


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก Youtube.com โพสต์โดย LadyBimbettes
เปิดใจแม่-พี่ คดีตำรวจจับฝาแฝดผิดตัว ด้าน ผบช.ภาค 1 ยันจับไม่ผิดตัว เพราะผู้ต้องหารับสารภาพ เล็งแจ้งความแม่หมิ่นประมาท กล่าวหาตำรวจเรียกรับสินบน 5 แสน ด้านเหยื่อที่ถูกทำร้ายไม่ชัวร์ใครลงมือ แต่ยืนยันอยู่ในที่เกิดเหตุทั้ง 2 คน
กลายเป็นประเด็นขึ้นมา เมื่อนางบุญเกิด อุ่นวงษ์ อายุ 55 ปี ได้พาตัวนายเอนก อุ่นวงษ์ อายุ 30 ปี ลูกชาย เข้ามอบตัวต่อตำรวจ สภ.ประตูน้ำจุฬาลงกรณ์ จังหวัดปทุมธานี เนื่องจากต้องคดีทำร้ายร่างกาย หลังจากที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจได้จับกุม นายอานนท์ อุ่นวงษ์ น้องชายฝาแฝดของนายเอนกเข้าคุกแทน ทำให้นายอานนท์ ติดคุกแทนพี่ชายมานานกว่า 1 ปีแล้ว
ทั้งนี้ เมื่อช่วงเย็นวันที่ 9 พฤษภาคม 2555 รายการเจาะข่าวเด่น ทางช่อง 3 ซึ่งดำเนินรายการโดยนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา ได้เชิญนางบุญเกิด และนายเอนก มาพูดคุยถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ดังนี้
โดยนางบุญเกิด เล่าว่า ปัจจุบัน นายอานนท์ หรือ บอย ติดคุกมาแล้ว 1 ปี 4 เดือน โดยเคยได้รับการประกันตัวช่วงสั้น ๆ ก่อนจะกลับเข้าไปในคุกอีก เพราะศาลในชั้นอุทธรณ์ตัดสินว่า คำให้การของตนซึ่งเป็นแม่ และเพื่อน ๆ ฟังไม่ขึ้น นายอานนท์จึงต้องอยู่ในเรือนจำต่อ กระทั่งนายเอนกกลับมาที่บ้าน ตนจึงพานายเอนกเข้ามอบตัว เพื่อช่วยน้องออกมา
ด้านนายเอนก ยอมรับว่า ตัวเองเป็นคนลงมือทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนได้รับบาดเจ็บสาหัสจริง โดยในวันเกิดเหตุเมื่อปี พ.ศ.2552 ตนนั่งกินเหล้าอยู่ในร้าน มีรุ่นน้องวิ่งมาบอกว่าถูกคู่กรณีเอาปืนมาไล่ยิงขอให้ตนไปช่วย ตนจึงขี่มอเตอร์ไซค์ไปที่ร้านเกม ซึ่งเป็นที่เกิดเหตุ และได้คุยกับคู่กรณีจนมีปากเสียงกัน กระทั่งรุ่นน้องเห็นว่าคงคุยกันไม่รู้เรื่องแล้วจึงบอกตน ตนก็เลยกระชากคอเสื้อคู่กรณีออกมา แล้วก็ใช้มีดที่รุ่นน้องยื่นมาให้ฟันคู่กรณีได้รับบาดเจ็บสาหัส จากนั้น เขากับรุ่นน้องก็แยกย้ายกันหลบหนีไป และไม่ได้กลับมาที่บ้านอีกเลย เพราะรู้ว่าคู่กรณีไปแจ้งความ
ขณะที่นางบุญเกิด บอกว่า ตนไม่รู้เลยว่า นายเอนกไปก่อเรื่องไว้ เพราะนายเอนกไม่ได้อยู่กับตนที่บ้าน เขาอยู่กับพ่อตาแม่ยายเขา มารู้ทีหลังตอนเกิดเรื่องไปแล้วอาทิตย์กว่า ๆ เพราะมีคนที่ตลาดมาบอกว่า นายเอนก ไปก่อเรื่องไว้ หลังจากนั้นเขาก็ไม่ได้ติดต่อกลับมาเลย จนเวลาผ่านไปร่วมเดือน ตำรวจ สภ.ประตูน้ำจุฬาลงกรณ์ มาที่บ้าน บอกว่า จะพา อานนท์ ไปสอบปากคำหน่อย เพราะเอนกไปก่อเรื่องไว้ สักพักตนก็ตามไปที่โรงพัก แล้วก็ได้พูดคุยกับตำรวจเรื่อง เอนก กับ อานนท์ เพราะตำรวจหลายคนรู้จักดีว่า สองคนนี้เป็นฝาแฝดกัน และก็รู้ว่าคนที่ก่อเรื่องคือ นายเอนก จึงได้ปล่อยตัวนายอานนท์กลับมา

นางบุญเกิด เล่าต่อว่า เหตุการณ์ผ่านไปปีกว่า มีวันหนึ่ง อานนท์ ต้องไปเสียค่าปรับที่โรงพักในตัวจังหวัด เพราะไม่ได้นำใบขับขี่มา แต่วันนั้น อานนท์ใช้กระเป๋าสตางค์ของเอนก ซึ่งมีใบประกันสังคมของนายเอนกอยู่ เมื่อตำรวจเห็นบัตรประกันสังคมของนายเอนกและเช็กข้อมูลในคอมพิวเตอร์ก็ทราบว่า นายเอนกมีหมายจับติดตัวอยู่ และได้จับกุมนายอานนท์ไป แม้นายอานนท์จะพยายามอธิบายแล้วว่า เขาไม่ใช่นายเอนก แต่ตำรวจไม่เชื่อ และโทรศัพท์ไปที่ สภ.ประตูน้ำจุฬาลงกรณ์ ให้มารับตัวไปสอบ
ในวันนั้น นางบุญเกิด ซึ่งได้รับแจ้งเรื่องนี้ ได้ไปที่ สภ.ประตูน้ำจุฬาลงกรณ์ โดยเข้าไปพบตำรวจชั้นผู้ใหญ่คนหนึ่งในโรงพัก เพื่อขอร้องให้ช่วยเหลือ แต่ผู้ใหญ่คนนั้นกลับพูดว่า "มีเงิน 5 แสนมั้ย" ทำให้นางบุญเกิดยืนอึ้ง เพราะไม่มีเงินมากขนาดนั้น ผู้ใหญ่คนนั้นจึงบอกให้นางบุญเกิดไปหาหลักทรัพย์มาประกันตัว เพราะหากไม่มีหลักทรัพย์ก็ช่วยอะไรไม่ได้ แม้ตำรวจในโรงพักที่รู้จักฝาแฝดคู่นี้จะช่วยพูดให้ว่าเป็นคนละคนกัน แต่ผู้ใหญ่คนดังกล่าวก็ยังไม่เชื่อ และบอกให้นายอานนท์เซ็นชื่อรับสารภาพไป แล้วค่อยไปแก้ต่างในชั้นศาล
ในตอนนั้น นายเอนกซึ่งกำลังหลบหนีอยู่ไม่ทราบเรื่องที่เกิดขึ้น ขณะที่นางบุญเกิดก็ไม่รู้ว่า จะติดต่อนายเอนกให้กลับมาได้อย่างไร เพราะไม่ทราบที่อยู่ จึงได้พยายามต่อสู้คดีให้นายอานนท์ในชั้นศาล โดยให้การว่า คนที่จับมาไม่ใช่เอนก แต่เป็นอานนท์ เพราะมีรอยสักที่ไม่เหมือนกัน นอกจากนั้น เพื่อนของนายอานนท์ซึ่งนั่งอยู่กับอานนท์ในวันเกิดเหตุก็มาเป็นพยานว่า อานนท์ไม่ได้ก่อเหตุ แต่ศาลก็ไม่ได้เชื่อ เพราะคู่กรณีไปชี้ตัวว่า อานนท์เป็นคนทำ เนื่องจากหน้าเหมือนกัน
เมื่อถามว่า ทำไมนางบุญเกิดไม่พาตำรวจ สภ.ประตูน้ำจุฬาลงกรณ์ ที่รู้จักสองฝาแฝดไปเป็นพยานในศาลด้วย นางบุญเกิด ตอบว่า ตนเองไม่กล้าไปรบกวนเขา เพราะกลัวว่าเขาจะเดือดร้อน จึงต้องสู้คดีเอง แต่ในที่สุด เมื่อเดือนกันยายน พ.ศ.2554 ศาลชั้นต้นก็ตัดสินว่า คำให้การของแม่ฟังไม่ขึ้น เพราะแม่ก็ต้องเข้าข้างลูก ส่วนเพื่อนก็ต้องเข้าข้างเพื่อนเช่นกัน ทำให้นายอานนท์ถูกตัดสินจำคุก
นางบุญเกิด เล่าต่อว่า กระทั่งเมื่อวันที่ 4 เมษายนที่ผ่านมา นายอานนท์ เพิ่งได้รับการประกันตัวออกมาจากคุกครั้งแรก เพราะก่อนหน้านั้นตนเคยไปร้องเรียนกับกระทรวงยุติธรรมไว้ และเพิ่งได้รับเงินอนุมัติจากกองทุนให้มาประกันตัวลูกชายออกมาก่อน แต่นายอานนท์ออกจากคุกมาเพียงไม่กี่วัน ในวันที่ 1 พฤษภาคมที่ผ่านมา ศาลอุทธรณ์ก็มีคำพิพากษายืนให้จำคุกนายอานนท์ 4 ปี นายอานนท์จึงต้องกลับเข้าคุกไปใหม่
อีก 2 วันต่อมา นายเอนกกลับมาที่บ้านและได้ทราบข่าวว่า น้องชายถูกจับและถูกตัดสินจำคุก 4 ปี เขาจึงตัดสินใจจะไปมอบตัวกับตำรวจ โดยบอกว่าเป็นความสมัครใจของตัวเอง เพราะสงสารน้องชายและลูกสาวของน้องชาย ไม่ใช่เพราะแม่บังคับ จากนั้น นายเอนกก็ได้ไปเขียนคำร้องขอมอบตัวที่ศาล แต่เจ้าหน้าที่ศาลปฏิเสธไม่รับคำร้อง เพราะต้องให้ตำรวจตั้งสำนวนขึ้นมาใหม่ก่อน นายเอนกจึงได้กลับไปที่ สภ.ประตูน้ำจุฬาลงกรณ์ แต่ทางโรงพักก็ยืนกรานไม่รับเรื่องนี้ และให้ไปติดต่อที่ศาลแทน

นายเอนก กล่าวว่า เขาพยายามเดินเรื่องติดต่อทั้งไปที่ศาล และที่ สภ.ประตูน้ำจุฬาลงกรณ์ แต่ไม่มีที่ไหนรับเรื่อง เลยไม่รู้จะทำอย่างไรดี ทำให้ นางบุญเกิด ตัดสินใจร้องเรียนต่อสื่อมวลชน เพื่อขอความช่วยเหลือ เพราะตนเองไม่รู้หนังสือ ไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไป
ในตอนท้าย นายสรยุทธ ได้ถามนายเอนกว่า หากนายเอนกเจอน้องชายที่ติดคุกแทนอยู่ปีกว่าจะพูดกับเขาอย่างไร นายเอนก ตอบว่า จะบอกกับเขาว่าขอโทษ ขอโทษที่ตัวเองใจร้อน จนทำให้น้องต้องมาเดือดร้อน ถ้าเป็นไปได้ก็จะไม่ทำอย่างนี้
ขณะที่นางบุญเกิด ก็บอกว่า อยากให้นายอานนท์ออกมาจากคุก เพราะสงสารลูก ลูกไม่ได้ทำผิดแต่เขาต้องเข้าคุกไป คนเป็นพ่อเป็นแม่ก็ทรมานที่ช่วยเหลือลูกไม่ได้ เพราะเราเป็นคนจน หาเช้ากินค่ำ อยากบอกถึงคนที่รู้ทั้งรู้ว่าจับผิดตัว แต่ยังส่งเรื่องดำเนินคดีว่า ลองคิดดูว่าหากเป็นลูก เป็นญาติพี่น้องของคุณเอง คุณจะคิดยังไง
ต่อมา ในช่วงเช้าวันที่ 10 พฤษภาคม พล.ต.ต.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง รักษาการผู้บัญชาการตำรวจภูธร ภาค 1 พร้อมด้วย นางพิม ศรนุวัฒน์ และ นายอมรเทพ เชื้อดี ผู้เสียหายที่ถูกทำร้ายร่างกาย ได้แถลงข่าวถึงกรณีที่นางบุญเกิด และนายเอนก อุ่นวงษ์ เข้าร้องเรียนต่อสื่อมวลชนว่า ตำรวจจับคนร้ายผิดตัว โดยคนร้ายจริง ๆ คือ นายเอนก ไม่ใช่นายอานนท์ แฝดผู้น้องที่ตำรวจจับกุมตัวไปก่อนหน้านี้
ทั้งนี้ พล.ต.ต.คำรณวิทย์ ระบุว่า คดีดังกล่าวตำรวจทำตามกระบวนการของกฎหมายทุกประการ โดยสามารถจับกุมตัวนายเอนกได้เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ.2553 ในข้อหาไม่มีใบอนุญาตขับขี่ ซึ่งเจ้าตัวได้แสดงบัตรที่ระบุชื่อ นายเอนก อุ่นวงษ์ กระทั่งตำรวจไปตรวจสอบพบว่า ชายคนดังกล่าวมีหมายจับติดตัวอยู่จึงส่งตัวให้ตำรวจ สภ.ประตูน้ำจุฬาลงกรณ์ ซึ่งในชั้นสอบปากคำ ชายคนดังกล่าวยอมรับว่าชื่อ นายเอนก อุ่นวงษ์ จริง เจ้าหน้าที่จึงส่งเรื่องดำเนินคดีตามกฎหมาย
สำหรับเรื่องที่ นางบุญเกิด และลูกชาย ออกมาร้องเรียนกับสื่อมวลชนนั้น พล.ต.ต.คำรณวิทย์ กล่าวว่า ทางตำรวจปทุมธานีจะแจ้งความข้อหาให้การเท็จกับสองแม่ลูก และจะแจ้งความข้อหาหมิ่นประมาทกับนางบุญเกิดด้วย เนื่องจากนางบุญเกิดกล่าวหาว่า มีเจ้าหน้าที่ตำรวจเรียกรับสินบน 5 แสนบาท แลกกับการให้ช่วยเหลือคดี
นอกจากนี้ พล.ต.ต.คำรณวิทย์ ยังได้แนะนำว่า ให้ครอบครัวอุ่นวงษ์ยื่นเรื่องต่อศาลจังหวัดธัญบุรี ตาม พ.ร.บ.รื้อฟื้นคดีใหม่ พร้อมกับขอให้สังคมนึกถึงผู้เสียหายที่ถูกทำร้ายในคดีนี้ด้วย เพราะต้องพิการไปตลอดชีวิต และขอยืนยันว่า ที่ผ่านมา ตำรวจทำงานตามขั้นตอนของกฎหมายทุกอย่าง
ด้านนายอมรเทพ เชื้อดี อายุ 20 ปี ซึ่งถูกนายเอนกทำร้ายร่างกายเมื่อปี พ.ศ.2552 กล่าวว่า ตนเองต้องพิการตลอดชีวิต เพราะถูกทำร้าย จึงอยากให้สังคมเข้าใจบ้าง ส่วนเรื่องใครเป็นคนลงมือทำร้ายตนนั้น ตนยอมรับว่าจำไม่ได้ชัดเจน เพราะทั้งคู่เป็นฝาแฝดกัน และอยู่ในที่เกิดเหตุทั้ง 2 คน แต่มีเพื่อนมาบอกตนว่า คนที่ทำร้ายคือนายเอนก
คลิป รายการเจาะข่าวเด่น ทางช่อง 3
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก







