
ลูกครึ่งกำพร้าตามหาพ่อ สะท้อนวิกฤติสาวไทย (ไทยรัฐ)
จาก "น้องเคโงะ" ด.ช.เคอิโงะ ซาโต เด็กลูกครึ่ง-ไทยญี่ปุ่น "น้องแตแต้" ด.ช.ยามาโต นิอึมือระ ด.ญ.มายูมิ โอกาโน่ จนมาถึง "น้องยุ้ย" น.ส.นารูมิ ฮามาดะ ที่ถูกทอดทิ้งตั้งแต่แบเบาะ ออกมาประกาศตามหาพ่อ เป็นข่าวครึกโครมทางหน้าหนังสือพิมพ์ และหน้าจอโทรทัศน์ แม้ว่าเกือบทั้งหมดจะประสบความสำเร็จได้พูดคุยกับผู้เป็นพ่อ แต่ก็ยังมีเด็กอีกหลายสิบรายที่ต้องประสบชะตากรรมเดียวกัน สะท้อนปัญหาสำคัญที่ผู้หญิงไทยมักถูกชายชาวต่างชาติทอดทิ้ง กระตุ้นเตือนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเร่งลงมือหาทางแก้ไขโดยด่วน
ต้นตอของปัญหานั้น ทั้งนางพนิตา กำภู ณ อยุธยา อธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) นายสมพงษ์ จิตระดับ ผอ.ศูนย์วิจัยและนวัตกรรมเด็กที่มีความต้องการพิเศษ คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และนางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี ต่างชี้ตรงกัน คือ ผู้หญิงไทยบางคนต้องการความเป็นอยู่ที่ดีกว่าเดิม จึงไขว่คว้าที่จะหาสามีที่มีฐานะ โดยเฉพาะชาวต่างชาติ เมื่อแต่งง่าย ก็เลิกง่าย บางรายไม่มีแม้แต่ทะเบียนสมรสด้วยซ้ำ และเมื่อเลิกลากันไปมักจะทิ้งบุตรไว้ให้ญาติเลี้ยง กลายเป็นเด็กกำพร้าไป

จากจำนวนเด็กถูกทอดทิ้งในสถานสงเคราะห์เด็กอ่อน 8 แห่ง ภายใต้สำนักคุ้มครองสวัสดิภาพหญิงและเด็ก กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ ได้แก่ สถานสงเคราะห์เด็กอ่อนพญาไท สถานสงเคราะห์เด็กอ่อนปากเกร็ด สถานสงเคราะห์เด็กอ่อนรังสิต สถานสงเคราะห์เด็กบ้านเวียงพิงค์ สถานสงเคราะห์เด็กบ้านแคนทอง สถานสงเคราะห์เด็กบ้านสงขลา สถานสงเคราะห์เด็กหญิงอุดรธานี และสถานสงเคราะห์เด็กชายบ้านศรีธรรมราช พบว่า ปี 2550 มี 190 คน ปี 2551 มี 136 คน และในปีนี้แค่ 6 เดือนมีแล้ว 75 คน โดยเด็กส่วนใหญ่มักถูกทิ้งในที่สาธารณะ โรงพยาบาล ผู้รับจ้างเลี้ยง และทิ้งไว้กับญาติ สาเหตุหลักมาจากการตั้งครรภ์นอกสมรส ตั้งครรภ์ขณะอยู่ในวัยเรียน พ่อแม่ต้องย้ายถิ่นเข้ามาทำงานในเมือง การหย่าร้าง และการแต่งงานมีครอบครัวใหม่
อย่างไรก็ตาม จะโทษว่าหญิงไทยอยากสบายได้สามีรวยทั้งหมดก็ไม่ถูกนัก เพราะมีไม่น้อยที่ถูกหลอกลวง โดยนางพัทยา เรือนแก้ว ประธานสมาคมธารา องค์กรเครือข่ายหญิงไทยในเยอรมัน และนักวิจัยอิสระ ได้ทำการวิจัยเชิงคุณภาพ เรื่องสิทธิหญิงไทยกรณีย้ายถิ่นแรงงานข้ามชาติ ศึกษากรณีหญิงไทยในประเทศเยอรมนีและญี่ปุ่นกว่า 50 คน พบว่า 30 ปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน หญิงไทยที่ไปทำงานประเทศเยอรมนีและญี่ปุ่นเพิ่มมากขึ้นปีละประมาณ 2,000 คนไม่รวมตัวเลขกลุ่มลักลอบเข้าประเทศจำนวนมาก รูปแบบเข้าประเทศจะใช้วิธีการแต่งงานกับชาวต่างชาติ

ปัจจุบัน เยอรมนีมีหญิงไทยกว่า 50,000 คน ร้อยละ 80 อายุ 25-55 ปี ส่วนญี่ปุ่นมีหญิงไทยกว่า 30,000 คน ส่วนใหญ่เป็นหญิงไทยจากภาคอีสาน เหนือ และใต้ จบการศึกษาแค่ภาคบังคับ โดยเป็นหญิงไทย 3 กลุ่มหลัก คือ แม่ที่เลี้ยงลูกตามลำพัง หญิงบริการ และสาวโสดที่ต้องการยกฐานะทางสังคม มีแบบแผนย้ายถิ่นคล้ายๆ กัน คือเป็นแรงงานที่ฮ่องกง มาเลเซีย หรือซาอุฯ และขยับไปต่อญี่ปุ่น และเยอรมนี ส่วนใหญ่ไปเพราะด้อยโอกาสทางเศรษฐกิจ วิกฤติครอบครัว ชีวิตคู่ สามีมีเมียน้อย เลี้ยงลูกคนเดียว วัฒนธรรมย้ายถิ่นแบบลูกโซ่ มีนายหน้าย้ายถิ่น และตลาดหาคู่ ผู้หญิงบางกลุ่มต้องจ้างคนแต่งงานเพื่อให้ได้วีซ่า บางคนถึงกับตั้งท้องเพื่อให้มีลูกกับคนญี่ปุ่นเพื่อจะได้วีซ่าถาวรในการทำงาน ส่วนแรงงานที่ถูกค้ามนุษย์ลักษณะถูกนำไปขายบริการทางเพศ และปัญหาสำคัญที่พบคือ มีเด็กเยาวชนไทยที่เป็นลูกติดแม่ถูกพาไปอยู่ญี่ปุ่นและเยอรมนีเพิ่มมากขึ้น เช่น ในญี่ปุ่นพบเด็กไทยอายุ 0-19 ปี ร้อยละ 10 เป็นลูกติดแม่ไป เด็กไทยไร้สัญชาติบางคนไปอยู่นานโดยไม่ได้รับสัญชาติ ไม่ได้เรียนหนังสือสุดท้ายก็ต้องเป็นแรงงานกรรมกร
นางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี กล่าวว่า ที่ผ่านมาเคยเดินทางไปช่วยเหลือหญิงไทยที่ต่างประเทศ โดยมากจะเป็นประเทศมาเลเซีย บาร์เรน ยูเครน รัสเซีย ทุกสถานที่ที่ไปจะพบว่าหญิงไทยมีสภาพไม่ต่างอะไรกับนางทาส ซึ่งมูลนิธิฯได้ร่วมกับกระทรวงยุติธรรม กระทรวงต่างประเทศ ประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อให้ระวังตัวให้มาก อย่าเชื่อชาวต่างชาติ หรือเขยฝรั่งมากจนลืมความปลอดภัยของตัวเอง บางหมู่บ้านลูกสาวมีแต่แฟนฝรั่ง ค่านิยมตรงนี้ต้องมีการเปลี่ยนแปลง

นางปวีณา กล่าวต่อไปว่า อยากให้รัฐบาลโดยเฉพาะกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ตรวจสอบนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทย ว่ามีประวัติความเป็นมาอย่างไร พัฒนาระบบการตรวจสอบให้ทันสมัย เพื่อจะได้ตรวจสอบประวัตินักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาอย่างละเอียด เพราะอาจจะมีคนร้ายที่หนีความผิดมาจากที่อื่น มาหลบซ่อนตัวในไทย สร้างความเดือดร้อนให้คนไทย ซึ่งพวกนี้จะเข้ามาในรูปแบบนักท่องเที่ยวก่อนแล้วกลายพันธุ์เป็นมาเฟีย ค้ายาเสพติด รีดไถ หรือบังคับหญิงไทยให้ค่้าประเวณี ซึ่งมีให้พบเห็นอยู่มากมาย ตามสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญๆ ของประเทศไทย อย่างพัทยา ภูเก็ต เป็นต้น
ประธานมูลนิธิคนดังยังย้ำเตือนสติหญิงไทยว่า เมืองไทยเป็นเมืองที่น่าอยู่ ผู้ชายไทยที่ดีก็มีอยู่มาก อย่าหลงไหลได้ปลื้มกับเขยฝรั่งหรือชาวต่างชาติมาก จนลืมตรวจสอบประวัติของว่าที่สามีตนเอง ว่ามีความเป็นมาเป็นไปอย่างไรก่อนตกลงปลงใจใช้ชีวิตร่วมกัน เพราะมันอาจจะกลายเป็นขุมนรกที่เราต้องตกลงไปจนชั่วชีวิต ที่สำคัญอย่าไปมองว่าชาวต่างชาติมีเงิน และหวังเงินของเขา เราควรกินอยู่อย่างพอเพียงตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวดีที่สุด
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก






