแม่ทัพภาค 1 พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผบก.น.3 และ ชาวชุมชนนางเลิ้งที่อยู่ในเหตุการณ์เผชิญหน้ากับกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เข้าชี้แจง พร้อมเปิดเทปบันทึกภาพการรายงานข่าวของสถานีโทรทัศน์ทีวีไทย มาอ้างอิงสถานการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นบริเวณนางเลิ้งให้ที่ประชุมรับฟัง
โดย พล.ต.องอาจ และ พ.อ.พลศักดิ์ ศรีเพ็ญ รองเสนาธิการกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ ยืนยันตรงกันว่า ระหว่างที่ทหารวางกำลังรักษาการอยู่บริเวณชุมชนวัดโสมนัส คืนวันที่ 13 เม.ย. ได้ยินเสียงปืนดังหลายนัดดังมาจากบริเวณดังกล่าว จึงรายงานให้ผู้บังคับบัญชารับทราบ ก่อนไปที่เกิดเหตุและสามารถเก็บปลอกกระสุนปืนคาร์บิน ซึ่งทหารยกเลิกการใช้ปืนชนิดนี้ไปแล้วได้อยู่หลายนัด ตกอยู่ใกล้ชาวนางเลิ้งที่เสียชีวิต 2 ศพ รวมทั้งกระสุนปืนเอ็ม 16
ขณะที่ นายปิยะพงษ์ จ้อยช้อยชด พี่ชาย นายยุทธการ จ้อยช้อยชด ผู้เสียชีวิต และ นายธัชชัย ซึ่งได้เปลี่ยนชื่อหลังถูกยิงได้รับบาดเจ็บ ที่บริเวณขาหนีบ ก็ได้ให้การต่อคณะอนุกรรมการฯ ในลักษณะเดียวกันว่า ได้ร่วมชุมนุมกับชาวนางเลิ้งเพื่อต่อต้านกลุ่ม นปช. เพื่อห้ามไม่ให้มีการวางเพลิงรถโดยสารประจำทาง ซึ่งเกรงว่าอาจลุกลามไปยังบ้านพักของชาวบ้านได้ โดยมีการยิงหนังสติ๊กใส่กัน ก่อนที่ผู้ชุมนุม นปช.จะใช้อาวุธปืนยิงชาวนางเลิ้งเสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บ
ต่อมาเมื่อเวลา 14.50 น. นางเจิมมาศ จึงเลิศศิริ โฆษกคณะอนุกรรมการรวบรวมเหตุการณ์บริเวณชุมชนนางเลิ้ง แถลงผลการประชุมว่า กรณีการลอบเผาตู้เอทีเอ็มธนาคารกรุงเทพ สาขาสะพานขาวนั้นมีความคืบหน้าไปมากเหลือเพียงประเด็นเดียวคือจากรับฟังข้อมูลจาก ส.อ.สุทัศน์ สุขเจริญ ซึ่งเป็นผู้แจ้งเบาะแสผู้ต้องสงสัยลอบวางเพลิงต่อตำรวจสน.ทุ่งมหาเมฆ โดยอนุกรรมการได้ขอให้รองแม่ทัพภาคที่ 1ไปสืบหาตัว ส.อ.สุทัศน์ ว่า มีตัวตนที่แท้จริงหรือไม่ เพื่อนำมาให้ข้อมูลต่อทางคณะอนุกรรมการฯ เพิ่มเติม เพราะอนุกรรมการทราบเพียงว่า ส.อ.สุทัศน์ ปฏิบัติราชการอยู่ที่ จ.ปัตตานี เท่านั้น
โฆษกคณะอนุกรรมการ แถลงด้วยว่า ส่วนกรณีเหตุปะทะระหว่างกลุ่ม นปช.และชาวชุมชนนางเลิ้งจนมีผู้เสียชีวิตนั้น ได้มีการเชิญผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์มาให้ปากคำเพิ่มเติม รวมทั้งได้ข้อมูลจากยูทูบมาเปิดดูอย่างละเอียด สอดคล้องว่า เป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่มีการยิงใส่ชาวชุมชน คือเวลาประมาณ 17.30 น.ที่มีความชัดเจนว่าช่วงเวลาดังกล่าวผู้ที่ยิงเคลื่อนขบวนมาจากสะพานเทวกรรม ทั้งรถจักรยานยนต์ จำนวน 4-5 คัน และคนเสื้อแดงที่เดินเท้าลงมา โดยผู้ที่ขี่รถจักรยานยนต์จะใส่เสื้อสีดำ มีการยิงใส่ชาวชุมชน แล้วถอยกลับเข้าไปในกลุ่มผู้ชุมนุมคนเสื้อแดง แต่เมื่อเวลาผ่านไประยะหนึ่งก็กลับออกมายิงใหม่ จึงสามารถสรุปได้ว่าผู้ชุมนุม คือ กลุ่มที่ยิงใส่ชาวนางเลิ้งจนเสียชีวิต
เมื่อถามว่าจะพิสูจน์ได้อย่างไรว่า ไม่ใช่ฝีมือของมือที่สาม นางเจิมมาศ กล่าวว่า หลายคนสงสัยว่าอาจเป็นฝีมือทหารที่มารักษาการหน้าทำเนียบรัฐบาล ซึ่งรองแม่ทัพภาคที่หนึ่งยืนยันว่า ทหารไม่สามารถเข้าไปผลัดเปลี่ยนกำลังในทำเนียบรัฐบาลได้ จึงต้องมาพักกำลังอยู่ที่วัดโสมนัสวิหารราชวรวิหาร และยืนยันว่าไม่มีทหารใช้มอเตอร์ไซค์เป็นพาหนะ เพราะทุกคนล้วนรอคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาว่าจะให้ทำอย่างไรกับผู้ชุมนุมในทำเนียบ ขณะเดียวกันทหารไม่มีหน้าที่สลายการชุมนุม แต่มีหน้าที่เพียงมารักษาความปลอดภัยให้กับประชาชนเท่านั้น และระหว่างที่มีการปะทะกันระหว่างชาวบ้าน และผู้ชุมนุม บริเวณซอยลิขิตไก่ย่าง ตรงข้ามกองทัพบก ทหารก็ช่วยเข้ามาไกล่เกลี่ยให้เท่านั้น
ขอขอบคุณข้อมูลจาก

ขอขอบคุณภาพประกอบจาก คมชัดลึก
โฆษกอนุกรรมการรวบรวมเหตุการณ์บริเวณชุมชนนางเลิ้ง แถลงยืนยัน ฝีมือผู้ชุมนุมเสื้อแดง ยิงคนเสียชีวิต ระบุ ดูยูทูบอย่างละเอียด เห็นคนเสื้อดำที่ยิงวิ่งเข้าไปในกลุ่มเสื้อแดง ขณะทหารอ้างปลอกกระสุนคาร์บินเลิกใช้นานแล้ว...
วันนี้ (8 มิ.ย.) ที่รัฐสภา ได้มีการประชุมคณะอนุกรรมการรวบรวมเหตุการณ์ที่บริเวณชุมชนนางเลิ้ง พล.ต.องอาจ คงศักดิ์ รองแม่ทัพภาค 1 พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผบก.น.3 และ ชาวชุมชนนางเลิ้งที่อยู่ในเหตุการณ์เผชิญหน้ากับกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เข้าชี้แจง พร้อมเปิดเทปบันทึกภาพการรายงานข่าวของสถานีโทรทัศน์ทีวีไทย มาอ้างอิงสถานการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นบริเวณนางเลิ้งให้ที่ประชุมรับฟัง
โดย พล.ต.องอาจ และ พ.อ.พลศักดิ์ ศรีเพ็ญ รองเสนาธิการกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ ยืนยันตรงกันว่า ระหว่างที่ทหารวางกำลังรักษาการอยู่บริเวณชุมชนวัดโสมนัส คืนวันที่ 13 เม.ย. ได้ยินเสียงปืนดังหลายนัดดังมาจากบริเวณดังกล่าว จึงรายงานให้ผู้บังคับบัญชารับทราบ ก่อนไปที่เกิดเหตุและสามารถเก็บปลอกกระสุนปืนคาร์บิน ซึ่งทหารยกเลิกการใช้ปืนชนิดนี้ไปแล้วได้อยู่หลายนัด ตกอยู่ใกล้ชาวนางเลิ้งที่เสียชีวิต 2 ศพ รวมทั้งกระสุนปืนเอ็ม 16
ขณะที่ นายปิยะพงษ์ จ้อยช้อยชด พี่ชาย นายยุทธการ จ้อยช้อยชด ผู้เสียชีวิต และ นายธัชชัย ซึ่งได้เปลี่ยนชื่อหลังถูกยิงได้รับบาดเจ็บ ที่บริเวณขาหนีบ ก็ได้ให้การต่อคณะอนุกรรมการฯ ในลักษณะเดียวกันว่า ได้ร่วมชุมนุมกับชาวนางเลิ้งเพื่อต่อต้านกลุ่ม นปช. เพื่อห้ามไม่ให้มีการวางเพลิงรถโดยสารประจำทาง ซึ่งเกรงว่าอาจลุกลามไปยังบ้านพักของชาวบ้านได้ โดยมีการยิงหนังสติ๊กใส่กัน ก่อนที่ผู้ชุมนุม นปช.จะใช้อาวุธปืนยิงชาวนางเลิ้งเสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บ
ต่อมาเมื่อเวลา 14.50 น. นางเจิมมาศ จึงเลิศศิริ โฆษกคณะอนุกรรมการรวบรวมเหตุการณ์บริเวณชุมชนนางเลิ้ง แถลงผลการประชุมว่า กรณีการลอบเผาตู้เอทีเอ็มธนาคารกรุงเทพ สาขาสะพานขาวนั้นมีความคืบหน้าไปมากเหลือเพียงประเด็นเดียวคือจากรับฟังข้อมูลจาก ส.อ.สุทัศน์ สุขเจริญ ซึ่งเป็นผู้แจ้งเบาะแสผู้ต้องสงสัยลอบวางเพลิงต่อตำรวจสน.ทุ่งมหาเมฆ โดยอนุกรรมการได้ขอให้รองแม่ทัพภาคที่ 1ไปสืบหาตัว ส.อ.สุทัศน์ ว่า มีตัวตนที่แท้จริงหรือไม่ เพื่อนำมาให้ข้อมูลต่อทางคณะอนุกรรมการฯ เพิ่มเติม เพราะอนุกรรมการทราบเพียงว่า ส.อ.สุทัศน์ ปฏิบัติราชการอยู่ที่ จ.ปัตตานี เท่านั้น
โฆษกคณะอนุกรรมการ แถลงด้วยว่า ส่วนกรณีเหตุปะทะระหว่างกลุ่ม นปช.และชาวชุมชนนางเลิ้งจนมีผู้เสียชีวิตนั้น ได้มีการเชิญผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์มาให้ปากคำเพิ่มเติม รวมทั้งได้ข้อมูลจากยูทูบมาเปิดดูอย่างละเอียด สอดคล้องว่า เป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่มีการยิงใส่ชาวชุมชน คือเวลาประมาณ 17.30 น.ที่มีความชัดเจนว่าช่วงเวลาดังกล่าวผู้ที่ยิงเคลื่อนขบวนมาจากสะพานเทวกรรม ทั้งรถจักรยานยนต์ จำนวน 4-5 คัน และคนเสื้อแดงที่เดินเท้าลงมา โดยผู้ที่ขี่รถจักรยานยนต์จะใส่เสื้อสีดำ มีการยิงใส่ชาวชุมชน แล้วถอยกลับเข้าไปในกลุ่มผู้ชุมนุมคนเสื้อแดง แต่เมื่อเวลาผ่านไประยะหนึ่งก็กลับออกมายิงใหม่ จึงสามารถสรุปได้ว่าผู้ชุมนุม คือ กลุ่มที่ยิงใส่ชาวนางเลิ้งจนเสียชีวิต
เมื่อถามว่าจะพิสูจน์ได้อย่างไรว่า ไม่ใช่ฝีมือของมือที่สาม นางเจิมมาศ กล่าวว่า หลายคนสงสัยว่าอาจเป็นฝีมือทหารที่มารักษาการหน้าทำเนียบรัฐบาล ซึ่งรองแม่ทัพภาคที่หนึ่งยืนยันว่า ทหารไม่สามารถเข้าไปผลัดเปลี่ยนกำลังในทำเนียบรัฐบาลได้ จึงต้องมาพักกำลังอยู่ที่วัดโสมนัสวิหารราชวรวิหาร และยืนยันว่าไม่มีทหารใช้มอเตอร์ไซค์เป็นพาหนะ เพราะทุกคนล้วนรอคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาว่าจะให้ทำอย่างไรกับผู้ชุมนุมในทำเนียบ ขณะเดียวกันทหารไม่มีหน้าที่สลายการชุมนุม แต่มีหน้าที่เพียงมารักษาความปลอดภัยให้กับประชาชนเท่านั้น และระหว่างที่มีการปะทะกันระหว่างชาวบ้าน และผู้ชุมนุม บริเวณซอยลิขิตไก่ย่าง ตรงข้ามกองทัพบก ทหารก็ช่วยเข้ามาไกล่เกลี่ยให้เท่านั้น
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก คมชัดลึก






