
หลังจากกรุงเทพมหานคร (กทม.) เริ่มปรับปรุงภูมิทัศน์บริเวณท้องสนามหลวง ทั้งเคลื่อนย้ายพ่อค้าแม่ค้าที่ตั้งเต็นท์ในสนามหลวง รวมถึงการจัดการกับนกพิราบ ด้วยการให้เจ้าหน้าที่เดินให้อาหาร เป่านกหวีด เพื่อให้นกเกิดความคุ้นเคยและเดินเข้าไปใกล้กรงตาข่ายไนลอนขนาดกว้าง 6 เมตร สูง 4 เมตร ลึก 12 เมตร และเมื่อนกพิราบเข้าไปในกรงก็จะถูกตาข่ายคลุม ก่อนที่จะนำตัวส่งเข้าไปตรวจพยาธิ และไข้หวัดนก และถูกนำตัวไปเลี้ยงต่อที่กรมทหารช่าง จ.ราชบุรี นั้น
ไทยรัฐออนไลน์สอบถามไปยังวิธีการจัดการของภาครัฐต่อปัญหานี้ โดย นายสัตวแพทย์ ปกรณ์ นวลสุวรรณ ผู้เชี่ยวชาญเรื่องนก กล่าวถึงการจับนกพิราบเพื่อจะย้ายไปยังพื้นที่ใหม่ ว่า เป็นวิธีการที่ไร้ประโยชน์ เนื่องจากนกพิราบมันเป็นนกป่า ที่มีอยู่มากมาย ซึ่งปกติการย้ายนกพิราบฝูงใหญ่ ๆ สู่พื้นที่ใหม่ ๆ แล้วปล่อยให้อยู่ในธรรมชาติดังเดิม อีกไม่นานนกพิราบพวกนี้ก็จะบินกลับมายังที่เดิมที่ที่มันเคยอยู่
"มีอยู่วิธีเดียวที่จะทำให้นกฝูงนี้ไม่ย้ายกลับมาที่เดิมก็คือการจับพวกมันใส่กรงขังเอาไว้ นอกเหนือจากนั้นไม่มีวิธีอื่น"
นายสัตวแพทย์ปกรณ์ ให้เหตุผลว่า เพราะหากเราจับนกพิราบ แล้วนำมันไปปล่อยสู่ธรรมชาติอีกที่หนึ่ง ไม่ว่าจะไกลแค่ไหนมันก็จะบินกลับมาที่เดิม นอกจากใส่กรงขังไม่ให้มันกลับมา ถามว่าเมื่อย้ายนกพิราบฝูงนี้ แล้วมีวิธีจัดการไม่ให้มันกลับมาอีกไหม ขอตอบว่าแทบจะเป็นไปไม่ได้
"ถามว่าทำหุ่นไล่กา เอาดีดีที. ฉีดเอาไว้ หรือ เอานกเหยี่ยว หรือรูปปั้นเหยี่ยวขึ้นมาเพื่อขู่ไม่ให้นกพิราบกลับมาได้ไหม เนื่องจากนกพิราบไม่เหมือนกับลิงที่มีความฉลาดกว่า ดังนั้นเมื่อมันเรียนรู้แล้วว่าสิ่งที่เราเอามาตั้งขู่มันไม่ได้ทำอันตรายมัน อย่างเหยี่ยวนกพิราบกลัวจริง แต่เหยี่ยวมันจะล่าสัตว์เพื่อยังชีพดังนั้น เมื่อสมมุติมันล่านกพิราบได้ไป 1 ตัว นกพิราบที่เหลือก็จะบินหนีแต่พอเหยี่ยวบินกลับไปนกพิราบก็จะกลับมาสู่แหล่งที่มีที่ดินอุดมสมบูรณ์เหมือนเดิม และที่สำคัญธรรมชาติของนกพิราบมันขยายพันธุ์เร็วมากๆ โดยการผสมพันธุ์แต่ละครั้งมันจะตกไข่ราว 4 - 5 ฟอง และมันสามารถผสมพันธุ์ได้ไม่จำกัดฤดู แถมยังเป็นแหล่งแพร่โรคมากมายไม่ว่าจะเป็นไวรัส หรือ เชื้อรา เป็นนกที่มีความอันตรายมาก ดังนั้นจึงควรระวัง"
ด้าน น.ส.ภัทรภร ไชยมาตย์ เจ้าหน้าที่ของบริษัทกำจัดนกชื่อดัง เปิดเผยกับไทยรัฐออนไลน์ โดยแสดงความไม่เห็นด้วยกับวิธีการที่ทาง กทม.ใช้จัดการกับนกพิราบ สนามหลวง เพราะคิดว่าเป็นการจัดการที่ปลายเหตุเกินไป
"ไม่ต้องอื่นไกล เราเห็นวิธีการจับนกที่ดูไม่ธรรมชาติแล้วตลกมาก เพราะสัญชาตญาณของนกไม่ต้องการให้ใครมากักขังหรือต้อนให้ไปอยู่ในที่แคบๆ ซึ่งถ้าจะแก้ไขปัญหาอย่างจริงจังและให้ได้ผลแบบต่อเนื่องนั้น กทม.ควรปลูกฝังให้ประชาชนเลิกให้อาหารนกเป็นลำดับแรกๆ เพราะถ้านกไม่มีอาหารกินมันก็จะไม่มาอยู่สร้างความรำคาญใจให้กับคนกทม.บริเวณท้องสนามหลวงอีกต่อไป"
เช่นเดียวกับ น.ส.ภานุมาศ หรือติ๊ก พนักงานขาย บริษัทกำจัดนกชื่อดัง ย่านรามคำแหง ที่บอกว่าไม่เห็นด้วยกับวิธีการไล่นกพิราบบริเวณสนามหลวงของ กทม. เท่าใดนัก เนื่องจากเป็นวิธีการที่ดูแล้วสร้างความหดหู่ใจให้เกิดขึ้น
"วิธีการที่ กทม.ทำคือให้อาหาร เป่านกหวีด แล้วก็ต้อนให้นกพิราบเข้ากรงที่เตรียมไว้ เป็นวิธีการที่ดูเหมือนไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญเรื่องนกมาทำ ซึ่งมีเราว่ามันมีวิธีการที่ดีและง่ายกว่านี้"
น.ส.ภานุมาศ กล่าวด้วยว่า การจัดการกับนกพิราบที่ท้องสนามหลวงให้หมดจากพื้นที่ดังกล่าวนั้นจำเป็นต้องค่อยเป็น ค่อยไป ถ้าเราไม่แก้ปัญหาที่ต้นเหตุ สุดท้ายนกพิราบก็จะย้อนกลับมาอยู่ที่เดิม ปัญหาก็จะวนกลับไปกลับมาเช่นนี้ตลอดไป
ขณะที่ น.ส.สุมิตรา มัทธุรนนท์ เลขาธิการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ และผจญภัยแสดงความเป็นห่วงการจับนกพิราบว่า ควรทำโดยความละมุนละม่อม แนะนำว่าควรจะใช้กรงนกใหญ่ ๆ จับนกไว้เพื่อเคลื่อนย้าย
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เป็นห่วงมากที่สุดก็คือ อุปกรณ์ที่ใส่นกเพื่อขนย้าย กับเรื่องที่ที่จะให้พวกมันไปอาศัยอยู่ น.ส.สุมิตรา แนะนำควรเป็นแหล่งที่มีที่อยู่ที่กิน ซึ่งเห็นว่า กทม. จะขนย้ายนกพิราบจากสนามหลวงไปอยู่ในค่ายทหารก็ถือว่าโอเค แต่ถ้าถามว่าเมื่อโยกย้ายนกพิราบป่าที่บังเอิญเข้ากรุงมาอยู่ในกรุงเทพฯ ให้หมดไปจากสนามหลวง มันจะกลับมาไหม ก็น่าจะกลับมาเพราะว่านิสัยนกพวกนี้มันชอบอยู่ที่ ๆ มีอาหารการกินอุดมสมบูรณ์
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก






