
พสิษฐ์ ศักดาณรงค์
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก phdleader.com
การพิจารณาคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ สำนวนคดีใช้เงินกองทุนพัฒนาพรรคการเมือง 29 ล้านบาท โดยผิดวัตถุประสงค์ และรายงานบัญชีค่าใช้จ่ายอันเป็นเท็จของศาลรัฐธรรมนูญ ในวันจันทร์ที่ 18 ตุลาคมนี้ เวลา 10.00 น. ได้ตกเป็นที่สนใจของสังคมอย่างมาก เพราะนอกจากเป็นวันสุดท้ายของการไต่สวนพยานฝ่ายผู้ถูกร้องคือ พรรคประชาธิปัตย์ ที่จะมีพยานขึ้นเบิกความ 4 ปาก คือ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรค ซึ่งเซ็นรับรองงบดุลดังกล่าวส่งไปให้ กกต. แล้วยังมี นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รมว.ยุติธรรม, นายถาวร เสนเนียม รมช.มหาดไทย และ คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช ขึ้นเบิกความด้วยแล้ว ยังเป็นการพิจารณาคดีในช่วงที่เกิดการแพร่คลิปลับที่เกี่ยวข้องกับคดียุบพรรคตามเว็บไซต์ต่าง ๆ ถึง 5 ชุด
ซึ่งหลายชุดเห็นได้ชัดว่าเป็นการถ่าย โดยฝีมือของคนภายในศาลรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะในห้องประชุมขององค์คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นการประชุมที่ไม่เปิดโอกาสให้บุคคลภายนอกที่ไม่ใช่ตุลาการ เลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ นิติกร เข้าไปได้โดยเด็ดขาด อันมีเนื้อหาการพูดคุยกันขององค์คณะฯ ที่มีการหารือหลายเรื่อง แต่เรื่องที่สำคัญคือการหารือถึงเรื่องที่จะเรียก นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธาน กกต. ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมืองมาเบิกความ หลังฝ่ายประชาธิปัตย์ได้สู้คดีในประเด็นข้อกฎหมายว่า การส่งคำร้องคดีนี้ของนายอภิชาตเป็นโมฆะ ไม่สามารถทำได้ ซึ่งในคลิปที่ไม่สามารถยืนยันได้ว่าเป็นเสียงของตุลาการคนไหน หรือบุคคลใดได้พูดขึ้นมาว่า ถ้าศาลรัฐธรรมนูญเรียก นายอภิชาต มาเบิกความแล้วไม่มาก็จะเสียเอง
รวมถึงคลิปที่องค์คณะตุลาการคุยกันในเรื่องที่ ส.ส.พรรคเพื่อไทย กล่าวอ้างก่อนหน้านี้ว่ามีคลิปลับตุลาการศาลรัฐธรรมนูญบางคน จนในคลิปมีเสียงตุลาการบางคนพูดว่า ภรรยาที่บ้านถามว่าใช่คลิปของตนเองหรือไม่ จากนั้นก็มีเสียงหัวเราะอย่างเป็นกันเองดังขึ้น เมื่อพูดถึงเรื่องนี้
ทำให้การพิจารณาคดีในวันจันทร์ที่ 18 ตุลาคมนี้ ทั้งฝ่ายประชาธิปัตย์และเพื่อไทย รวมถึง กกต. กำลังลุ้นว่าองค์คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ จะมีการใช้อำนาจของศาลรัฐธรรมนูญที่เป็นระบบไต่สวน ซึ่งให้อำนาจองค์คณะสามารถเรียกพยานบุคคลมาเบิกความเพิ่มเติมได้ หากว่าฟังการเบิกความของพยานบุคคล และอ่านพยานเอกสารแล้วยังมีข้อสงสัยในข้อกฎหมายและข้อเท็จจริง ศาลจะมีการเรียกพยานบุคคลมาเบิกความเพิ่มเติมหรือไม่ หลังจากเสร็จสิ้นการไต่สวนพยานทั้งฝ่าย กกต.และประชาธิปัตย์แล้ว
โดยคนที่ถูกจับตามองมากที่สุดว่า ศาลรัฐธรรมนูญจะเรียกมาเบิกความหรือไม่ ก็คือ นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธาน กกต. และนายทะเบียนพรรคการเมือง หลังมีการเอ่ยชื่อถึงในคลิปของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และคลิปที่ นายวิรัช ร่มเย็น ทีมกฎหมายของพรรค และ นายวรวุฒิ นวโภคิน คนของพรรคประชาธิปัตย์ ไปพบกับเจ้าหน้าที่ศาลรัฐธรรมนูญ ที่มีการระบุในคลิปชัดเจน อันเป็นคำพูดของนายวรวุฒิว่า "ถ้าประธาน กกต.มาเบิกความแค่คนเดียวจะเป็นผลบวกกับทางพรรคมากกว่า" ซึ่งหากศาลรัฐธรรมนูญไม่มีการเรียกพยานมาเบิกความเพิ่มเติม ก็จะทำให้การตัดสินคดียุบพรรคประชาธิปัตย์สำนวนคดีเงินกองทุน 29 ล้านบาทเร็วขึ้นกว่าเดิมอย่างน้อยเกือบ 2 สัปดาห์

พร้อมพงศ์ นพฤทธิ์
ขณะที่ นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงว่า วันนี้ประชาธิปัตย์จนมุมในคดียุบพรรคแล้วจนวิ่งเต้นนอกศาล จนเป็นที่มาของคลิปฉาวโฉ่ละเมิดกระบวนการยุติธรรม ขบวนการนี้จะต้องมีผู้ใหญ่ทั้ง 2 ฝ่ายรู้เรื่องด้วย ศาลรัฐธรรมนูญจะยังคงดำรงไว้ซึ่งหลักนิติธรรมหรือไม่
จากนั้น นายพร้อมพงศ์ ได้นำคลิปภาพและเสียงสนทนาตามที่เคยระบุก่อนหน้านี้มาเปิด ซึ่งเป็นคลิปเดียวกับที่เผยแพร่บนเว็บไซต์ยูทูบในขณะนี้ โดยเป็นตอนที่ 2 ที่ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะฝ่ายกฎหมายนั่งสนทนากับเจ้าหน้าที่ศาลรัฐธรรมนูญ โดยมีอีกคนหนึ่งอยู่ในวงสนทนาด้วย โดย นายพร้อมพงศ์กล่าวว่า คลิปนี้เป็นการสนทนาที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งระหว่าง นายวิรัช ร่มเย็น กับ นายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์ เลขานุการนายชัช ชลวร ประธานศาลรัฐธรรมนูญ โดยมี นายวุฒิ นายทุนของนายหัวนักการเมืองภาคใต้ ที่เอ่ยชื่อทุกคนต้องร้องอ๋ออยู่ด้วย
สำหรับเนื้อหาการสนทนาเป็นความพยายามที่จะนำ กกต.มาเบิกความต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อให้การเป็นคุณต่อพรรคประชาธิปัตย์ เกี่ยวกับประเด็นข้อกฎหมาย โดยเฉพาะนายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธาน กกต. ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง ที่มีการสนทนาว่าถ้ามาเบิกความจะเป็นผลบวกกับประชาธิปัตย์

นางสดศรี สัตยธรรม
ทางด้าน นางสดศรี สัตยธรรม คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ด้านกิจการพรรคการเมือง กล่าวถึงกรณีนี้เช่นกันว่า เป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก เพราะตั้งแต่อยู่มาและเคยทำงานเป็นผู้พิพากษาไม่เคยมีเรื่องเช่นนี้ เพราะฉะนั้น เป็นหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญที่จะต้องเคลียร์ตัวเองให้ชัด อะไรที่เกิดขึ้นในศาลก็ต้องเคลียร์ เพิ่งเคยเจอเป็นครั้งแรก แล้วเรื่องอย่างนี้มันหลุดออกไปได้อย่างไร เชื่อว่าต้องเป็นคนในแน่ คนนอกคงจะมาอัดคลิป คงเป็นไปไม่ได้ งานนี่ศาลรัฐธรรมนูญโดนเข้าแล้วเต็มที่เลย สำหรับสถานการณ์เช่นนี้ ตอนนี้กระแสสังคมมากดดันให้ศาลยุบพรรคประชาธิปัตย์ หากศาลไม่ยุบพรรคประชาธิปัตย์ขึ้นมาอะไรจะเกิดขึ้นหรือเปล่า ไม่อยากให้สถานการณ์บ้านเมืองเป็นเช่นนี้เลย เพราะถ้าวุ่นวายมาก เกิดมีอะไรขึ้นมาอีก คิดดูให้ดี
นอกจากนี้ นางสดศรี ยังกล่าวถึงอักษรย่อ พ.ในคลิปมีการบอกว่าเป็นบุคคลใกล้ชิดประธานศาลรัฐธรรมนูญ ว่า ไม่ทราบเหมือนกันว่าอักษรย่อ พ. นั้นเป็นคนเดียวกันที่เคยมาหาหรือไม่ เพราะมีทั้งมาคุยและโทรศัพท์มาหา พูดเรื่องคดีเช่นกัน แต่เป็นการถามถึงการดำเนินการกับพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งก็คิดว่าประธานศาลฯ ให้มาเหมือนกัน แต่ระหว่างพูดคุยก็มีหลายคนอยู่ด้วย โดยมาพร้อมกับเลขาธิการศาลรัฐธรรมนูญ และได้โทรมาอีกครั้งเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจากที่ได้ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการทีวีไปไม่นานว่า สรุปแล้วทางศาลจะเชิญท่านอภิชาตมาเบิกความ ไม่เอาท่านสดศรี เพราะพวกตุลาการเขากลัวท่านสดศรี พร้อมกับหัวเราะ ซึ่งก็ไม่ได้คิดอะไร

อย่างไรก็ตาม ล่าสุดวันนี้ (18 ตุลาคม) นายอุดมศักดิ์ นิติมนตรี พร้อมด้วย นายจรัญ ภักดีธนากุล, นายสุพจน์ ไข่มุกด์, นายบุญส่ง กุลบุปผา และ นายจรูญ อินทจาร ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ แถลงร่วมกันถึงกรณีที่พรรคเพื่อไทย เปิดเผยคลิปลับ นายวิรัช ร่มเย็น ส.ส.ระนอง พรรคประชาธิปัตย์ และหนึ่งในทีมทนายความ ต่อสู้คดียุบพรรคประชาธิปัตย์ หารือเรื่องคดีดังกล่าวกับ นายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์ เลขานุการ นายชัช ชลวร ประธานศาลรัฐธรรมนูญ
โดย นายอุดมศักดิ์ กล่าวว่า นายชัช มีคำสั่งปลด นายพสิษฐ์ ออกจากตำแหน่งดังกล่าวแล้ว และให้มีผลตั้งแต่วันนี้ เนื่องจากการปรากฏในคลิปนั้น ส่งผลภาพลักษณ์ของศาลเสียหาย ซึ่งยืนยันว่าตุลาการศาลรัฐธรรมนูญไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ รวมทั้งจะมีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนคลิปนี้ เพื่อหาผู้ทำความผิด พร้อมหาความชัดเจนและเกิดขึ้นได้อย่างไร เพื่อนำข้อมูลมาชี้แจงต่อประชาชนด้วย
ขณะเดียวกัน เรียกร้องให้รัฐบาลและหน่วยงานของรัฐ สอบสวนกรณีดังกล่าวด้วย เพื่อหาข้อเท็จจริงว่าศาลรัฐธรรมนูญไม่มีความเกี่ยวข้อง อย่างไรก็ตาม ยืนยันศาลรัฐธรรมนูญเป็นกลาง ไม่มีผู้ใดแทรกแซงได้ และขอให้เชื่อมั่นในการพิจารณาคดีด้วย ส่วนกรณีที่ภายในคลิปดังกล่าวมี พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ปรากฏอยู่ด้วยนั้น นายอุดมศักดิ์ กล่าวว่า เป็นคลิปในงานที่ พลเอกเปรม มอบรางวัลนักกฎหมายดีเด่น สัญญาธรรมศักดิ์ ให้ นายชัช เมื่อปี 2552 โดยไม่เกี่ยวข้องกับคดีของศาล
ทั้งนี้ ตำแหน่งเลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญ ตามระเบียบของศาลรัฐธรรมนูญปี 2547 กำหนดให้มีได้ 1 คน โดยมีเงินเดือนให้ 38,630 บาท และเงินประจำตำแหน่งอีก 4,900 บาท
ขอขอบคุณข้อมูลจาก






