ประวัติปิงปอง กฎกติกา และเหตุผลที่เทเบิลเทนนิสเรียกว่าปิงปอง


          กีฬาปิงปอง เป็นกีฬาสันทนาการอีกชนิดหนึ่งที่สามารถเล่นเพื่อสร้างความสนุกสนานในหมู่คณะ ขณะเดียวกันก็เป็นกีฬาที่มีความท้าทายที่ผู้เล่นต้องอาศัยไหวพริบ และความคล่องแคล่วของร่างกายในการรับ-ส่งลูก 

ปนะวัติปิงปอง

          และด้วยความท้าทายนี้ทำให้กีฬาปิงปองได้รับความนิยมในระดับสากล กระทั่งถูกบรรจุในการแข่งขันระดับโลก ด้วยความน่าสนใจของกีฬาปิงปอง ดังนั้น ทางกระปุกดอทคอมจึงได้นำข้อมูลของกีฬาปิงปองมาฝากค่ะ

ประวัติปิงปอง หรือ เทเบิลเทนนิส

 
          กีฬาปิงปองเริ่มต้นในประเทศอังกฤษในปี พ.ศ. 2433 (ค.ศ. 1890) ในอดีต อุปกรณ์ที่ใช้ในการเล่นปิงปองประกอบด้วยไม้ที่หุ้มด้วยหนังสัตว์ มีลักษณะคล้ายกับไม้ปิงปองที่ใช้ในปัจจุบัน ส่วนลูกปิงปองทำจากเซลลูลอยด์ซึ่งเป็นพลาสติกกึ่งสังเคราะห์ และได้รับความนิยมในหมู่ประเทศยุโรปก่อนจะแพร่กระจายไปทั่วโลก

ทำไมถึงเรียก กีฬาเทเบิลเทนนิส ว่า ปิงปอง ?

          เทเบิลเทนนิส หรือที่รู้จักกันในชื่อ "ปิงปอง" เป็นกีฬาที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวจากเสียง "ปิ๊ก-ปอก" ที่เกิดขึ้นเมื่อลูกบอลกระทบกับพื้นโต๊ะและไม้ตี จากความโดดเด่นของเสียงนี้ทำให้กีฬานี้ถูกเรียกว่า "ปิงปอง" ในช่วงแรก แต่เนื่องจากมีบริษัทจดทะเบียนชื่อ "PINGPONG" เป็นเครื่องหมายการค้า ชื่อกีฬาจึงเปลี่ยนเป็น "เทเบิลเทนนิส"

          วิธีการเล่นของเทเบิลเทนนิสในยุโรปตอนต้นประกอบด้วยการเล่นแบบยัน (BLOCKING) และการเล่นแบบดันกด (PUSHING) ต่อมาได้พัฒนาเป็นการเล่นแบบ BLOCKING และ CROP หรือการเล่นที่มีการตัดลูก ซึ่งวิธีการเล่นนี้ได้รับความนิยมอย่างมากในยุโรป นอกจากนี้ยังมีสองวิธีการจับไม้ คือ การจับแบบยุโรป (SHAKEHAND) และการจับไม้แบบจับปากกา (PEN-HOLDER) หรือที่เรียกว่า "จับไม้แบบจีน" ทั้งสองวิธีนี้ได้สะท้อนถึงความหลากหลายของเทคนิคในการเล่นเทเบิลเทนนิสได้เป็นอย่างดี

การเล่นปิงปองในสมัยก่อน


          ในปี พ.ศ. 2443 (ค.ศ. 1900) กีฬาปิงปองเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงสำคัญเมื่อไม้ปิงปองที่เคลือบด้วยหนังสัตว์ถูกแทนที่ด้วยไม้ปิงปองที่ติดยางเม็ด วิธีการเล่นแบบรุกหรือบุกโจมตี โดยใช้ท่าหน้ามือ (FOREHAND) และหลังมือ (BACKHAND) จึงมีบทบาทสำคัญมากขึ้น การจับไม้แบบยุโรปยังคงได้รับความนิยม สะท้อนให้เห็นว่ายุโรปเป็นศูนย์กลางของวงการปิงปอง

          ต่อมาในปี พ.ศ. 2465 (ค.ศ. 1922) บริษัทค้าเครื่องกีฬาได้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้า "PINGPONG" ทำให้ปิงปองต้องเปลี่ยนชื่อเป็น "เทเบิลเทนนิส" และในปี พ.ศ. 2469 (ค.ศ. 1926) ได้มีการประชุมก่อตั้งสหพันธ์เทเบิลเทนนิสนานาชาติ (INTERNATIONAL TABLE TENNIS FEDERATION: ITTF) ที่กรุงลอนดอน ในเดือนธันวาคม พร้อมทั้งจัดการแข่งขันเทเบิลเทนนิสแห่งโลกครั้งที่ 1

          ในปี พ.ศ. 2493 (ค.ศ. 1950) ประเทศญี่ปุ่นเริ่มให้ความสำคัญกับเทเบิลเทนนิสมากขึ้น โดยเน้นการตบลูกแม่นยำและหนักหน่วง และการใช้จังหวะเต้นของปลายเท้า จนถึงปี พ.ศ. 2495 (ค.ศ. 1952) ญี่ปุ่นได้เข้าร่วมการแข่งขันเทเบิลเทนนิสโลกครั้งแรกที่กรุงบอมเบย์ ประเทศอินเดีย และในปี พ.ศ. 2496 (ค.ศ. 1953) สาธารณรัฐประชาชนจีนก็ได้เข้าร่วมการแข่งขันครั้งแรกที่กรุงบูคาเรสต์ ประเทศโรมาเนีย ทำให้เทเบิลเทนนิสได้รับการยอมรับว่าเป็นกีฬาระดับโลก ในช่วงนี้ ญี่ปุ่นได้นำเสนอการจับไม้แบบจับปากกา พร้อมทั้งพัฒนาไม้ปิงปองที่ใช้ยางเม็ดสอดไส้ด้วยฟองน้ำ ซึ่งเป็นการปรับปรุงจากยางชนิดเม็ดเดิมที่ใช้กันทั่วไป

อุปกรณ์เล่นปิงปอง


เทคนิคการเล่นปิงปองจากทั่วโลก

          ในแง่เทคนิคการเล่น, ยุโรปมีจุดเด่นที่ความแม่นยำและการตีลูกด้วยวงสวิงสั้น ๆ ในขณะที่ญี่ปุ่นใช้จังหวะเต้นของปลายเท้าเป็นศูนย์กลางในการเล่นแบบรุกอย่างต่อเนื่อง แม้ตอนแรกหลายประเทศจะมองวิธีการเล่นของญี่ปุ่นเป็นการเสี่ยง แต่ญี่ปุ่นก็ชนะในการแข่งขันได้อย่างต่อเนื่องหลายปี ทำให้เรียกว่าเป็นยุคมืดของยุโรป

          สถานการณ์เปลี่ยนไปเมื่อสาธารณรัฐประชาชนจีนสามารถเอาชนะญี่ปุ่นได้ด้วยการเล่นที่โจมตีอย่างรวดเร็วผสมกับการป้องกัน โดยจีนได้ศึกษาวิธีการเล่นของญี่ปุ่นและนำมาประยุกต์ให้เข้ากับสไตล์การเล่นของจีนจนกลายเป็นวิธีการเล่นที่เราเห็นในปัจจุบัน

          ยุโรปได้ฟื้นตัวขึ้นอีกครั้งหลังจากนำเอาวิธีการเล่นของชาวอินเดียมาปรับปรุง โดยในปี พ.ศ. 2513 (ค.ศ. 1970) เป็นปีที่เห็นการประจันหน้าระหว่างนักกีฬาชาวยุโรปและเอเชีย นักกีฬาชาวญี่ปุ่นได้ถอยห่างจากวงการ ในขณะที่นักกีฬายุโรปรุ่นใหม่เริ่มแสดงฝีมืออันยอดเยี่ยมจนสามารถคว้าแชมป์โลกชายเดี่ยวไปครองได้สำเร็จ
 
          จากนั้นในปี พ.ศ. 2514 (ค.ศ. 1971) นักเทเบิลเทนนิสชาวสวีเดน ชื่อ สเตลัง เบนค์สัน เป็นผู้เปิดศักราชใหม่ให้กับชาวยุโรป โดยในปี พ.ศ. 2516 (ค.ศ. 1973) ทีมสวีเดนสามารถคว้าแชมป์โลกได้ จึงทำให้ชาวยุโรปมีความมั่นใจในวิธีการเล่นที่ปรังปรุงมา ดังนั้น นักกีฬาของยุโรป และนักกีฬาของเอเชีย จึงเป็นคู่แข่งที่สำคัญ ในขณะที่นักกีฬาในกลุ่มชาติอาหรับ และลาตินอเมริกา ก็เริ่มก้าวหน้ารวดเร็วขึ้น และมีการแลกเปลี่ยนความรู้ทางด้านเทคนิค ทำให้การเล่นแบบตั้งรับ ซึ่งหายไปตั้งแต่ปี พ.ศ. 2503 (ค.ศ. 1960) เริ่มกลับมามีบทบาทอีกครั้ง
 
          จากนั้นจึงได้เกิดการพัฒนาเทคนิคการเปลี่ยนหน้าไม้ในขณะเล่นลูก และมีการปรับปรุงหน้าไม้ซึ่งติดด้วยยางปิงปอง ที่มีความยาวของเม็ดยางมากกว่าปกติ โดยการใช้ยางที่สามารถเปลี่ยนวิถีการหมุน และทิศทางของลูกเข้าได้ จึงนับได้ว่ากีฬาเทเบิลเทนนิสเป็นกีฬาที่แพร่หลายไปทั่วโลก โดยมีการพัฒนาอุปกรณ์ และมีวิธีการเล่นใหม่ ๆ เกิดขึ้นตลอดเวลา กระทั่งกีฬาเทเบิลเทนนิสได้ถูกบรรจุเป็นการแข่งขันประเภทหนึ่งในกีฬาโอลิมปิก เมื่อปี พ.ศ. 2531 (ค.ศ. 1988) ซึ่งจัดขึ้นที่กรุงโซล ประเทศสาธารณรัฐเกาหลี
 

ประวัติกีฬาเทเบิลเทนนิสในประเทศไทย

          ประวัติของกีฬาเทเบิลเทนนิสในประเทศไทยยังคงเต็มไปด้วยความลึกลับ ที่รู้เพียงว่าคนไทยรู้จักและเล่นกีฬาเทเบิลเทนนิสมานาน โดยในสังคมไทยรู้จักกันในชื่อ "กีฬาปิงปอง" แต่ยังไม่มีหลักฐานชัดเจนว่ากีฬานี้เริ่มเข้ามาในไทยเมื่อใดและใครเป็นผู้นำเข้ามา ทว่าเห็นได้ชัดว่าการเรียนการสอนเทเบิลเทนนิสในไทยได้เริ่มต้นมากว่า 30 ปีแล้ว ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2500 ประเทศไทยได้จัดตั้งสมาคมเทเบิลเทนนิสสมัครเล่นแห่งประเทศไทย ซึ่งตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา มีการแข่งขันในสถาบันต่างๆ และมีการแข่งขันชิงถ้วยพระราชทานแห่งประเทศไทย


ปิงปอง

การเล่นกีฬาปิงปอง หรือเทเบิลเทนนิส

 
          กีฬาปิงปอง หรือเทเบิลเทนนิส ที่เรารู้จักกันนั้น ถือเป็นกีฬาที่มีความยากในการเล่น เนื่องจากธรรมชาติของกีฬาประเภทนี้ ถูกจำกัดให้ตีลูกปิงปองลงบนโต๊ะของคู่ต่อสู้ ซึ่งบนฝั่งตรงข้ามมีพื้นที่เพียง 4.5 ฟุต X 5 ฟุต และลูกปิงปองยังมีน้ำหนักเบามาก เพียง 2.7 กรัม โดยความเร็วในการเคลื่อนที่จากฝั่งหนึ่งไปยังอีกฝั่งหนึ่ง ใช้เวลาไม่ถึง 1 วินาที ทำให้นักกีฬาต้องตีลูกปิงปองที่กำลังเคลื่อนมากลับไปทันที ซึ่งหากลังเลแล้วตีพลาด หรือไม่ตีเลย ก็อาจทำให้ผู้เล่นเสียคะแนนได้

ประโยชน์ของกีฬาปิงปอง

 
           ทั้งนี้ ปิงปองมีประโยชน์ต่อผู้เล่น เนื่องจากต้องอาศัยความคล่องแคล่ว ว่องไวในทุกส่วนของร่างกาย ดังนี้

          1. สายตา : สายตาจะต้องจ้องมองลูกอยู่ตลอดเวลา เพื่อสังเกตหน้าไม้ของคู่ต่อสู้ และมองลูกว่าจะหมุนมาในลักษณะใด 

          2. สมอง : ปิงปองเป็นกีฬาที่ต้องใช้สมองในการคิดอยู่ตลอดเวลา รวมถึงต้องวางแผนการเล่นแบบฉับพลันอีกด้วย

          3. มือ : มือที่ใช้จับไม้ปิงปอง จะต้องคล่องแคล่วและว่องไว รวมถึงต้องรู้สึกได้เมื่อลูกปิงปองสัมผัสถูกหน้าไม้

          4. ข้อมือ : ในการตีบางลักษณะ จำเป็นต้องใช้ข้อมือเข้าช่วย ลูกจึงจะหมุนมากยิ่งขึ้น

          5. แขน : ต้องมีพละกำลัง และมีความอดทนในการฝึกซ้อมแบบสม่ำเสมอ เพื่อให้เกิดความเคยชิน

          6. ลำตัว : การตีลูกปิงปองในบางจังหวะ ต้องใช้ลำตัวเข้าช่วย

          7. ต้นขา : ผู้เล่นต้องมีต้นขาที่แข็งแรง เพื่อเตรียมความพร้อมในการเคลื่อนที่ตลอดเวลา

          8. หัวเข่า : ผู้เล่นต้องย่อเข่า เพื่อเตรียมพร้อมในการเคลื่อนที่ 

          9. เท้า : หากเท้าไม่เคลื่อนที่เข้าหาลูกปิงปอง ก็จะทำให้ตามตีลูกปิงปองไม่ทัน

 
ปิงปอง


วิธีการเล่นกีฬาปิงปอง หรือเทเบิลเทนนิส


          1. การส่งลูกที่ถูกต้อง ลูกจะต้องอยู่ที่ฝ่ามือแล้วโยนขึ้นไปในอากาศ สูงไม่น้อยกว่า 16 เซนติเมตร

          2. การรับลูกที่ถูกต้อง เมื่อลูกเทเบิลเทนนิสถูกตีข้ามตาข่ายมากระทบแดนของตนครั้งเดียว ต้องตีกลับให้ข้ามตาข่าย หรืออ้อมตาข่ายกลับไป ลูกที่ให้ส่งใหม่คือ ลูกเสิร์ฟติดตาข่าย แล้วข้ามไปตกแดนคู่ต่อสู้หรือเหตุอื่นที่ผู้ตัดสินเห็นว่าจะต้องเสิร์ฟใหม่

          3. การแข่งขันมี 2 ประเภท คือ ประเภทเดี่ยว และประเภทคู่

          4. การนับคะแนน ถ้าผู้เล่นทำผิดกติกา จะเสียคะแนน

          5. ผู้เล่นหรือคู่เล่นที่ทำคะแนนได้ 11 คะแนนก่อน จะเป็นฝ่ายชนะ ยกเว้นถ้าผู้เล่นทั้งสองฝ่ายทำคะแนนได้ 10 คะแนนเท่ากัน จะต้องเล่นต่อไป โดยฝ่ายใดทำคะแนนได้มากกว่าอีกฝ่ายหนึ่ง 2 คะแนน จะเป็นฝ่ายชนะ

          6. การแข่งขันประเภททีมมี 2 แบบ คือ 

                    6.1 SWAYTHLING CUP มีผู้เล่นครั้งละ 3 คน

                    6.2 CORBILLON CUP มีผู้เล่นครั้งละ 2-4 คน


ขอขอบคุณข้อมูลจาก : สมาคมเทเบิลเทนนิสแห่งประเทศไทยศูนย์กีฬาเพื่อความเป็นเลิศ

เรื่องที่คุณอาจสนใจ
ประวัติปิงปอง กฎกติกา และเหตุผลที่เทเบิลเทนนิสเรียกว่าปิงปอง อัปเดตล่าสุด 5 กรกฎาคม 2567 เวลา 15:38:10 2,681,583 อ่าน
TOP
x close