ไทยเตรียมยกเลิกเอ็มโอยู พื้นที่ทับซ้อนแหล่งก๊าซกับเขมร

กษิต ภิรมย์
กษิต ภิรมย์

 

ยกเลิกMOUเขมร กษิตออกโรง ล้างบางสมัยแม้ว (ไทยรัฐ)

        นายกรัฐมนตรี ยืนยัน การลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูตกับกัมพูชาไม่บานปลาย ขณะที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เตรียมเสนอยกเลิก MOU (เอ็มโอยู) ปี 2544 เกี่ยวกับพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลอ่าวไทย เพราะเห็นว่าไม่มีประโยชน์ที่จะเจรจา

        นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูตกับกัมพูชาว่า ได้มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศ ดำเนินการอย่างเป็นขั้นเป็นตอน และอยู่ที่กัมพูชาจะดำเนินอย่างไรต่อไป ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ได้เกิดจากไทย แต่เพื่อเป็นการปกป้องผลประโยชน์และกระบวนการยุติธรรของไทย โดยยืนยันว่า การดำเนินการจะไม่ให้กระทบเกิดปัญหารุนแรงบานปลาย หรือมีผลกระทบภาคธุรกิจ และประชาชน รวมถึงการค้าตามแนวชายแดน

        ด้าน นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า กระทรวงการต่างประเทศ จะเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรีวันอังคารหน้า พิจารณายกเลิกบันทึกความเข้าใจ หรือ MOU ฉบับปี 2544 เกี่ยวกับพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลอ่าวไทย เพราะเห็นว่าการเจรจาจะไม่มีประโยชน์ เนื่องจาก MOU ดังกล่าวทำขึ้นสมัย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่มีส่วนรู้เห็นโดยตรง อีกทั้ง 8 ปีที่ผ่านมา การเจรจาก็ไม่มีความคืบหน้า และเห็นว่ายังมีวิธีการอื่นที่จะเจรจาได้ 

        ขณะที่ นพ.บุรณัชย์  สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงสนับสนุนรัฐบาล กรณีดำเนินการเรียกทูตกลับประเทศไทย และดำเนินมาตรการอื่น ๆ ทั้งเรื่องการทบทวนบทบัญญัติและข้อตกลงความร่วมมือ เพื่อที่จะเป็นบรรทัดฐานมิให้ประเทศใดใช้เป็นข้ออ้างดังกล่าว ไม่ดำเนินการตามสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน ที่มีการตกลงกันไว้ ระหว่างประเทศไทยกับกัมพูชาและประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก โดยสิ่งที่น่ากังวลเป็นพิเศษคือ แบบแผนของการวางนโยบายสมัย รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ที่เป็นประโยชน์ร่วมกันระหว่างประเทศไทยกับกัมพูชา จากในอดีตจนถึงปัจจุบัน แต่เมื่อเวลาผ่านมา ปรากฏว่ามีหลายกรณีที่เห็นได้ว่าการกระทำของ พ.ต.ท.ทักษิณ ขณะเป็นนายกรัฐมนตรี มีการใช้อำนาจของรัฐ บรรลุข้อตกลงหลายอย่าง ซึ่งเมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ พ้นจากสภาพการเป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว ได้พยายามแสวงหาผลประโยชน์ทางธุรกิจกับข้อตกลงดังกล่าว 2-3 เรื่อง  

        เรื่องแรก คือ บันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา อ้างสิทธิในหลายพื้นที่ทับซ้อนกัน ซึ่งลงนามไว้ 18 มิ.ย. 2544 และต่อมาได้มีรายงานในสื่อมวลชนหลายแขนง ว่าผลจากบันทึกข้อตกลงดังกล่าว โดยเฉพาะการสำรวจทรัพยากรบริเวณเขตพื้นที่รอยต่อไทยกัมพูชา พ.ต.ท.ทักษิณ พยายามขอสัมปทาน เพื่อไปพัฒนาพื้นที่ดังกล่าว โดยมีการติดต่อเจ้าหน้าที่ระดับสูง ซึ่งได้รับคำยืนยันทั้งจากรัฐมนตรีของกัมพูชา และ รอง ผบ.ทบ. ของไทย ว่ามีความพยายมดังกล่าวจริง  

        เรื่องที่ 2 บรรดามติ ครม. ที่มีการดำเนินการต่อเนื่อง ทั้งเรื่องการพัฒนาบริเวณที่เกาะกง -สะแรอัมเบิล ในกัมพูชา เพื่อพัฒนาทางหลวงหมายเลข 48 และได้มีมติ ครม. ประมาณ10 ครั้ง ซึ่งรัฐบาลไทยให้การสนับสนุนพัฒนาถนนไปยังพื้นที่ดังกล่าว บนพื้นฐานความร่วมมือที่ดี แต่เมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ พ้นจากตำแหน่ง มีรายงานข่าวในสื่อมวลชนกัมพูชาว่า มีการคัดค้านการที่รัฐบาลมอบสัมปทานเกาะกงให้กับอดีตนายกรัฐมนตรีไทยเป็นเวลา 99 ปี ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์เข้าใจว่า ทำให้ความพยายามของ พ.ต.ท.ทักษิณ ในขณะนั้นได้หยุดยั้งไปชั่วคราว จนปัจจุบัน มีการดำเนินการไปเยือนกัมพูชา หลายครั้งเพื่อแสวงหาประโยชน์ควบคู่กันกับการที่จะใช้พื้นที่ที่ตัวเอง แสวงหาประโยชน์ และใช้เป็นที่พักพิงเคลื่อนไหวทางการเมืองอย่างต่อเนื่อง ดังที่เคยทำมาขณะที่พักพิงอยู่ที่ตะวันออกกลาง  

        เรื่องที่ 3 เดือน ส.ค. 2546 มีการจัดทำแผนแม่บท และข้อกำหนดอำนาจหน้าที่ในการสำรวจเขตแดนร่วมระหว่างไทย -กัมพูชา หรือ ที่เรียกย่อๆว่า ทีโออาร์ 2546 ชี้ "ทักษิณ" ใช้ฐานเพื่อนบ้านป่วนชาติไทย ซึ่งในข้อตกลงข้อที่ 1 ค. มีการระบุถึงพื้นที่ 1 : 200,000 ซึ่งเป็นแผนที่ที่ทางกัมพูชาใช้เป็นข้อต่อสู้ในกรณีข้อพิพาทระหว่างชายแดน ไทย-กัมพูชาต่อเนื่อง และรัฐบาลไทยได้ให้การปฏิเสธการยอมรับแผนที่ดังกล่าว ทั้งนี้ ผลจากทีโออาร์ ปี 2546 ได้มีผลผูกพันต่อมาทำให้ข้อต่อสู้ของรัฐบาลกัมพูชา สามารถอ้างอิงถึงการยอมรับแผนที่ ซึ่งรัฐบาลก่อนหน้านั้น และหลังจากนั้นให้การปฏิเสธมาโดยตลอด และในข้อตกลงดังกล่าวพรรคมีความเห็นว่าอยากให้รัฐบาลดำเนินมาตรการต่อเนื่อง ตามข้อ 3 ที่กระทรวงการต่างประเทศได้แถลงการณ์ไป เมื่อวันที่ 5 พ.ย. โดยให้ดำเนินการตามอนุสัญญากรุงเวียนนาว่าด้วยสนธิสัญญาระหว่างประเทศ 1969 ตามข้อ54-56 เพื่อยกเลิกบันทึกความเข้าใจ และแผนแม่บทข้อกำหนดในปี 2544 และ 2546 เพราะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด ว่าการเคลื่อนไหวทางการเมืองของ พ.ต.ท.ทักษิณ มีการเตรียมการใช้มิตรประเทศเคลื่อนไหวต่อเนื่องในการหาผลประโยชน์ และดำเนินการจะสร้างความวุ่นวาย และไม่มั่นคงขึ้นในประเทศไทย จึงเป็นการป้องกันเหตุดังกล่าวของรัฐบาลเรียกร้องสื่อร่วมตรวจสอบ 

        โฆษกพรรค ประชาธิปัตย์ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ อยากให้สื่อมวลชนร่วมกันตรวจสอบในเรื่องที่มาและผลประโยชน์ที่ทับซ้อนกัน และตนคิดว่าเหตุการที่ตามมาจากการเดินสายไปยังประเทศต่าง ๆ ทั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ และ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกฯ ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ซึ่งมีผลกระทบต่อความมั่นคงและความสงบเรียบร้อยภายใน  และต่อความสัมพันธ์ที่ดีกับมิตรประเทศอย่างต่อเนื่อง แต่เป็นเรื่องการดำเนินการตามยุทธศาสตร์เคลื่อนไหวเพื่อให้เกิดการแทรกแซง การในเมืองในประเทศไทย ซึ่งขับเคลื่อนโดยพรรคเพื่อไทย ร่วมกับอดีตนายกฯ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์ที่เรียกว่า "ชักศึกนอก ก่อศึกใน สร้างความวุ่นวาย"  

        โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ยังเป็นที่กังวลถึงการพยายามขับเคลื่อนต่อเนื่องไปยังประเทศอื่น ๆ ซึ่งอยากให้ประเทศเหล่านั้นมีโอกาสฉุกคิดและดูเหตุผล ซึ่งกรณีที่เกิดขึ้นจากการเยือนประเทศกัมพูชาต่อเนื่องมาจนเกิดปัญหาความสัมพันธ์ และอยากให้คนไทยได้ติดตามว่าต่อจากนี้ จะมีความชัดเจนมากขึ้นจากการที่ผู้ใหญ่ของบ้านเมืองได้เตือนด้วยความหวังดีว่า การเคลื่อนไหวดังกล่าวสุ่มเสี่ยงและต้องระมัดระวังต่อการทรยศประเทศชาติ ในส่วนของหลายเรื่องมีมติ ครม. ไปแล้ว แต่หลายเรื่องเป็นเรื่องที่เป็นผลประโยชน์ที่จะต้องเจรจาต่อรองระหว่างรัฐบาลทั้งสองประเทศ ทั้งนี้เมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ อดีตนายกรัฐมนตรี ขณะนั้นเป็นผู้บริหารประเทศและลงนามในบันทึกตกลงดังกล่าว และในวันนี้ท่านมีสถานะเป็นที่ปรึกษารัฐบาลกัมพูชา เมื่อมีการเจรจาเกิดขึ้น คำถามที่สำคัญ คือ พ.ต.ท.ทักษิณ จะยืนอยู่ข้างไหน จะรักษาผลประโยชน์ในฐานะใด ในฐานะอดีตนายกรัฐมนตรี หรือฐานะที่ปรึกษารัฐบาลกัมพูชาในปัจจุบัน





ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก
  

เรื่องน่าสนใจอื่นๆ
เรื่องที่คุณอาจสนใจ
ไทยเตรียมยกเลิกเอ็มโอยู พื้นที่ทับซ้อนแหล่งก๊าซกับเขมร อัปเดตล่าสุด 6 พฤศจิกายน 2552 เวลา 18:11:05 14,028 อ่าน
TOP
x close