เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก รายการวีไอพี, คุณ pam_ pantip.com , youtube.com โพสต์โดย TheGuardianAngle1
เกือบสามปีก่อนที่ น้องเค้ก สาวสวยดีกรีดาวมหาวิทยาลัย ถูกหนุ่มที่รู้จักกันผ่านโลกไซเบอร์สาดน้ำกรดใส่ จนใบหน้าที่สดใสน่ารัก ต้องเสียโฉมเพราะพิษน้ำกรด และต้องเข้ารับการรักษาตลอดช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา ส่วนคนร้ายดังกล่าวกลับลอยนวลอยู่ได้ในสังคม จากวันนั้นจนวันนี้ เป็นช่วงเวลาที่ยากจะทำใจได้นัก แต่หัวใจที่เข้มแข็ง และกำลังใจดี ๆ จากครอบครัว ทำให้น้องเค้กกลับมาลุกขึ้นสู้ได้ ใหม่ ด้วยหัวใจที่แกร่งเกินร้อย ซึ่งในค่ำคืนวันที่ 5 กันยายน ที่ผ่านมา ทางรายการวีไอพีได้เชิญ นางสาวอัญธิกา ธรรมกิตติ หรือน้องเค้ก กับ คุณแม่ กนกวรรณ แสงแก้ว มาถ่ายทอดเรื่องราวดังกล่าวมาให้เราได้ฟังกัน...
ขอน้องเค้กทำผมก่อนนะคะ
น้องเค้ก และพ่อกับแม่
เริ่มต้นรายการ น้องเค้ก ได้เล่าถึงอาการให้ฟังว่า ตอนนี้ตนสุขภาพดีขึ้นมากแล้ว เกือบ 50 เปอร์เซ็นต์ ส่วนสุขภาพจิตใจดีเกินร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ทุกวันนี้ตนยังต้องไปพบหมออยู่เป็นประจำ เพราะต้องเข้ารับการรักษาดวงตาที่โรงพยาบาลศิริราช ส่วนด้านพลาสติกศัลยกรรมตนรักษาที่โรงพยาบาลยันฮี จากเดิมที่มีปัญหาเรื่องแผลสด ตอนนี้ก็เหลือแต่ปัญหาแผลเป็นแล้ว ซึ่งก็ต้องใช้เวลารักษานานพอสมควร เพราะถูกน้ำกรดกัดผิวหนังในส่วนของกำพร้า และผิวหนังชั้นที่หนึ่ง จนเหลือเพียงผิวชั้นที่สองเท่านั้น ผิวของตนเลยจะบอบบางกว่าคนอื่นมาก ๆ เวลาไปไหนมาไหนก็ต้องกางร่ม ใส่หมวก ใส่เสื้อแขนยาวอยู่ตลอดเวลา
สำหรับการรักษาล่าสุด น้องเค้ก ก็เล่าให้ฟังว่า เธอเพิ่งจะไปผ่าตัดใบหูมา เพราะน้ำกรดกัดส่วนของใบหูจนผิดรูป พับไปทางด้านหลัง แต่ทั้งนี้ความสามารถในการได้ยินยังชัดแจ๋วเหมือนเดิม โดยคุณหมอได้นำเอากระดูกซี่โครงด้านซ้าย มาทำเป็นโครงใบหู และนำเนื้อใต้แขนมาทำเป็นใบหู ส่วนทางด้านช่องปาก ก็มีการผ่าตัดเพื่อให้ปากของเธออ้าได้มากกว่าเดิม และสะดวกต่อการรับประทานอาหาร ซึ่งในตอนแรกปากของเธออ้าได้ไม่มากนัก เวลาทานอะไรก็ต้องใช้ช้อนกาแฟเท่านั้น แต่ตอนนี้กลับมาใช้ช้อนปกติ ทานข้าวเหมือนคนอื่นได้แล้ว
และเมื่อถามถึงชีวิตในวัยเด็กของน้องเค้ก คุณแม่ก็ได้กล่าวว่า น้องเค้กเป็นลูกคนเดียว เกิดมาด้วยความรักของพ่อและแม่ เป็นเด็กที่หน้าตาสะสวย และน่ารัก เวลาไปไหนมาไหนก็มีแต่คนทักตลอดว่าลูกสาวสวย เป็นเด็กที่ร่าเริงสดใส กล้าพูดกล้าแสดงออก เวลาที่โรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยมีกิจกรรม น้องเค้กก็ได้รับเลือกให้เป็นตัวแทนเสมอ ไม่ว่าจะเป็นถือพานไหว้ครู ถือป้ายโรงเรียน เป็นต้น
นอกจากนี้ คุณแม่ยังกล่าวด้วยความภาคภูมิใจว่า เชื่อไหมว่าน้องเค้กมีรายได้ตั้งแต่อายุ 15 ซึ่งตอนนั้นน้องเค้กอยู่เพียงแค่ ม.3 เท่านั้น ฐานะทางบ้านของตนก็ไม่ได้ลำบากอะไรเท่าไร ถือว่าอยู่ในขั้นปานกลาง แต่ที่น้องเค้กอยากทำเพียงเพราะอยากหาเงินใช้เอง อยากแบ่งเบาภาระพ่อแม่ ซึ่งตอนนั้นน้องเค้กได้ทำงานเป็นเด็กเสิร์ฟที่โรงแรมแห่งหนึ่ง พอเลิกเรียนสี่โมงเย็นปุ๊บ ก็นั่งรถเมล์ไปโรงแรมปั๊บ จากนั้นคุณพ่อก็จะขับรถไปรับตอน เที่ยงคืนทุกวัน ได้รายได้วันละสองร้อยบาท ถึงมันจะเป็นเงินเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่น้องเค้กก็ภูมิใจ และมีความสุขที่ได้ทำงาน ทั้งนี้พอได้เงินมาน้องเค้กก็ไม่ได้ใช้เงินฟุ่มเฟือย เพราะเป็นเด็กที่ประหยัด และใช้เงินเป็นพอสมควร
ทางด้านน้องเค้ก ก็กล่าวเพิ่มเติมว่า เธอเข้าศึกษาระดับมหาวิทยาลัยที่คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฎบ้านสมเด็จเจ้าพระยา ด้วยนิสัยโก๊ะ ๆ และเป็นกันเองของเธอ ก็ไปถูกตาถูกใจรุ่นพี่ ทางรุ่นพี่ก็เลยให้เธอเป็นตัวแทนมหาวิทยาลัยไปประกวดดาวราชภัฎที่มีทั้งหมด 6 มหาวิทยาลัยในเครือของราชภัฏ และเธอก็สามารถคว้ารางวัลชนะเลิศมาครอบครองได้สำเร็จ
จากการตำแหน่งดาวมหาวิทยาลัย กลายเป็นจุดเริ่มต้นกับอาชีพอีกอาชีพหนึ่งของเธอนั่นก็คือ นางแบบ และพริตตี้ โดยเริ่มแรกเลย น้องเค้ก เผยว่า รุ่นพี่ได้จัดทริปถ่ายภาพการกุศลในเว็บไซต์แห่งหนึ่ง แล้วก็ได้ติดต่อตนมา ซึ่งตนก็เห็นว่า เป็นนางแบบคงสนุกดี ได้ถ่ายรูป ได้บุญ แถมยังได้เงินด้วย ตนก็เลยตอบตกลง และจากนั้นเป็นตนมาชื่อเสียงของเธอก็เป็นที่กล่าวขานในวงการถ่ายภาพพอสมควร อีกทั้งยังมีงานพริตตี้พวกผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเข้ามาเป็นรายได้ช่วยแบ่งเบาภาระพ่อแม่ เพราะตั้งแต่ที่ตนเรียนมหาวิทยาลัยแล้ว ตนก็ไม่เคยขอเงินพ่อกับแม่อีกเลย ในตอนนั้นนอกจากงานพวกถ่ายแบบ งานพริตตี้แล้ว ตนยังรับจ้างพิมพ์งาน รับจ้างทำกราฟิกภาพอีกด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีรายได้ถึงเดือนละ 10,000 - 20,000 บาท เลยทีเดียว
และด้วยรูปร่างหน้าตา ที่จิ้มลิ้มน่ารักของน้องเค้กก็ไปถูกอกถูกใจหนุ่ม ๆ ทั้งหลาย ซึ่งคุณแม่ของน้องเค้กเหล่าให้ฟังว่า "หนุ่มเข้ามาจีบเยอะมาก ทั้งวัยเรียน วัยทำงาน มีเข้ามาหมด บางทีก็มีชวนแม่ไปกินข้าวนอกบ้านด้วยกัน เขามาพูดกับแม่เลยนะว่า เขารักลูกสาวแม่ แต่ทั้งนี้มันก็ขึ้นอยู่กับน้องเค้กว่า เขาจะชอบหรือเปล่า ถ้าถามแม่ตามตรง คนที่เข้ามาแต่ละคนแม่ไม่ถูกใจ เลย คิด ๆ ไปก็เหมือนเห็นแก่ตัว จริง ๆ แล้วคือแม่หวงลูกมาก แม่มีลูกคนเดียว อยากให้น้องเค้กอยู่กับแม่นาน ๆ เลยไม่มีชอบใจสักคน หาที่ตินู่นนี่ตลอด"
และเมื่อถามถึงเหตุการณ์ที่ครอบครัวของน้องเค้กไม่มีวันลืม... อีกทั้งยังทิ้งร่องรอยบาดแผลที่เป็นหลักฐานถึงการกระทำที่โหดร้ายของชายคนหนึ่งที่บุ่มบ่ามสาดน้ำกรดใส่น้องเค้กด้วยนั้น เจ้าตัวเล่าเท้าความว่า...
"หนูเป็นคนบ้างาน มีช่องทางทำงานเพิ่มหนูก็จะทำ วันหนึ่งหนูเข้าอินเทอร์เน็ต แล้วชายคนนี้ก็ต้องการหาคนเอาอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ไปขาย หนูเลยเข้าไปทำความรู้จัก และคุยกันซื้อขายของผ่านอินเทอร์เน็ตเป็นเวลากว่า 6 เดือน จากนั้นเขาก็แนะนำหนูว่า อยากขายตรงไหม ถ้าเอามาขายเองก็ได้เงินไปเต็ม ๆ และจุด ๆ นั้นเองที่ทำให้หนูเห็นหน้าค่าตาเขาเต็ม ๆ"
คุณตุ๊ก ญาณี กลั้นน้ำตาเป็นระยะ เมื่อได้ฟังเรื่องราวสะเทือนใจ
น้องเค้ก เล่าต่อไปว่า ภายนอกของเขาดูปกติ ไม่มีอะไรน่ากลัว หรือไม่น่าไว้วางใจเลย เวลาเจอกันเขาก็ถามว่า เธอมีเงินเท่าไร พอไปซื้อของเสร็จก็แยกย้ายกันกลับบ้าน จนกระทั่งวันหนึ่ง เขาโทรมาขอความช่วยเหลือเรื่องคดีทะเลาะวิวาท ตอนแรกตนก็ไม่ช่วย แต่ทางคุณแม่ของเขาโทรมาขอร้อง เพราะว่าแม่เขาแก่แล้ว ดำเนินเรื่องไม่เป็นให้ตนช่วยหน่อย เมื่อฟังอย่างนี้แล้ว ตนก็ได้ไปปรึกษาคุณแม่ ทางคุณแม่ก็บอกว่าช่วยเขาไปเถอะ เพราะเขาเป็นคนหางานให้เรา ช่วยเขาสักนิดคงไม่เป็นไร ตนจึงเดินหน้าเข้าช่วยชายผู้นั้นอย่างเต็มที่ ทั้งขึ้นศาล ยื่นเรื่องให้ แต่เมื่อไปฟังคำตัดสินของศาล จากคดีทะเลาะวิวาท กลายเป็นคดีพยายามฆ่าไปได้... พอกลับมาที่บ้าน ตนก็เล่าเรื่องดังกล่าวให้แม่ฟัง แม่ก็บอกว่าถ้าคิดจะช่วยก็ให้ช่วยอย่างที่สุด ตนจึงยื่นอุทธรณ์ และประกันตัวเขาออกมาได้
หลังจากเรื่องคดีความจบแล้ว กลับกลายเป็นว่า เรื่องราวก่อกวนความสงบของเธอก็กำลังจะเริ่มขึ้น เมื่อเขาโทรจิก โทรตามเธอตลอด จนเธอรู้สึกอึดอัดมาก จนวันหนึ่งเขาก็สารภาพความในใจให้เธอฟังว่า เขาชอบเรานะ ชอบเรามาก ๆ แต่ทั้งนี้ เธอไม่ได้คิดอะไร และปฏิเสธไปแล้ว ซึ่งเขาก็บอกว่าเขารู้ แต่เขาก็สวนตนกลับมาคำหนึ่งว่า "ถ้าไม่ชอบไปช่วยเขาทำไม" จากนั้นนั่นเอง เขาก็ตามมารังควานเธอทุกวัน สืบจนเจอว่าบ้านเธออยู่ที่ไหน และกล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า ถ้าเขาไม่ได้ก็ไม่มีใครหน้าไหนได้
"มีวันหนึ่งหนูต้องไปเรียน เมื่อเปิดประตูก้าวออกจากบ้าน เขาก็โทรมาทันทีถามว่าจะออกไปไหน วันดีคืนดี ก็มาทุบประตูเฝ้าหน้าบ้านไม่ยอมให้หนูออกจากบ้าน" น้องเค้ก กล่าว
ส่วนวันที่ทำให้เธอต้องตัดสินใจแจ้งความกับชายคนนั้นก็คือ วันที่พ่อเล่าให้ฟังว่า ขณะที่เธอไปงานแต่งรุ่นพี่ที่คณะ ชายคนนั้นขับมอเตอร์ไซค์วนไปวนมาหน้าบ้านหลายรอบ และเมื่อไปแจ้งความตำรวจก็ได้ลงบันทึกประจำวันพร้อมเชิญตัวชายคนนั้นมาพูดคุย ซึ่งชายคนนั้นได้ประกาศลั่นด้วยว่า "แจ้งมาเถอะ จะกี่ข้อหาก็แจ้งมา ถ้าเค้กเป็นอะไรรู้ไว้เลยว่าเขาเป็นคนทำ" ทั้งนี้เขาก็ยังกล่าวกับเธอว่า วันนี้เธอน่ะโชคดี แต่เดี๋ยวเปิดเทอมเจอกันแน่"
และเมื่อวันเปิดเทอมมาถึง อาทิตย์แรกก็ไม่มีเหตุการณ์ร้าย ๆ อะไรเกิดขึ้น เพราะคุณแม่จ้างคนมารับมาส่งตลอด ทำให้เธอชะล่าใจ บอกกับแม่ว่าอยากไปเรียนเอง และแล้วก็เกิดเรื่องร้าย ๆ ขึ้นกับเธอจนได้
"วันนั้นเป็นวันจันทร์ เวลา 9 โมง อีกประมาณ 100 เมตร ก็จะถึงประตูมหาวิทยาลัยแล้ว ขณะที่หนูกำลังเดินอยู่นั้น ก็คว้าโทรศัพท์เพื่อโทรบอกแม่ว่าถึงแล้ว ซึ่งตอนที่ก้มควักโทรศัพท์ก็เห็นเท้าคู่หนึ่งขวางทางไว้ แต่หนูก็พยายามจะหลบ และด้วยความที่พะวงหยิบโทรศัพท์อยู่ เลยไม่ได้เงยหน้ามองว่าคนคนนั้นเป็นใคร แล้วหนูก็โดนน้ำกรดสาดทันที"
น้องเค้ก เล่าเหตุการณ์ระทึกขวัญให้ฟังต่อว่า เมื่อเธอรู้ตัวว่าโดนสาดน้ำกรด เธอก็ตรงไปยังบ้านของป้าที่รับซักรีดแถวนั้น โดยขออนุญาตป้าล้างหน้า แล้วเธอก็โทรหาแม่ว่า "แม่...หนูโดนสาดน้ำกรด" จากนั้นเธอเลยให้คุณแม่คุยกับคุณป้าร้านซักรีดแทน เพราะเธอปวดแสบปวดร้อนจนไม่สามารถคุยต่อได้
ทางด้านคุณแม่กล่าวถึงห้วงวินาทีที่บีบคั้นหัวใจที่สุดในฟังว่า เมื่อได้ยินดังนั้นเธอก็เขาทรุดลงไปกับพื้น แล้วก็โทรบอกเพื่อนน้องเค้กให้พาตัวน้องเค้กไปโรงพยาบาลทันที และเธอก็จะตามไปให้เร็วที่สุด
ขณะเดียวกันเพื่อน ๆ น้องเค้ก เมื่อทราบข่าวก็ได้วิ่งมาช่วยน้องเค้ก ซึ่งแต่ละคนเมื่อมาถึงก็พยายามจะจับน้องเค้ก แต่น้องเค้กปฏิเสธ ด้วยความที่บ้านของน้องเค้กทำพวกเครื่องเงิน น้องเค้กจะรู้ว่า น้ำกรดจะไม่มีฤทธิ์เมื่อถูกน้ำเปล่า ถ้าเอาน้ำล้างหน้าจะช่วยให้เกิดบาดแผลน้อยลง แต่เพื่อนของน้องเค้กไม่รู้จับตัวน้องเค้กจนเนื้อติดมากับมือ
รู้แล้วว่าน้องเค้กเข้มแข็งเหมือนใคร...
ฝั่งคุณแม่และคุณพ่อที่รีบรุดไปถึงโรงพยาบาลก่อนก็นั่งรอด้วยความกังวล และเมื่อประตูรถแท็กซี่ที่พาน้องเค้กมาส่งนั้น เธอเห็นแล้วก็อยากกอด แต่น้องเค้กห้ามไว้ว่าอย่ากอด เพราะเดี๋ยวเนื้อจะหลุด ทำให้คนเป็นแม่ได้แต่มองอยู่ห่าง ๆ ซึ่งขณะนั้นสภาพบาดแผลแทบจะไม่มีอะไรผิดปกติ อาจจะมีใบหน้าที่ดูซีดขึ้นเท่านั้น และมีน้ำลายไหลยืดตลอดเวลา
ส่วนความรู้สึกของน้องเค้กหลังจากที่ถูกน้ำกรดสาดนั้น เธอกล่าวว่า รู้สึกปวดแสบปวดร้อนมาก ตอนเด็ก ๆ เธอเคยโดนน้ำร้อนลวกก็ว่าแสบแล้ว แต่นี่มันเจ็บปวดกว่าหลายเท่า เหมือนเราโดนย่างตลอดเวลา เมื่อไปถึงคุณหมอก็โปะเจลที่เอาไว้รักษาคนถูกไฟไหม้ แล้วก็พันตัวของเธอเหมือนมัมมี่นานสองอาทิตย์ และเมื่อออกจากห้องไอซียูแล้ว แม่ไม่ให้เธอส่องกระจกเลย เอากระจกไปซ่อนบ้าง เปลี่ยนเรื่องคุยบ้าง จนเธออ้างว่าขอเข้าห้องน้ำ และเมื่อเธอเข้าห้องน้ำปุ๊บก็ล็อกกลอนปั๊บ ....
หลังจากเห็นหน้าตัวเองเป็นครั้งแรก น้องเค้ก ก็ปล่อยโฮออกมาอย่างสุดตัว เพราะไม่คิดไม่ฝันว่า ตัวเองจะมีหน้าตาน่าเกลียดขนาดนี้ หน้าเละยิ่งกว่าผีเสียอีก หน้าอย่างนี้แล้วเธอจะอยู่อย่างไร ตายไปเลยดีกว่าไหม และเมื่อเปิดประตูห้องน้ำแม่ก็วิ่งเข้ามากอดเธอทันที บอกว่าไม่เป็นไร เธอมีพ่อและแม่อยู่ข้าง ๆ ตลอดเวลา ไม่ว่าอย่างไรแม่ก็รักเธอ
เมื่อน้องเค้กเห็นความรัก และความอดทนที่พ่อแม่มีให้เธอ มาตลอด เวลากินไม่ได้กิน เวลานอนไม่ได้นอน เพราะต้องมานั่งดูแลเธอ นั่งปลอบใจเธอ บางทีเธอก็เห็นแม่น้ำตาซึม มันเลยทำให้เธอคิดว่า พ่อแม่เขายังทนได้ขนาดนี้ ทำไมเธอจะทำให้พวกเขาบ้างไม่ได้
และจากนั้นนั่นเอง เธอก็เริ่มสร้างกำลังใจขึ้นมาด้วยตัวเอง พยายามสู้ และเข้ารับการรักษาอย่างต่อเนื่อง ถ้าถามว่าเสียค่าการรักษาไปเท่าไร ก็มากมายอยู่เหมือนกัน แต่ทั้งนี้ครอบครัวของเธอได้รับความเมตตาจากการถวายฎีกาเข้าไปในวัง ทางวังเลยรับตัวเธอเป็นคนไข้ในโรงพยาบาลศิริราช ส่วนเรื่องคดีความ ทางผู้ใหญ่ก็ถามว่า พร้อมจะเผชิญหน้ากับคนนั้นหรือยัง เธอก็ตอบไปว่า ช่างมันเรื่องที่เกิดขึ้นทุกอย่างเธออโหสิให้ คิดเสียว่าชาติที่แล้วเธอไปทำอะไรเขามา ชาตินี้เธอต้องชดใช้ อีกอย่างถึงจะแจ้งความไป หลักฐานและพยานก็ไม่เพียงพอ เพราะตอนที่โดนน้ำกรดเธอยังไม่เห็นหน้าคนที่สาดเลย ทางด้านคุณแม่ กล่าวว่า เธอไม่เคยลืมเรื่องนั้นแม้แต่วันเดียว แต่จะทำอย่างไรได้ ในเมื่อลูกไม่อยากเอาความก็คงต้องปล่อยไปตามนั้น
หลังจากเหตุการณ์เลวร้ายผ่านไป จนเริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ขณะนี้น้องเค้กได้เรียนจบปีเดียวกับเพื่อน ๆ และได้รับปริญญาด้วยเกียรตินิยมอันดับสอง สร้างความภูมิใจให้กับคุณพ่อคุณแม่ของเธอเป็นอย่างมาก ซึ่งน้องเค้กกล่าวว่า ตอนนี้เธอเรียนจบแล้ว และอยากหางานทำ แต่ด้วยสภาพร่างกายไม่เอื้ออำนวย เพราะมองเห็นแค่ข้างเดียว อีกอย่างเธอต้องไปพบหมอเดือนละสามสี่ครั้ง จะมาลาบ่อยอย่างนี้คงไม่ดีแน่ ๆ เธอเลยตัดสินใจเตรียมตัวเรียนต่อ เอาความรู้ความสามารถไปเติบเต็มส่วนที่ขาดหายไปของตัวเอง
ส่วนเรื่องหน้าตาที่ไม่สามารถกลับไปสวยเหมือนเดิมนั้น ก็ไม่เป็นปัญหาสำหรับน้องเค้กเลย โดยคุณแม่เล่าว่า ถึงหน้าตาของน้องเค้กจะเป็นอย่างนี้ แต่ก็มีหนุ่ม ๆ เข้ามา ก็คือคนที่รู้จักกันตั้งแต่สมัยเรียนนั่นแหละ ตอนแรกเธอบอกไปว่าน้องเค้กโดนน้ำร้อนลวก เพราะไม่กล้าบอก แต่เขาก็มารู้ข่าวทางหน้าหนังสือพิมพ์ เลยโทรมาบอกตัดพ้อว่า ทำไมต้องหลอกกันด้วย จากนั้นเขาก็มาเยี่ยมเยียนตลอดเวลา ซื้อนู้นซื้อนี่คอยอยู่เป็นเพื่อนไม่เคยทอดทิ้งน้องเค้กเลย มีแต่น้องเค้กที่ยังไม่คิดอะไรกับเขาเท่าไร
ท้ายที่สุดนี้ จากเรื่องดังกล่าวน้องเค้กก็ได้ข้อคิดซึ่งเธอได้นำมาแบ่งปันให้พวกเราได้ฟังกันว่า "อย่ามัวนั่งเศร้า เรื่องที่เกิดขึ้นไปแล้วมันไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ ความทุกข์มันจะทำให้เราเสียเวลา เพราะฉะนั้นอย่าไปยึดติดกับมัน เอาสิ่งที่เหลืออยู่เป็นแรงผลักดันให้เราก้าวต่อไป อะไรที่ไม่ได้ก็ทิ้งไว้ แล้วมองข้ามมันซะ"
...ถึงแม้ว่าน้องเค้กจะยังมีร่างกายที่ไม่สมบูรณ์ครบร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่จิตใจของเธอเด็ดเดี่ยวเกินร้อย พร้อมที่จะเดินผ่านอุปสรรคอันใหญ่หลวงด้วยกำลังใจล้นปรี่จากคนรอบข้าง และครอบครัว กระปุกดอทคอมขอนับถือความแข็งแกร่งของน้องเค้ก จากนี้ไปขอให้น้องเค้กเจอแต่เรื่องดี ๆ มีแต่สิ่งดี ๆ เข้ามาหา มีความสุขและยิ้มได้ในทุก ๆ วันนะคะ ...เราขอเป็นกำลังใจให้อีกแรง และเชื่อว่าใครก็ตามที่ได้รับรู้เรื่องราวของเธอคงจะส่งกำลังใจให้เธอด้วยอย่างแน่นอน
คลิป รายการ วีไอพี น้องเค้ก เหยื่อน้ำกรด 1/3
คลิป รายการ วีไอพี น้องเค้ก เหยื่อน้ำกรด 2/3
คลิป รายการ วีไอพี น้องเค้ก เหยื่อน้ำกรด 3/3
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุ
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก คุณ arnold_A1 จาก เว็ปไซต์พันทิป
ย้อนไปเมื่อสองปีก่อน ใครที่ชอบติดตามข่าวสารคงจำกรณีที่นางสาวอัญธิกา ธรรมกิตติ หรือน้องเค้ก อายุ 21 ปี พริตตี้รถยนต์สาวสวย และเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา ถูกชายคนหนึ่งที่รู้จักผ่านทางไฮไฟว์ใช้น้ำกรดสาดหน้า จนทำให้ "น้องเค้ก" ได้รับบาดเจ็บสาหัส เพียงเพราะ "น้องเค้ก" พยายามตีตัวออกห่างจากฝ่ายชาย หลังรู้มาว่าฝ่ายชายมีคดีพยายามฆ่าติดตัว
เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้ "น้องเค้ก" ต้องทนทุกข์กับบาดแผลที่ได้รับ อนาคตทางการงานต้องดับวูบลงในบัดดล เพราะใบหน้าที่สดใสน่ารักต้องเสียโฉมจากพิษของน้ำกรด "น้องเค้ก" ต้องเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลเป็นเวลานาน และขณะเดียวกัน หลังจากเกิดเหตุใหม่ ๆ ครอบครัวและตัวของ "น้องเค้ก" เอง ก็ต้องอยู่อย่างหวาดผวา เพราะคนร้ายที่ก่อเหตุทำร้ายเธอ ยังคงลอยนวล และตามรังควานเธออยู่เสมอ แต่นับว่าโชคยังเข้าข้าง เพราะในที่สุด ผู้ก่อเหตุก็ถูกจับกุมตัวได้ แม้ว่าจะเขาไม่ได้ถูกจับกุมด้วยคดีของ "น้องเค้ก" เองก็ตาม
เวลาสองปีที่ผ่านมา เป็นช่วงเวลาที่มีแต่ลมมรสุมพัดผ่านเข้ามายังชีวิตของ "น้องเค้ก" แต่ด้วย "หัวใจ" ที่แกร่งเกินวัย ก็ทำให้หญิงสาวคนนี้ลุกขึ้นมาอีกครั้ง และสามารถเอาชนะตัวเองได้ จน ณ วันนี้ "น้องเค้ก" สามารถเรียนจบ และคว้าปริญญามาให้ครอบครัวได้ชื่นใจ และเป็น "ของขวัญ" ที่ล้ำค่าอีกหนึ่งชิ้นของเธอ พร้อมกันนี้ "น้องเค้ก" ยังได้เชิญพี่ ๆ ช่างภาพที่ "น้องเค้ก" คุ้นเคยมาร่วมแสดงความยินดีในงานรับปริญญาของเธอด้วย
อย่างเช่น คุณ arnold_A1 แห่งเว็บไซต์พันทิป ซึ่งได้ไปร่วมแสดงความยินดีกับ "น้องเค้ก" และได้เขียนเรื่องราวความในใจของเขาเอง ด้วยความปลาบปลื้มและตื้นตันไปกับความสำเร็จของสาวน้อยหัวใจแกร่งคนนี้ ในเว็บไซต์ fotorelax.com และ เว็บไซต์พันทิป
"เพื่อน ๆ หลายท่านคงยังจำได้กับเรื่องราว แสนโหดร้ายที่เกิดขึ้นกับ น้องเค้ก เมื่อกว่าสองปีที่ผ่านมา ครั้งนั้นน้องเค้กถูกคนใจทราม ทำร้ายเธอด้วยการสาดน้ำกรด อนาคตของสาวสวยคนหนึ่งต้องดับวูบลงจากโมหะจริตของคนใจทรามคนนั้น
หลังจากทราบข่าวร้ายที่เกิดขึ้น ผมได้เป็นแกนนำจัดกิจกรรมเพื่อรวบรวมเงินจำนวนหนึ่งจากเพื่อน ๆ ที่รักการถ่ายภาพเพื่อช่วยเหลือเธอ และได้แวะไปเยี่ยมเยียนอยู่เป็นระยะ ๆ แต่ฟ้าเบื้องบนช่างโหดร้ายเหมือนจะยังไม่สะใจกับผลกรรมที่เธอได้รับ คนที่ทำร้ายเธอยังลอยนวล และคอยตามรังควานเธออยู่ แม้จะทำเรื่องร้ายกับเธอด้วยการสาดน้ำกรดแล้วก็ตาม ทำให้ช่วงสองปีที่ผ่านมา เธอต้องย้ายบ้านหนี และปิดช่องทางการติดต่อทุกทางที่มีอยู่ ไม่ว่าจะเป็น โทรศัพท์ email หรือ msn ซึ่งตรงนี้ทำให้ผมและเธอขาดการติดต่อกันไปด้วยโดยปริยาย
เพื่อน ๆ หลายคนที่ยังเป็นห่วงน้องเค้ก และอยากทราบข่าวคราวของเธอได้สอบถามมายังผม ผมเองก็จนปัญญา เพราะไม่สามารถติดต่อหรือไปเยี่ยมเยียนเธอได้ จนกระทั่งเมื่อคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา ผมได้รับโทรศัพท์จากเบอร์ที่ไม่คุ้นเคย แต่น้ำเสียงปลายสายที่สดใสนั้นคุ้นเคยเป็นอย่างยิ่ง เธอคือ น้องเค้กนั่นเองครับ
น้ำเสียงของเธอยังคงสดใส เหมือนไม่เคยมีเรื่องร้ายแรงใด ๆ กับเธอเลย เธอยังคงพูดเล่นพูดหัวกับผมอย่างคุ้นเคยเหมือนเมื่อครั้งก่อน แต่ในครั้งนี้เธอบอกผมว่าเธอเรียนจบแล้ว และขอเชิญผมไปร่วมงานเลี้ยงฉลองปริญญาบัตรในฐานะผู้ใหญ่ที่เธอนับถือคนหนึ่ง...ผมตอบตกลงในทันที
หลังจากผมเสร็จสิ้นภารกิจของผมในตอนบ่าย ผมก็ขับรถไปร่วมงานของเธอในทันที เมื่อได้พบหน้าเธอ บ่อน้ำตาของผมที่แห้งเหือดมานานนับปี กลับมีน้ำตาแห่งความสงสารท่วมท้นขึ้นมาในทันที แต่น้ำเสียงและแววตาที่เลือนรางของสาวน้อยหัวใจแกร่งคนนี้กลับไม่เป็นเช่นนั้น เธอยังคงสดใสและร่าเริง เหมือนเมื่อครั้งที่ผมได้พบเจอเธอเมื่อหลายปีก่อน
ผมยังจำคำพูดในอดีต ในทุกครั้งที่ผมได้มีโอกาสบันทึกภาพเธอ ผมจะพูดกับเจ้าเค้กเสมอว่า
"เค้กเอ๋ย ..... เก๊กสวย ให้น้าอ๋าถ่ายรูปให้ได้สักห้านาทีได้ไหม"
เจ้าเค้กก็ต่อรองกับผมทันทีว่า "ถ้าหนูเก็กสวยได้ น้าอ๋าต้องซื้อ ชุกกาชุบ (อมยิ้ม) ให้หนูนะ" ซึ่งเธอก็ทำได้จริง ๆ แต่เมื่อพบกันอีกในครั้งหลัง ๆ ผมกลับลืมที่จะซื้อให้เธอ....
แต่วันนี้น้าอ๋าสัญญานะ เมื่อเค้กพร้อมให้น้าอ๋าถ่ายรูปได้อีกครั้ง น้าอ๋าจะไม่ลืม
ตลอดสองปีที่ผ่านมา สาวน้อยหัวใจแกร่งคนนี้ วิ่งเข้าออกโรงพยาบาลเป็นว่าเล่น ใบหน้าของเธอผ่านการผ่าตัดมาแล้วหลายรอบ และยังคงต้องผ่าตัดกันอีกเป็นปีกว่าสภาพใบหน้าของเธอจะกลับมาคืนเดิม แต่...... ดวงตาซ้ายของเธอ ไม่สามารถมองเห็นได้อีกแล้ว จากพิษของน้ำกรดในครั้งนั้น
เธอเล่าให้ผมฟังเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา ในขณะที่น้ำตาของผมเริ่มซึมขึ้นมาอีกแล้ว
โชคของเธอยังดีที่การที่เธอถูกตามรังควานนั้นสิ้นสุดลง เพราะคนที่ทำร้ายเธอนั้นได้ไปชดใช้กรรมของเขาในตะรางแล้ว ถึงแม้การชดใช้กรรมนั้นเป็นความชั่วร้ายที่เขาได้กระทำกับคนอื่น ไม่ใช่การชดใช้กรรมที่ทำกับเธอก็ตาม
แม้ร่างกายของเธอจะยังคงไม่แข็งแรงเท่าคนปกติ แต่สาวน้อยหัวใจแกร่งคนนี้ก็ไม่ได้ทิ้งการเรียน เธอยังคงมุ่งมั่นบากบั่นจนจบการศึกษาจากสถาบันราชภัฏสมเด็จเจ้าพระยา ด้วยผลการเรียน "เกียรตินิยมอันดับสอง"
ผมได้สอบถามถึงอนาคตการงานของเธอ ก็ได้รับคำตอบว่าเธอคงหางานประจำทำได้ลำบาก เพราะเธอยังคงต้องเข้ารับการผ่าตัดอีกหลายครั้ง คงไม่มีที่ไหนรับเธอเข้าทำงาน เพราะเธอต้องลาป่วยและใช้เวลาพักฟื้นหลังผ่าตัดอีกเป็นเดือน
แต่สาวน้อยหัวใจแกร่งคนนี้ก็ไม่ได้งอมืองอเท้า เธอยังคงรับงานพิมพ์วิทยานิพนธ์ ให้กับนักศึกษาในสถาบันของเธอ ซึ่งแม้จะเป็นงานหนักแต่ก็พอมีรายได้ให้เธอได้ใช้จ่าย และบางครั้งถ้ามีงานแปลภาษาเข้ามา ก็จะมีรายได้มากขึ้นอีกหน่อย
ตลอดสองปีที่ผ่านมา น้องเค้กได้รับการช่วยเหลือจากแม่พระท่านนี้ "คุณปวีณา หงสกุล" ด้วยความเมตตาที่ท่านได้มีต่อน้องเค้ก ท่านได้รับน้องเค้กเป็นลูกสาวของท่าน และได้ให้ความช่วยเหลือน้องเค้กมิได้ขาด ผมรู้สึกปลาบปลื้มแทนน้องเค้กที่ได้รับความเมตตาจากผู้ใหญ่ในบ้านเมืองของเราท่านนี้ครับ
ที่สุดนี้ ผมอยากบอกน้องเค้กว่า ผมขอเป็นกำลังใจให้ และขอพรพระเบื้องบน จงดลบันดาลให้การผ่าตัดในครั้งต่อ ๆ ไป ประสบผลสำเร็จ และให้น้องเค้กกลับมาเป็นสาวน้อยที่น่ารักของพวกเราตลอดไป
....สาวน้อยหัวใจแกร่ง
ปล. ก่อนจะตั้งกระทู้นี้ผมค่อนข้างกังวลกับความรู้สึกของน้องเค้ก แต่สาวน้อยหัวใจแกร่งของผมคนนี้เธอกลับตอบอนุญาตให้ผมตั้งกระทู้ถึงเธอได้เลย เธอเข้มแข็งมากกว่าผมซึ่งเป็นผู้ชายแท้ ๆ เสียอีก"
และนี่ก็คือข้อความที่ คุณ arnold_A1 เขียนบอกเล่าถึงเรื่องราวชีวิตของ "น้องเค้ก" และแสดงความนับถือในหัวจิตหัวใจของหญิงสาวผู้นี้ พวกเราชาวกระปุกดอทคอม ก็มาร่วมกันเป็นกำลังใจให้ "น้องเค้ก" ในวันฟ้าใหม่กันด้วยดีกว่าค่ะ