
อธิบดี บพ.ปัดข่าวสนามบินร้างไม่จริง! มีเครื่องขึ้นลงตลอด กำไรทุกปี ยันก่อนสร้างทำประชาพิจารณ์ทุกครั้ง (มติชยออนไลน์)
อธิบดี บพ.แจงก่อนสร้างสนามบิน สศช.เห็นชอบ ทำประชาพิจารณ์ทุกครั้ง ยันทุกสนามมีเครื่องขึ้น-ลงตลอด คุยมีกำไรทุกปี ซัด "อบจ.-เอกชน" เคยสัญญาส่งเสริมการบิน หาลูกค้า สุดท้ายแค่รับปาก "ผอ.สทท." แนะให้ศึกษาการตลาดใหม่ ปูดท่าเรือก็ถูกปล่อยร้าง เผย "จรัส"ผลักดันสร้างที่"เพชรบรูณ์"
นายวุฒิชัย สิงหมณี อธิบดีกรมการบินพลเรือน (บพ.) ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 31 มกราคม ถึงการก่อสร้างสนามบินในแต่ละพื้นที่ ว่า จะมีการศึกษา ทำวิเคราะห์วิจัย และต้องได้รับความเห็นชอบจาก สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) อีกทั้งจะต้องทำประชาพิจารณ์เพื่อรับฟังความคิดเห็นของประชาชนทุกภาคส่วนที่อยู่ในพื้นที่ด้วยว่ามีความต้องการหรือไม่ ส่วนงบประมาณที่จะใช้พัฒนาในแต่ละที่ คาดว่าน่าจะอยู่ที่ประมาณ 500 - 600 ล้านบาท อย่างไรก็ตามในสนามบินทั้ง 28 แห่งนั้นจะมีผู้บริหารของ บพ.ในระดับซี 8 และ ซี 9 เป็นผู้อำนวยการท่าอากาศยานแต่ละแห่ง และมีข้าราชการประจำอยู่ที่สนามบินประมาณ 6-7 คน นอกจากนี้จะมีลูกจ้างที่จะต้องดูแลและซ่อมบำรุงระบบการบินเพื่อให้มีความพร้อมที่จะทำการบินได้ตลอดเวลา
"ช่วงที่ผ่านมา ยืนยันว่าทุกสนามบินมีเครื่องบินขึ้น-ลงตลอด (ยกเว้นสนามบินแม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน อยู่ระหว่างการปรับปรุงทางวิ่ง) ทั้งเครื่องบินพาณิชย์ เครื่องบินหน่วยงานราชการทั้งทหาร ตำรวจ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ในส่วนของการบินของหน่วยงานราชการจะไม่มีรายได้ เพราะถือเป็นการบริหารทางสังคม แต่หากพิจารณาโดยภาพรวมการบริหารสนามบินภูมิภาคของบพ. ถือว่ามีผลการดำเนินงานที่ดีมาโดยตลอด โดยในปีงบประมาณ 2546-2551 มีกำไรทุกปี ยกเว้นปี 2552 ที่มีผลการดำเนินงานขาดทุนเนื่องจากสถานการณ์เศรษฐกิจไม่ดี และการปิดสนามบินสุวรรณภูมิเมื่อปลายปี 2551 ทำให้คนเดินทางลดลง อีกทั้งบพ.ได้ลดค่าธรรมเนียมตามนโยบายของรัฐบาลทำให้รายได้ลดลง" นายวุฒิชัย กล่าวและว่า
ที่ผ่านมา บพ.ไม่เคยนิ่งนอนใจกับสนามบินเหล่านี้ พยายามที่จะให้ทางสายการบินเอกชนไปบินลงตลอด มีการหารือกับหน่วยงานปกครองส่วนท้องถิ่น เช่น องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) รวมทั้งผู้ประกอบการภาคเอกชนในจังหวัดนั้น ๆ ทั้งหอการค้า สภาอุตสาหกรรม ในการที่จะช่วยกันส่งเสริมและหามาตรการจูงใจให้สายการบินเข้าไปบิน ซึ่งหน่วยงานเหล่านี้รับปากมาโดยตลอด แต่สุดท้ายก็ไม่เคยทำได้อย่างที่รับปาก ทำให้สายการบินขาดทุน จนต้องเลิกให้บริการ
ด้าน นส.วิไลพร ลิ่วเกษมศานต์ ผู้อำนวยการบริหาร สภาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) กล่าวว่า ที่ผ่านมาการปล่อยสนามบินร้างอาจจะเป็นเรื่องการตลาดที่ไม่สามารถดำเนินการเพื่อให้เกิดประโยชน์ได้เต็มที่ แต่ปัจจุบันสถานการณ์ต่าง ๆ เปลี่ยนไปจึงต้องการให้นำสนามบินทั้งหมดมาพิจารณาใหม่อีกครั้งว่าแต่ละสนามบินจะสามารถส่งเสริมให้มีศักยภาพทางด้านการตลาดได้หรือไม่ โดยเฉพาะการพัฒนาเพื่อรองรับการท่องเที่ยวภายในประเทศที่มีการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ การพิจารณาเรื่องความคุ้มค่าทางด้านการตลาดของแต่ละสนามบิน อาจจะไม่ใช่การพิจารณาจำนวนผู้ใช้บริการเฉพาะในพื้นที่ท่องเที่ยวที่ติดกับสนามบินเท่านั้น แต่ควรจะส่งเสริมการท่องเที่ยวในพื้นที่ใกล้เคียง เพื่อให้เกิดการเดินทางเป็นวงจร ไม่ใช่ไปลงยังจุดใดจุดหนึ่งเพียงอย่างเดียว เช่น การเชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ยวจากเพชรบูรณ์ ไปยังสุโขทัย และจังหวัดใกล้เคียง เพื่อให้เกิดการเดินทางเป็นวงจร และใช้สนามบินที่มีอยู่ให้มีศักยภาพ
"ถ้ามีการเชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ยว อย่างเช่นที่สายการบินบางกอกแอร์เวย์ส ดำเนินการอยู่ มั่นใจว่าสนามบินที่ปล่อยทิ้งร้างบางแห่ง จะสามารถเพิ่มศักยภาพให้สามารถเปิดให้บริการได้อย่างแน่นอน" นางสาววิไลพร กล่าวและว่า นอกจากปัญหาสนามบินที่ถูกปล่อยทิ้งร้าง ยังมีเรื่องของท่าเรือที่เป็นปัญหาเช่นเดียวกัน เพราะขณะนี้มีท่าเรือหลายแห่งที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ เช่น ท่าเรือภูเก็ต เมื่อสร้างท่าเรือใหม่ ก็ปล่อยท่าเรือเก่าทิ้ง ทั้งที่สามารถพัฒนาให้มีศักยภาพในการรองรับนักท่องเที่ยวได้ หากพัฒนาสนามบินร้างให้มีศักยภาพเพิ่มขึ้น รวมถึงพัฒนาท่าเรือให้เชื่อมโยงนักท่องเที่ยวตามเกาะ และชายหาดต่าง ๆ จะส่งผลให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นแน่นอน
นายกงกฤช หิรัญกิจ ประธาน สทท. กล่าวว่า มีสนามบินในหลายจังหวัดที่น่าจะนำมาศึกษาถึงศักยภาพในการเปิดให้บริการ เนื่องจากได้พิจารณาแล้วเห็นว่าบางแห่งสามารถเปิดให้บริการได้ แต่รัฐบาลอาจจะต้องยอมรับภาระค่าใช้จ่ายบางส่วนไปก่อน ซึ่งหากดำเนินการได้มั่นใจว่าจะส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศได้อีกทางหนึ่ง ทั้งนี้ ยังเห็นว่าการพัฒนาสนามบิน อาจจะต้องดำเนินการควบคู่กับรถไฟรางคู่ เพื่อให้เกิดการเชื่อมโยงของการเดินทางได้อย่างมีประสิทธิภาพ และส่งเสริมให้เกิดการเดินทางเพื่อการท่องเที่ยวมากยิ่งขึ้น
ด้านนายธวัชชัย เทอดเผ่าไทย ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรณ์ กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ทางคณะกรรมาธิการ วุฒิสภา เดินทางมาดูปัญหาเรื่องสนามบิน กระทั่งหยิบยกเสนอให้มีการจัดเส้นทางการบินสายยาวมาลงแล้ว ควรเชื่อมเส้นทางการบินระหว่างภาค อาทิ กรุงเทพฯ-เพชรบูรณ์-เชียงใหม่ และกรุงทพฯ-เพชรบูรณ์-ขอนแก่น จะทำให้เกิดแรงจูงใจให้มีผู้ใช้บริการมากขึ้นด้วย แต่ในด้านผู้ลงทุนต้องการศักยภาพผู้ใช้บริการ หากมีจำนวนมากก็คุ้มค่ากับการลงทุน จึงเห็นว่าคงต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่ง
"ในส่วนของจังหวัดก็ต้องมาปรับในด้านการส่งเสริมการท่องเที่ยว พร้อมส่งเสริมให้ใช้บริการเครื่องบินให้มากขึ้น ในขณะที่ส่วนกลางต้องช่วยจัดเส้นทางการบินให้น่าสนใจ และสามารถเชื่อมต่อจังหวัดข้างเคียง หรือระดับภูมิภาคให้ได้"นายธวัชชัยกล่าวและว่า หากมีผู้ใช้บริการมาก ๆ ผู้ลงทุนเห็นกำไรก็ต้องมาลงทุน แต่ในขณะนี้ทางสายการบินดูแล้วไม่คุ้มทุนจึงจำเป็นต้องหยุดให้บริการไป
นายธวัชชัย กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ก็มีการหยิบยกถึงเรื่องการประกันที่นั่งให้กับสายการบินที่จะมาลงทุน ซึ่งเหมือนกับประกันความเสี่ยง ตรงนี้ก็แจ้งไปว่าคงประกันให้ไม่ได้ เพราะไม่สามารถรู้ได้ว่าจะมีผู้โดยสารใช้บริการเท่าไหร่ ความเป็นไปได้ตรงนี้จึงอยู่ที่ว่าจ.เพชรบูรณ์จะต้องส่งเสริมการท่องเที่ยวให้มากๆ เพื่อจะให้ส่งผลไปถึงการให้บริการด้านสายการบิน
"แต่วันนี้แหล่งท่องเที่ยวของเพชรบูรณ์ยังเป็นแหล่งเดิม ๆ อยู่ ยังไม่มีการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวให้เพิ่มมากขึ้นเท่าที่ควร ซึ่งคงต้องใช้ระยะเวลาสักพักหนึ่ง จึงไม่อยากให้ซีเรียสว่า อยากให้เปิดใช้สนามบินให้ได้ เพราะยังมีสนามบินหลายแห่งที่มีปัญหาเหมือนกัน แต่สนามบินเพชรบูรณ์ยังค่อนข้างดีกว่าที่อื่น เพราะยังมีเครื่องบินลงจอดเป็นครั้งคราว" นายธวัชชัย กล่าวและว่า ก่อนสร้างสนามบินขึ้นปัญหาใหญ่คือไม่ได้มีการดูการเชื่อมโยงของสนามบิน ว่าจะสร้างกันตรงไหนและเชื่อมกันอย่างไง ตอนนั้นจังหวัดไหนสร้างได้ก็ทำให้ดูน่าสนใจทำนองนี้
รายข่าวแจ้งว่า สนามบินเพชรบูรณ์ ถูกก่อสร้างขึ้นโดยแรงผลักดันของ นายจรัส พั้วช่วย เมื่อสมัยยังดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม โดยเล็งการณ์ไกลต้องการผลักดันให้จังหวัดเพชรบูรณ์เป็นศูนย์กลางการบินเชื่อมต่อภูมิภาคและต่างประเทศด้วย
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก







