เปิดใจ หมอพรทิพย์ กับงานตามหาความยุติธรรม


เปิดใจ หมอพรทิพย์ กับงานตามหาความยุติธรรม (กรุงเทพธุรกิจ)

          เจาะลึกวิธีนิติวิทยาศาสตร์ แพทย์หญิงคุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ เผยขั้นตอนการทำงาน นับหนึ่งจากความรู้ สู่ความเป็นจริง เป้าหมายที่ความยุติธรรม

          กว่า 10 ปีมาแล้วที่ แพทย์หญิงคุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ หรือชื่อที่ติดปากคนส่วนใหญ่ว่า หมอพรทิพย์ เรียกร้องมาตลอด ให้แยกงานนิติวิทยาศาสตร์เป็นหน่วยงานอิสระ เพื่อไม่ให้หลักฐานสำคัญถูกปนเปื้อนด้วยอิทธิพลทางการเมือง ซึ่งอาจทำให้รูปคดีเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังกีบ 

          วันนี้ จุดยืนของเธอยังคงเป็นเช่นเดิม ไม่เปลี่ยนแปลง และไม่ว่ารัฐบาลสมัยไหน เธอก็ยังคงเสนอให้หน่วยงานพิสูจน์ทราบหลักฐาน และการเก็บหลักฐานเป็นหน่วยงานเอกเทศ อิสระ ไม่ควรตกอยู่ภายใต้หน่วยงานสืบสวนสอบสวน

          "หมอก็ยังยืนยันร้อยเปอร์เซ็นต์ว่า งานนิติวิทยาศาสตร์จำเป็นต้องแยกออกมาเป็นหน่วยงานอิสระ เพราะงานพิสูจน์หลักฐานของตำรวจหากแยกออกมาเป็นอิสระแล้ว จะทำให้กระบวนการยุติธรรมของไทยดีขึ้นทันที  ไม่จำเป็นที่จะต้องหาแต่หมอพรทิพย์อีกต่อไป" หมอพรทิพย์ ชื่อที่เริ่มติดหูคนไทยตั้งแต่สมัยคดีฆาตกรรมนักศึกษาแพทย์เจนจิรา กว่า 12 ปีที่แล้ว กล่าว

          อีกหนึ่งในภารกิจสำคัญ ที่ทีมนิติวิทยาศาสตร์ ภายใต้การกำกับดูแลของหมอพรทิพย์ ผู้อำนวยการสำนักงานนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม คือปฏิบัติการตามล่าหาความจริง จากเหตุการณ์ความรุนแรง 4 จังหวัดชายแดนใต้ ซึ่งเกิดความรุนแรงต่อเนื่องมาหลายปี ขณะที่รูปแบบการใช้ความรุนแรงพัฒนาไปตามเทคโนโลยี 

          เธอยกตัวอย่างนิติวิทยาศาสตร์ที่ใช้คลี่คลายคดีลอบสังหารทหารภาคใต้ว่า ครั้งหนึ่งหน่วยทหาร 7 นาย ได้รับคำสั่งให้ปฏิบัติภารกิจคุ้มกันพระบิณฑบาต

          "ทหารเดินเกือบจะถึงถนนอยู่แล้วแต่ถูกระเบิด ตูมสนั่น และถูกถล่มซ้ำจนตาย รอดมา 1 นาย หมอก็ไปชันสูตรศพ ไปดูว่าถูกยิงด้วยวัตถุอะไร พบว่า มีศพหนึ่งถูกตัดอวัยวะเพศ และบอกได้ว่าถูกเฉือนตอนตายแล้ว เพราะไม่มีเลือด" ผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ เล่าเหตุการณ์

          นักนิติวิทยาศาสตร์ตั้งคำถามอยู่ในใจก่อนไปถึงที่เกิดเหตุว่า ทำไมระเบิดเสียงดัง ยิงก็มีเสียงดัง และยังมีเวลาเฉือนอวัยวะเพศอีก พอไปถึงที่เกิดเหตุ พบว่า ระเบิดถูกจุดชนวนด้วยสายไฟ ปลายของสายไฟพบใบตองเปียก 

          "ใบตองเปียกแห้งก็สำคัญ เพราะหากใบตองเปียกและหญ้าใต้ใบตองยังมีคลอโรฟิลล์ แสดงว่าคนร้ายเพิ่งจะวาง ระเบิด" เสียงเล่าของหมอพรทิพย์ชวนให้คิดตามเหตุการณ์

          ทีมนิติวิทยาศาสตร์ ยังพบหลักฐานถ้วยน้ำ และตั้งข้อสังเกตว่า คนร้ายคงนั่งรอ ก่อนเก็บถ้วยกลับไปตรวจหาดีเอ็นเอจากน้ำลายที่หลงเหลืออยู่ริมถ้วย ส่วนอีกทีมเก็บเทปกาวที่พันสายไฟมาตรวจที่ห้องแล็บ พบดีเอ็นเอหรือลายนิ้วมือติดอยู่บริเวณเทปด้านใน เมื่อหลักฐานที่พบมาเปรียบเทียบกันทำให้ได้ข้อมูลเพิ่มมาอีกอย่างหนึ่ง คือ ผู้ร้ายมีจำนวนอย่างน้อย 2 คน ต่างแยกหน้าที่กันทำงาน

          เมื่อสำรวจต่อไป พบกระท่อมร้าง พบเข็มฉีดยา และแปรงสีฟัน ดีเอ็นเอที่ตรวจได้จากเข็มฉีดยาตรงกับดีเอ็นเอจากถ้วยน้ำ แสดงว่า เป็นคนเดียวกัน  และกระท่อมใช้เป็นที่ซ่อนของกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ

          ผ่านมา 3 เดือน ร.ต.อ.ธรณิศ ศรีสุข หรือ ผู้กองแคน เป็น หัวหน้าชุดนำกำลัง 12 นาย ออกลาดตระเวนดูแลความปลอดภัย เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุที่เรียกกันว่า เนิน 9 ศพ ระหว่าง บ้านสายสุราษฏร์-บ้านภักดี หมู่ที่ 3 ต.เขื่อนบางลาง อ.บันนังสตา จ.ยะลา คนร้ายไม่น้อยกว่า 20 คน ซุ่มอยู่บนเนินสูงใช้อาวุธสงคราม ทั้งปืนอาก้า เอ็ม 16 และลูกซอง กราดยิงใส่ เสียงปะทะกันดุเดือดนานกว่า 20 นาที และคนร้ายอาศัยความชำนาญในพื้นที่และป่าทึบ หลบหนีไป
 หลังเสียงปืนสงบ เมื่อเข้าตรวจเคลียร์พื้นที่ พบว่า ผู้กองแคนถูกยิงเสียชีวิตแล้ว

          หน่วยไล่ล่าพบเป้ของผู้ก่อความไม่สงบถูกโยนทิ้งน้ำ เมื่อนำมาตากแห้ง และส่งพิสูจน์ด้วยนิติวิทยาศาสตร์ พบโทรศัพท์ที่บันทึกคลิปขณะตัดอวัยวะเพศ ทีมนิติวิทยาศาสตร์นำสิ่งของเครื่องใช้ในเป้มาตรวจหาหลักฐานดีเอ็นเอ และเก็บข้อมูลไว้

          ผ่านไปอีก 6 เดือน พื้นที่เดียวกันแต่คนละตำบล เกิดเหตุปะทะกันระหว่างคนร้ายกับเจ้าหน้าที่ พบคนตาย และหยดเลือดในที่เกิดเหตุ แสดงว่ามีคนร้ายเจ็บ ทีมนิติฯ ก็เก็บดีเอ็นเอไว้เช่นเดิม 

          หลังจากนำดีเอ็นเอของคนร้ายที่เสียชีวิตในที่เกิดเหตุมาเปรียบเทียบกับดี เอ็นเอที่ตรวจได้จากแปรงสีฟันในบ้านที่ซุ่มกดระเบิดทหาร 7 ศพ พบว่า ดีเอ็นเอตรงกับแปรงสีฟันของคนร้ายที่โยนเป้ทิ้ง และเป็นชุดที่ลอบยิงผู้กองแคน และหน่วยลาดตระเวน แสดงให้เห็นว่าคนร้ายเป็นเครือข่ายเดียวกัน และสามารถตามตัวคนร้ายได้ไม่ยากด้วยจากหลักฐานดีเอ็นเอที่มีอยู่ในฐานข้อมูล

ฆาตกรเหี้ยมไฮเทค

          ถึงแม้ว่าหน่วยปฏิบัติงานรักษาความสงบชายแดนภาคใต้ ไม่ว่าจะเป็นทหาร หรือตำรวจพยายามนำเทคโนโลยีมาป้องกันการจุดชนวนระเบิดด้วยโทรศัพท์ แต่ผู้ก่อความไม่สงบยังสามารถพลิกหาวิธีมาสังหารผู้บริสุทธิ์ที่ตกเป็น เหยื่อได้ไม่ว่างเว้น

          ระยะหลังผู้ก่อความไม่สงบเปลี่ยนมาใช้สายไฟฟ้าจุดชนวนระเบิดยาวถึง 500 เมตร หรือ ครึ่งกิโลเมตร รวมถึงเริ่มมีการนำแสงอินฟราเรดเข้ามาแทนการจุดชนวนระเบิดด้วยโทรศัพท์มือ ถือ ซึ่งมีจุดอ่อนตรงที่อาจเหลือเศษซิมการ์ดอยู่ในที่เกิดเหตุ และทำให้เจ้าหน้าที่ติดตามผู้ก่อการได้

          หมอพรทิพย์ บอกว่า เหตุที่เราจำเป็นต้องนำนิติวิทยาศาสตร์เข้ามาใช้ในการคลี่คลายคดีมากขึ้น เพราะทุกวันนี้พื้นที่ภาคใต้มีคดีในลักษณะเครือข่ายเกิดขึ้นจำนวนมาก ทั้งรูปแบบการยิง เผา และวางระเบิดที่แยบยลยิ่งขึ้น 

          "การพิสูจน์ทราบในที่เกิดเหตุทิ้งไม่ได้สักอย่างหนึ่ง จะต้องเก็บหลักฐานให้หมด และดีเอ็นเอที่พบในจุดเกิดเหตุทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นลายนิ้วมือ แปรงสีฟัน น้ำในแก้ว ก้นบุหรี่ สีหมึก หยดเลือด น้ำลาย หรือแม้ดีเอ็นเอพ่อแม่พี่น้องของผู้ต้องหาก็ตาม เพราะทุกอย่างเป็นสิ่งที่จะไขความจริงให้กระจ่างออกมาในตอนท้าย" 

          เธอยังเลคเชอร์ให้ฟังตามมาว่า การเข้าทำคดีระเบิดที่ผู้ก่อการร้ายนำมาใช้ก่อความไม่สงบ ต้องสังเกตให้ดีว่าทำอย่างไร มีอะไรเป็นส่วนประกอบ และในที่เกิดเหตุมีอะไรตกหล่นอยู่บ้างไม่ว่าจะเป็นสารที่ใช้ทำระเบิด เช่น แอมโมเนียมไนเตรต หรือปุ๋ยยูเรีย หรือสารเสพติดอย่างอื่นที่พบในพื้นที่

          หลักฐานอย่างอื่น เช่น เสื้อผ้า หมอนมุ้ง ผ้าห่มของคนร้ายสามารถใช้ตรวจหาดีเอ็นเอ เพื่อยืนยันตัวผู้กระทำความผิดได้เช่นกัน เนื่องจากการผลิตระเบิดแต่ละลูก มือสังหารแต่ละคนมีเอกลักษณ์จำเพาะของแต่ละคน เช่น การถนัดมือซ้ายหรือขวาการพันเทปกาวก็จะต่างกันด้วย

          "นิติวิทยาศาสตร์เป็นตัวทำให้เกิดความกระจ่าง ทำให้เห็นว่า กระบวนการยุติธรรม มันเป็นธรรม ทำให้เกิดกระบวนการที่ความเหลื่อมล้ำน้อยลง ไม่อย่างนั้น การเข้าถึงความเป็นธรรมมันไม่เกิดขึ้นเลย และทำให้สังคมไทยมีคุณภาพมากยิ่งขึ้น" ผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ยืนยันบทบาทสำคัญ

          เธอย้ำว่า นิติวิทยาศาสตร์ ถ้าใช้อย่างเต็มที่ และถูกต้องตามหลักวิชาการ ย่อมได้ผลถูกต้องร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่บิดเบือน อย่างไรก็ดี ทีมนิติวิทยาศาสตร์จำเป็นต้องมีเครื่องมือทันสมัยตามมาตรฐานสากล รวมถึงขั้นตอนการทำงานที่เปิดให้เจ้าหน้าที่เข้าไปปฏิบัติหน้าที่หลังเกิดเหตุเป็นทีมแรก โดยตำรวจทำหน้าที่กันพื้นที่เกิดเหตุไว้ ป้องกันหลักฐานสำคัญถูกทำลาย 

          "ทุกวันนี้ การทำงานของสถาบันนิติวิทยาศาสตร์มีอุปกรณ์ไม่เพียงพอ แต่ก็พยายามใช้งบประมาณที่ได้จากประชาชนอย่างคุ้มค่าสูงสุด โดยส่วนแรกนำมาซื้อเครื่องมือที่จำเป็นในการพิสูจน์ทราบ สองเป็นค่าใช้จ่ายในส่วนของน้ำยาและอุปกรณ์ในการตรวจพิสูจน์ทราบ และค่าเดินทางในการลงพื้นที่"

ศึกสองด้าน

          หมอพรทิพย์ บอกว่า นิติวิทยาศาสตร์เข้ามามีบทบาทในการคลี่คลายคดีอย่างมากในปัจจุบัน แต่สิ่งที่เป็นปัญหาสำหรับประเทศไทยและจำเป็นต้องแก้ไข คือ การทำให้ระบบนิติวิทยาศาสตร์เป็นงานที่อิสระ เป็นงานวิชาการไม่ใช่งานที่มียศ

          เธอมองว่า ระบบยุติธรรมที่พิสูจน์ได้ ด้วยวิทยาศาสตร์ของไทยยังมีช่องโหว่ที่ต้องอุด หนึ่งในนั้นคือ กฎหมายที่ไม่เอื้อต่อการทำงาน เช่น ระเบียบของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ระบุว่า วัตถุพยานต้องส่งมายังฝ่ายนิติฯ ของตำรวจ อีกปัญหาคือ ตำรวจบางรายที่ยังไม่พยายามเข้าใจกับกระบวนการทำงานทางนิติวิทยาศาสตร์ทำให้ การเก็บหลักฐานเป็นไปได้อย่างยากลำบาก

          หมอพรทิพย์ ยอมรับว่า การนำนิติวิทยาศาสตร์ ไปใช้กับเหตุการณ์ภาคใต้เป็นเรื่องที่หนักและยากที่สุด ต่างจากเหตุการณ์สึนามิ ที่ง่ายเพราะไม่มีศัตรูในการปฏิบัติงาน อย่างมากก็เหมือนเสียงสุนัขเห่าที่กล่าวหาว่าโกงเงิน ซึ่งพอทนฟังเสียงได้

          "เหตุการณ์ภาคใต้เราต้องระวังตัวตลอดเวลา มีคนปองร้ายเรา กลุ่มแรกคือคนร้ายที่ก่อเหตุ กลุ่มสองคือตำรวจที่ไม่เข้าใจกระบวนการทำงานทางนิติวิทยาศาสตร์ว่ามีความ สำคัญหรือจำเป็นแค่ไหน" หมอพรทิพย์ เล่าถึงปัญหา 

          การทำงานด้านนิติวิทยาศาสตร์ ควรจะมีเครือข่ายร่วมกับหน่วยงานต่างๆ ในการปฏิบัติงานให้มากที่สุด เช่น หน่วยงานราชการ หรือคณะต่างๆ ของมหาวิทยาลัย แต่ที่ผ่านมานิติวิทยาศาสตร์ยังมีพันธมิตรอยู่น้อย

          "นิติวิทยาศาสตร์ช่วยให้ความจริงกระจ่าง อย่างแรกพิสูจน์ให้เกิดความกระจ่างแก่สิ่งที่อยู่ในที่เกิดเหตุ เช่น เลือดที่พบในที่เกิดเหตุเป็นเลือดคนจริง หรือว่าเลือดสัตว์ อย่างที่สองคือ พิสูจน์ว่าใครผิด ใครถูก ใครไม่เกี่ยว สมมติว่าการตรวจเลือดที่พบในที่เกิดเหตุ หากผลออกมาเป็นเลือดสัตว์ไม่ใช่เลือดคนก็ทำให้รู้ว่าใครถูกหรือผิดได้" นักไขคดีปริศนาด้วยวิทยาศาสตร์ อธิบาย 

          ส่วนที่สามคือ การตรวจด้วยเครื่องมือวิทยาศาสตร์ และวิชาการทำให้รู้มากกว่าสิ่งที่เห็นด้วยตาหรือคิด ยกตัวอย่างกรณีพื้นที่ภาคใต้ หากไม่นำนิติวิทยาศาสตร์เข้ามาใช้จะไม่รู้เลยว่าเบื้องหลังของเรื่องทั้งหมด คือ กระบวนค้ายาเสพติด

          "การตรวจพิสูจน์ที่ได้ผลดีที่สุดคือ ทำทันทีที่เกิดเหตุ และทำให้ครอบคลุมพื้นที่ได้กว้างและลึกที่สุด แต่ไม่ได้หมายความว่าผ่านไปเนิ่นนานแล้วจะพิสูจน์ไม่ได้ เพียงแต่ว่า โอกาสการพิสูจน์ก็จะลดน้อยลงเรื่อยๆ " นี่คือข้อดีอีกข้อของวิทยาศาสตร์

          ผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ แจกแจงว่า งานนิติวิทยาศาสตร์แบ่งได้เป็น 2 ท่อน ท่อนแรกคือ ท่อนการเก็บพยานหลักฐานในที่เกิดเหตุ ส่วนท่อนสองคือห้องแล็บ ซึ่งงานพิสูจน์ในห้องแล็บจะไม่มีความสำเร็จเลย ถ้าไม่เริ่มจากท่อนหนึ่ง

          "สองส่วนนี้ต่างกันมากของการทำงาน ส่วนที่สองจะใช้ความรู้เฉพาะลึกและด้านเดียว เช่น ดีเอ็นเอก็ดีเอ็นเอ เคมีก็เคมี ปืนก็ปืน แต่ท่อนที่เกิดเหตุนี้ ต้องใช้ความรู้ทั้งลึกและกว้าง เก่งในกระบวนที่มีองค์ความรู้ว่าจะใช้อะไร เก่งในทักษะของการช่างสังเกตและการคิดประกอบด้วย" หมอพรทิพย์ กล่าว 

          หมอพรทิพย์ บอกว่า คนที่จะมาเป็นนักนิติวิทยาศาสตร์เป็นใครก็ได้ที่ใจรัก เพราะในสากลได้พิสูจน์ทราบแล้วว่า คนที่ทำหน้าที่เก็บรวบรวมพยานหลักฐานในที่เกิดเหตุ ไม่จำเป็นต้องจบวิทยาศาสตร์เสมอไป 

          "จุดสำคัญคือ คนที่จะมาทำงานเหล่านี้จะต้องถูกฝึก เพราะไม่ใช่เรื่องทั่วๆ ไป ที่ใครก็ได้ อะไรก็ได้ โดยเฉพาะสามกรณีที่ต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญที่รู้ลึกจากห้องแล็บ คือ ปืน ระเบิด และเหตุไฟไหม้ แต่นอกจากนั้น สามารถใช้ผู้เชี่ยวชาญที่ฝึกทั่วไปร่วมทำงานได้"

          หมอพรทิพย์ มองว่า การทำงานพวกนี้ถ้าไม่มีชั่วโมงการทำงาน ก็จะไม่มีประสบการณ์ ผู้ที่จะเป็นนักนิติวิทยาศาสตร์ จำเป็นต้องลงมือปฏิบัติ เพราะว่าการอยู่แต่ในห้องแล็บก็จะไม่เก่ง และไม่ควรผูกยศ หรือตำแหน่งโดยไม่นำความรู้มาใช้ตามขั้นตอนที่ควรจะเป็น 

          "ขอย้ำว่า นิติวิทยาศาสตร์ เป็นส่วนเสริมให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทำงานสะดวกขึ้น และตอนนี้เราเริ่มรู้แล้วว่าอะไรเป็นอะไร หรือเรียกว่าเห็นแสงสว่างปลายอุโมงค์ ว่าสาเหตุปัญหาภาคใต้เกิดจากอะไรแล้ว"




ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก

เรื่องน่าสนใจอื่นๆ
เรื่องที่คุณอาจสนใจ
เปิดใจ หมอพรทิพย์ กับงานตามหาความยุติธรรม อัปเดตล่าสุด 4 กรกฎาคม 2552 เวลา 16:36:25 9,234 อ่าน
TOP
x close