
เที่ยวปีใหม่ถังแตก-แห่พึ่ง"โรงจำนำ" ตึ๊งแก้ขัด พม.ขยาย "ดอกเบี้ย" 0%จูงใจ (ข่าวสด)
คนแห่เข้าโรงจำนำ หลังเที่ยวปีใหม่ใช้เงินเดือน-โบนัสจนถังแตก กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สั่งขยายดอกเบี้ย 0% ถึง ก.ย.53 สั่งเพิ่มวงเงินจำนำทองคำจากเดิมไม่เกิน 6 หมื่น เป็นไม่เกิน 1 แสนบาท ตั้งแต่เดือน ม.ค.เป็นต้นไป พร้อมขยายเงินหมุนเวียนอีก 800 ล้าน คาดทั้งปีจะมีผู้ใช้บริการเพิ่มจากปีที่แล้วร้อยละ 10
เมื่อวันที่ 6 ม.ค. นายนิธิศ มนุญพร ผอ.สำนักงานธนานุเคราะห์ กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เปิดเผยว่า ในปี 2553 สำนักงานธนานุเคราะห์ มีมติให้ขยายเวลาลดดอกเบี้ย 0% และเพิ่มวงเงินรับจำนำใหม่ โดยเงินต้นไม่เกิน 5,000 บาท จำนำครบ 3 เดือน จะคิดดอกเบี้ยเดือนแรก 0% ต่อเดือน ส่วนเดือนที่ 2 และ 3 คิดดอกเบี้ย 0.50% ต่อเดือน
แต่หากจำนำมากกว่าหรือน้อยกว่า 3 เดือน คิดดอกเบี้ย 0.50% ต่อเดือน ขยายไปจนถึงเดือน ก.ย.53 ส่วนเงินต้น 5,001-10,000 บาท คิดดอกเบี้ย 0.75% ต่อเดือน เงินต้น 10,001-20,000 บาท คิดดอกเบี้ย 1% ต่อเดือน และเงินต้น 20,001 บาท ขึ้นไปคิดดอกเบี้ย 1.25% ต่อเดือน พร้อมทั้งขยายวงเงินตั๋วจำนำทองคำจากเดิมใบละไม่เกิน 60,000 บาท ขยายเป็นไม่เกิน 100,000 บาท ตั้งแต่เดือน ม.ค.เป็นต้นไป
"หลังเทศกาลปีใหม่ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ประชาชน นำเงินไปจับจ่ายใช้สอยระหว่างวันหยุดยาวกันหมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเงินโบนัสหรือเงินเดือน ทำให้ต้องกลับมาใช้บริการโรงรับจำนำ โดยแนวโน้มผู้ใช้บริการจะเพิ่มมากขึ้นช่วงเดือน ม.ค. และ ก.พ.ทุกปี ซึ่งปี 2553 ก็เช่นกัน โดยคาดการณ์ว่าทั้งปีจะมีผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้นจากปี 2552 ประมาณร้อยละ 10 คิดเป็นวงเงิน 14,000 ล้านบาท จากเดิม 13,000 ล้านบาท ซึ่งสำนักงานธนานุเคราะห์ได้เตรียมวงเงินรองรับผู้มาใช้บริการไว้ 800 ล้านบาท" ผอ.สำนักงานธนานุเคราะห์ กล่าว
นายนิธิศ กล่าวต่อว่า ส่วนยอดผู้มาใช้บริการวันที่ 4-5 ม.ค.โรงรับจำนำกว่า 30 แห่งในสังกัด พม. ยังไม่ได้รายงานตัวเลขเป็นทางการเข้ามา แต่ประเมินว่าแนวโน้มมีผู้มาใช้บริการเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะยิ่งมีแรงจูงใจจากการขยายดอกเบี้ย 0% และเพิ่มวงเงินรับจำนำด้วย ประชาชนผู้มีรายได้น้อย ผู้หาเช้ากินค่ำยิ่งมาใช้บริการกันมาก แม้รัฐบาลจะประกาศว่าเศรษฐกิจดีขึ้นตั้งแต่ไตร มาสสุดท้ายของปีที่แล้ว แต่ประชาชนรายได้น้อยไม่ได้เศรษฐกิจดีตามไปด้วยก็ยังต้องพึ่งพาโรงรับจำนำ เวลาขัดสนก็มาจำนำ เมื่อมีเงินก็มาไถ่ถอนเป็นเรื่องปกติ อย่างไรก็ตาม ช่วงทองคำแพง ทำให้มีลูกค้ามาเพิ่มวงเงินรับจำนำจากเดิม 13,000 บาท เป็น 15,000 บาท และมีลูกค้าใหม่เข้ามาจำนำทองคำมากขึ้น
ที่ จ.ศรีสะเกษ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังเทศกาลปีใหม่ผ่านไป ตั้งแต่เช้ามีประชาชนนำสิ่งของไปจำนำที่สถานธนานุบาลเมืองศรีสะเกษกันมาก โดยส่วนมากแล้วจะเป็นทองคำรูปพรรณ ที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 1 บาท ขึ้นไป นอกจากนั้นแล้วก็จะมีผ้าไหม เครื่องใช้ไฟฟ้า ซึ่งประชาชนได้มาติดต่อใช้บริการกันเป็นจำนวนมาก เนื่องจากโรงรับจำนำต้องปิดยาวในช่วงส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ รวม 4 วันด้วยกัน โดยส่วนใหญ่จะเป็นการนำเงินมาเพื่อไถ่ถอนสิ่งของที่ได้จำนำไว้ เนื่องจากบุตรหลานนำเงินมามอบให้เป็นของขวัญในช่วงปีใหม่ รวมทั้งได้จากการจำหน่ายพืชผลทางการเกษตร ซึ่งในปีนี้มีราคาดีขึ้นกว่าเดิม จึงนำเงินมาไถ่ถอนไว้ก่อน โดยเมื่อถึงฤดูกาลทำนา หรือจำเป็นที่จะต้องใช้เงิน ก็จะได้นำสิ่งของที่ไถ่ถอนออกไปมาจำนำไว้อีก เนื่องจากเห็นว่าโรงรับจำนำเป็นที่พึ่งได้ รวมทั้งสามารถผ่อนชำระเงินต้นได้อีกด้วย และมีอัตราดอกเบี้ยถูก
นายวีระศักดิ์ พันธ์นาเหนือ ผู้จัดการสถานธนานุบาลเทศบาลเมืองศรีสะเกษ กล่าวว่า วันนี้มีประชาชนชาวศรีสะเกษมาติดต่อใช้บริการกว่า 500-600 คน ซึ่งมากกว่าช่วงหยุดทำการตามปกติ คือวันเสาร์-อาทิตย์ ที่เพิ่มขึ้นมากกว่า 2-3 เท่าตัว ซึ่งตนจะได้จัดเตรียมเงินสำรองไว้หมุน เวียนในการให้บริการรับจำนำและไถ่ถอนมากกว่า 70 ล้านบาทด้วยกัน
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ขณะเดียวกันปั๊มน้ำมันทุกปั๊มในเขตพื้นที่ จ.ศรีสะเกษ มีการปรับราคาน้ำมันขึ้นอีกประมาณ 35-40 ส.ต.ต่อลิตร ทำให้ราคาน้ำมันเบนซิน 91 มีราคาสูงขึ้นถึงลิตรละ 35 บาทเศษ ส่งผลให้ประชาชนชาวศรีสะเกษที่ต้องใช้รถในการสัญจรไปมาได้รับผลกระทบเป็น อย่าง มากทีเดียวในช่วงหลังเทศกาลปีใหม่นี้
ที่สถานธนานุบาลเทศบาลเมืองบุรีรัมย์ หลังหยุดยาวช่วงเทศกาลปีใหม่ติดต่อกันหลายวัน มีประชาชนและนักท่องเที่ยว แห่นำสิ่งของมีค่ามาจำนำเป็นจำนวนมาก เพื่อที่จะนำเงินไปเป็นค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน และเป็นค่าเดินทางกลับ หลัง เที่ยวเฉลิมฉลองสังสรรค์ปีใหม่ สำหรับสิ่งของที่นำมาจำนำส่วนมากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ เป็นทองคำรูปพรรณ เนื่องจากทางสถานธนานุบาลได้เพิ่มเพดานรับจำนำทองสูงถึงบาทละ 13,500 บาท ถึงแม้ช่วงนี้ราคาทองจะปรับลดลงอย่างต่อเนื่องก็ตาม และคาดว่าตลอดทั้งวันจะมีผู้นำสิ่ง ของมาใช้บริการไม่น้อยกว่า 700 ราย ต้องใช้เงินหมุนเวียนในการจำนำไถ่ถอน 3-4 ล้านบาท จากปกติมีผู้มาใช้บริการเพียงวันละ 200-300 รายเท่านั้น
นายไพศาล โพธิ์มีศรี ผู้จัดการสถานธนานุบาลเทศบาลเมืองบุรีรัมย์ กล่าวว่า มีประชาชนนำสิ่งของมีค่ามาจำนำเป็นจำนวนมากตั้งแต่ช่วงเช้า และคาดว่าจะมีผู้มาใช้บริการคึกคักตลอดทั้งสัปดาห์ ขณะที่ทางสถานธนานุบาลเตรียมเงินสดกว่า 50 ล้านบาท และทุนหมุนเวียนที่มีอยู่ในสต๊อกอีกกว่า 150 ล้านบาท ไว้รองรับบริการประชาชนที่ประสบปัญหาขัดสนด้านการเงิน
ขอขอบคุณข้อมูลจาก

ขอขอบคุณภาพประกอบจาก กรุงเทพธุรกิจ






