
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
โพลชี้ คนกรุงส่วนใหญ่ใช้โซเชียลมีเดีย เพื่อพูดคุยสื่อสาร และระบายอารมณ์ นอกจากนี้ยังช่วยให้เจอเพื่อนเก่า และติดต่อคนที่อยู่ทางไกลได้ พร้อมเผยพบสื่ออนาจาร และมีปัญหาข้อมูลรั่วไหล
วันนี้ (24 กุมภาพันธ์) นางสาววันวิสาข์ เจริญนาน นักวิจัยประจำศูนย์วิจัยเอแบคนวัตกรรมทางสังคม การจัดการและธุรกิจ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ ได้เปิดเผยผลวิจัยเชิงสำรวจเรื่อง "พฤติกรรมการใช้โซเชียล มีเดีย" (Social Media) ของคนกรุงเทพมหานคร จำนวนทั้งสิ้น 641 ตัวอย่าง โดยได้ดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 17-23 กุมภาพันธ์ 2555 ที่ผ่านมา
ทั้งนี้จากผลวิจัยระบุว่า ...
คนส่วนใหญ่หรือร้อยละ 90.0 ใช้ Social Media ในรอบ 30 วันที่ผ่านมา
ร้อยละ 46.9 ใช้มากกว่า 1 ครั้งต่อวัน
ร้อยละ 22.4 ใช้วันละครั้ง
ร้อยละ 8.0 ใช้ 5-6 ครั้ง/สัปดาห์
ร้อยละ 9.2 ใช้ 3-4 ครั้ง/สัปดาห์
ร้อยละ 7.9 ใช้ 1-2 ครั้ง/สัปดาห์
ร้อยละ 5.6 ใช้น้อยกว่าสัปดาห์ละ 1 ครั้งนอกจากนี้ เว็บไซต์ที่ผู้คนส่วนใหญ่เข้าใช้พบว่า
ร้อยละ 98.6 ระบุ Facebook
ร้อยละ 21.6 ระบุ Twitter
ร้อยละ 13.9 ระบุ Hi5 เมื่อถามถึงเหตุผลที่ใช้ Social Media พบว่า
ร้อยละ 94.5 ระบุใช้เพื่อพูดคุย ติดตามข่าวสารของเพื่อน/คนรู้จัก
ร้อยละ 63.4 ระบุใช้เพื่ออัพเดตสถานะ / รูปภาพ /ข่าวสาร /สถานการณ์ทั่วไป
ร้อยละ 34.0 ระบุใช้เล่นเกมส์
ร้อยละ 31.7 ยังใช้เพื่อระบายอารมณ์/ความรู้สึก
ร้อยละ 30.0 ใช้พูดคุย ติดตามข่าวสารของคนในครอบครัว
ร้อยละ 25.0 ใช้เพื่อหาคู่ /แฟน /เพื่อนใหม่ในสังคมออนไลน์
ร้อยละ 18.9 ใช้เพื่อติดต่องาน
ร้อยละ 9.0 ใช้เพื่อซื้อ /ขายสินค้า/ทำธุรกิจออนไลน์เมื่อสอบถามถึงความคิดเห็นเกี่ยวกับการใช้ Social Media พบว่า
ร้อยละ 81.6 ระบุ Social Media ทำให้ติดต่อสื่อสารกับคนที่อยู่ไกลได้
ร้อยละ 71.9 ทำให้รู้ว่าเพื่อนเก่าอยู่ที่ไหน ทำอะไร
ร้อยละ 68.8 ทำให้ได้พูดคุยกับคนหลาย ๆ คนในเวลาเดียวกัน
ร้อยละ 67.3 ทำให้ได้พูดคุยกับคนอื่นได้บ่อยขึ้น
ร้อยละ 55.9 ทำให้กล้าที่จะพูดคุยมากกว่าการสื่อสารโดยตรง เช่น การพูดคุยต่อหน้า/ทางโทรศัพท์เมื่อถามถึงปัญหาที่เคยประสบจากการใช้ Social Media พบว่า
ร้อยละ 46.3 ระบุว่าเคยพบเจอสื่ออนาจาร
ร้อยละ 39.0 มีปัญหาในเรื่องของเวลาพักผ่อนน้อย กระทบต่อการเรียน/การงาน
ร้อยละ 27.0 มีปัญหาเรื่องข้อมูลส่วนตัวรั่วไหล
ร้อยละ 25.7 มีปัญหาทะเลาะ/มีปัญหากับผู้อื่น
ร้อยละ 19.0 มีปัญหาสุขภาพจิต เช่น กระสับกระส่าย หงุดหงิดเมื่อไม่ได้ใช้
ร้อยละ 13.0 ระบุปัญหาถูกหลอกลวงต้มตุ๋น
ร้อยละ 10.4 ปัญหาสุขภาพ เช่น นิ้วล็อค กล้ามเนื้ออักเสบส่วนการป้องกันภัยที่อาจแฝงมากับโลกของ Social Media พบว่า
ร้อยละ 63.8 ระบุว่าใช้วิธีการเรียนรู้ถึงข้อดีและข้อเสียของการใช้ Social Media
ร้อยละ 50.8 ระบุว่าใช้วิธีการป้องกันโดยการติดตามข่าวสารเกี่ยวกับภัยที่เกิดขึ้นตามสื่อต่าง ๆ
ร้อยละ 41.5 ระบุว่าใช้วิธีการให้ความรู้ต่อลูก / หลานหรือคนในครอบครัว
ร้อยละ 33.5 ระบุว่าใช้วิธีป้องกันโดยไม่สร้าง Social Media กับคนที่ไม่รู้จัก
ร้อยละ 28.3 ระบุว่าใช้วิธีป้องกันโดยการสอดส่องดูแลการใช้ Social Media ของบุตรหลาน
ร้อยละ 19.7 ระบุว่าใช้วิธีป้องกัน โดยให้พ่อแม่หรือผู้ปกครองต้องปรับตัวให้เข้ากับเทคโนโลยีในปัจจุบันสำหรับตัวอย่างทั่วไปของผู้ใช้พบว่า
ร้อยละ 49.1 เป็นชาย
ร้อยละ 50.9 เป็นหญิง
ร้อยละ 44.8 อายุระหว่าง 15 24 ปี
ร้อยละ 23.9 อายุระหว่าง 25 33
ร้อยละ 10.5 อายุระหว่าง 34 39 ปี
ร้อยละ 20.8 อายุระหว่าง 40 50 ปีด้านรายได้
ร้อยละ 30.6 ระบุรายได้ครอบครัวเฉลี่ยต่อเดือนไม่เกิน 20,000 บาท
ร้อยละ 33.3 ระบุรายได้ 20,000-39,999 บาท
ร้อยละ 9.9 ระบุรายได้ 40,000-49,999 บาท
ร้อยละ 26.2 ระบุรายได้ 50,000 บาทขึ้นไปด้านการศึกษา
ร้อยละ 48.1 สำเร็จการศึกษาต่ำกว่าปริญญาตรี
ร้อยละ 43.3 สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี
ร้อยละ 8.6 สำเร็จการศึกษาสูงกว่าปริญญาตรีนางสาววันวิสาข์ ระบุต่อว่า เมื่อทำการสัมภาษณ์ในเชิงลึกแล้ว กลุ่มผู้ใช้ Social Media เป็นประจำทุกวัน กล่าวว่า พบเห็นสินค้าโฆษณาและบริการใน Social Media หลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็น สินค้าประเภทแฟชั่น เครื่องสำอาง เกม ส่วนลดที่พัก โรงแรม และร้านอาหารต่าง ๆ โดยโฆษณาดังกล่าวที่พบเห็นนั้น แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ โฆษณาสินค้าและบริการที่ให้การสนับสนุน เว็บไซต์ Social Media และโฆษณาที่แปะวางไว้บนหน้ากระดานข้อความ (Wall)
นางสาววันวิสาข์ กล่าวต่อว่า จากการสอบถามไปยังความคิดเห็นของผู้ใช้เกี่ยวกับโฆษณาทั้ง 2 ประเภท ระบุว่า โฆษณาประเภทแรกที่สนับสนุน เว็บไซต์ Social Media เป็นสิ่งที่ยอมรับได้ เนื่องจากเป็นเรื่องธรรมดาในเชิงธุรกิจที่จะต้องมีสปอนเซอร์ และโฆษณาดังกล่าว ก็น่าเชื่อถือมากกว่า ส่วนโฆษณาที่แปะหน้ากระดานข้อความนั้น ผู้ใช้ระบุว่า รู้สึกรำคาญ เหมือนถูกรบกวน และเหมือนถูกละเมิดสิทธิส่วนบุคคล นอกจากนี้ กลุ่มตัวอย่างบางรายยังกล่าวว่า โฆษณาประเภทที่ 2 ถือว่าเป็นโฆษณาที่แสดงความเห็นแก่ตัวของเจ้าของ ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้วิธีลบ หรือบล็อกโฆษณานี้ออกไป
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก







