เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก gistda.or.th
GISTDA จี้รัฐบาลดำเนินนโยบายชัดเจนกรณีนาซาขอใช้สนามบินอู่ตะเภา - อ.จุฬาฯ ติงรัฐบาลต้องกล้าแสดงจุดยืน ชี้เป็นการถอยครั้งที่ 3 สะท้อนความล้มเหลวนโยบายต่างประเทศ
วันนี้ (1 กรกฎาคม) ที่สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ดร.สมเจตน์ ทิณพงศ์ ประธานกรรมการบริหารสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กล่าวในราชดำเนินเสวนาเรื่อง "เบรกนาซา ไทยได้หรือเสีย ?" ว่า เอกสารที่ตนได้ลงนามกับนาซาเกี่ยวกับโครงการศึกษาองค์ประกอบเมฆ การเชื่อมโยงของสภาวะอากาศระดับภูมิภาคแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2553 ณ วันนั้นเพื่อสำรวจตรวจสอบศักยภาพชั้นอากาศเพื่อนำไปสู่พยากรณ์อากาศ พยากรณ์น้ำท่วม แผ่นดินไหว ดินถล่ม ถ้ามีโครงการนี้ก็ดี เราจะได้ข้อมูลมากขึ้น
ดร.สมเจตน์ กล่าวต่อว่า วันที่ตนลงนามชัดเจนว่าจะมีการใช้สนามบินและเครื่องบินแน่ แต่ไม่ได้ตกลงว่าจะใช้ที่ใด สนามบินอู่ตะเภาดีสุดเพราะ 70% พื้นที่เมฆลอย และเก็บความชื้นได้ดี แต่ถ้ามีปัญหาความมั่นคงก็ต้องไปตรวจสอบเครื่องบิน อุปกรณ์และตารางการบินอย่างละเอียด เมื่อมีความกังวลตรงไหนก็ควรชี้แจงตรงนั้น สำหรับตนมองมิติด้านวิทยาศาสตร์ ซึ่งจุดยืนทางวิทยาศาสตร์ทุกคนเห็นพ้อง เพราะมีการทำที่อื่นมาแล้ว แต่ถ้าใครมองมิติอื่นก็รับฟัง ตนไม่ได้ทิ้งมิติเรื่องความมั่นคง
ทั้งนี้ อยากให้มีคำตอบเรื่องนี้โดยเร็ว รัฐบาลต้องเดินหน้า เพราะเราเคยทำงานร่วมกับนาซามานาน ดังนั้นต้องเชียร์ต่อ รัฐบาลเดินหน้าเป็นเรื่องดี แต่ขั้นตอนการเดินเป็นอีกเรื่อง เพราะถ้าทิ้งโครงการนี้จะหายไป โดยในส่วนของโครงการนี้ยังแขวนอยู่เพราะยังไม่เห็นเอกสารยืนยันจาก ชาร์ลส์ เอฟ.โบลเดน ผอ.บริหารองค์การนาซา
ทางด้าน รศ.ดร.สุรชาติ บำรุงสุข คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ทั้งหมดเป็นเรื่อง 3 เรื่องที่นำมาผูกโยงกัน คือ การเมืองรอบบ้าน การเมืองไทย และการศึกษาการเปลี่ยนแปลงสภาวะอากาศ หากมองในมุมชาวบ้านจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเพราะไม่ชัดเจน ไม่รู้จะเชื่อใคร เพราะข้อมูลแต่ละฝ่ายมีหลักฐาน ถามว่าเกี่ยวกับการเมืองนอกบ้านหรือไม่ ถ้าจะโยงก็โยงได้ แต่นาซาก็ใช้ฮ่องกงทำไมจีนไม่กังวล ซึ่งในช่วงที่ผ่านมารัฐบาลอ่อนการแถลงข่าว ทีมโฆษกรัฐบาลไม่ได้แถลงข่าวอย่างเป็นทางการให้ประชาชนได้ทราบว่าเรื่องนี้เป็นอย่างไร ดังนั้นการเมืองภายนอกและอากาศจึงถูกนำมาโยง
และจุดที่รัฐบาลพลาดคือการนำเรื่องนี้เข้า ครม.ถ้าถือว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องทางเทคนิค จะจบที่กระทรวงการต่างประเทศหรือกระทรวงกลาโหม แต่ ครม.มีความกังวลทางการเมือง เพราะถ้าใช้มาตรา 190 จะโดนทั้ง ครม.ก็เลยไม่กล้า ตนเรียกว่าเป็นการถอยครั้งที่ 3 ของรัฐบาล ครั้งแรก คือ พ.ร.บ.ว่าด้วยการปรองดองแห่งชาติ ครั้งที่สอง คือ ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่การถอยครั้งที่ 3 เริ่มรู้สึกว่ารัฐบาลถอยเกินความจำเป็น เพราะนักวิทยาศาสตร์ไทยไม่ใช่เหลืองหรือแดง ทุกคนสนับสนุนรัฐบาลแต่รัฐบาลถอย วันนี้โอกาสประนีประนอมการเมืองค่อนข้างห่างไกล ถ้าเราเห็นการเมืองอย่างสร้างสรรค์ฝ่ายค้านควรเร่งตัดสินใจ หากสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นประโยชน์กับไทยและอาเซียนอย่ารีรอ อย่างน้อยเป็นความหวังปีนี้เป็นสัญญาณแจ้งเตือนเรื่องน้ำท่วม
รศ.ดร.สุรชาติ กล่าวต่อว่า ในอีกมุมหนึ่งสิ่งที่เราเห็นคือ ถ้ารัฐบาลกลัวการตัดสินใจไปเรื่อย ๆ รัฐบาลได้อำนาจมาจากการเลือกตั้ง แต่สุดท้ายการตัดสินใจไม่เกิด อยากตั้งข้อสังเกตว่าการถอยครั้งที่ 3 เท่ากับส่งสัญญาณต่างประเทศว่าไม่สามารถผลักดันนโยบายด้านต่างประเทศได้ กรณีนี้เป็นบทเรียนใหญ่ของรัฐบาล ถ้าครั้งหน้ามีกรณีอย่างนี้อีก เช่น กรณีประสาทพระวิหารหนักหนากว่านาซาเยอะ ดังนั้นรัฐบาลต้องกล้าแสดงจุดยืนต่อสิ่งที่เป็นผลประโยชน์ต่อประเทศชาติ ประชาชน ไม่เกี่ยวกับความมั่นคง ต้องกล้าตัดสินใจ ที่ผ่านมารัฐบาลไทยอ่อนแอมากในงานด้านต่างประเทศ
ขณะที่ทางด้าน นายกษิต ภิรมย์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ อดีต รมว.ต่างประเทศ กล่าวว่า แถลงการณ์ร่วมระหว่างดร.สมเจตน์กับนาซามีจุดประสงค์จะทำอะไร แต่ยังไม่ได้ดำเนินการ จึงยังไม่มีนัยมาตรา190 ไม่มีการเอ่ยถึงสนามบินอู่ตะเภา ถ้าใช้สนามบินดอนเมือง คงไม่มีนัยด้านความมั่นคง แต่อู่ตะเภาเป็นสนามบินของกองทัพเรือ และมีเครื่องบินเคยไปทิ้งระเบิดที่ประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งหมดเกี่ยวกับความมั่นคง ไม่เกี่ยวกับด้านวิทยาศาสตร์เพราะเราถือว่ามีประโยชน์ ทั้งในการพยากรณ์แผ่นดินไหว สึนามิ แต่มาใช้สนามบินอู่ตะเภามันมีปัญหาเพราะเป็นฐานทัพ ฝ่ายไทยต้องยืนยันกับประชาชนว่าเรื่องนี้มีนัยวิทยาศาสตร์เท่านั้น เรื่องวิทยาศาสตร์ไม่มีปัญหา แต่เรื่องความมั่นคงมีบริบทการเมืองระหว่างประเทศในการเพิ่มแสนยานุภาพ รัฐบาลไม่ได้บอกรัฐสภา ฝ่ายค้านห่วงก็ไม่ผิดแปลกอะไร เป็นหน้าที่รัฐบาลต้องมาชี้แจง เราเป็นฝ่ายค้านก็มีหน้าที่ติดตามสอดส่องดูแลและรัฐบาลต้องให้ความกระจ่างจะมาโทษประชาชน โทษฝ่ายค้านไม่ได้ ตนคิดว่าเป็นความล้มเหลวระดับนโยบาย ถ้าเป็นตนจะบอกกับนาซา และขอโทษนาซา
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก