
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก boonrawd.co.th
เบียร์สิงห์ แนะ เก็บภาษีเบียร์ตามดีกรี แทนเก็บภาษีแบบมูลค่า ชี้ช่วยรัฐได้เม็ดเงินเพิ่มทันทีโดยไม่ต้องรอแก้กฎหมาย
วันนี้ (28 สิงหาคม) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายปิติ ภิรมย์ภักดี ผู้อำนวยการสายการตลาด-ภูมิภาค บริษัทสิงห์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ผู้ผลิตและทำตลาดเบียร์สิงห์, ลีโอ ได้เปิดเผยถึงกรณีที่ทางกรมสรรพามิตกำลังศึกษาขยายเพดานเก็บภาษีเบียร์ ว่า รูปแบบที่เหมาะสมในการปรับโครงสร้างภาษีเบียร์นั้น ทางกรมสรรพามิตควรหันมาจัดเก็บภาษีในฝั่งปริมาณ หรือดีกรี ซึ่งสามารถทำได้ทันทีโดยไม่ต้องเสียเวลาขยายเพดาน หรือว่าแก้กฎหมายจัดเก็บในเชิงมูลค่า
นายปิติ กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ตามกฏหมายได้ระบุชัดเจนว่า สามารถกำหนดให้เก็บภาษีได้สองฝั่ง คือ ฝั่งมูลค่า และฝั่งปริมาณ หรือดีกรี โดยสามารเลือกฝั่งที่จัดเก็บภาษีได้มากกว่า ซึ่งการจัดเก็บภาษีเบียร์นั้นมีการกำหนดโครงสร้างการจัดเก็บเป็นร้อยละ 60 ในเชิงมูลค่า และ 100 บาท ต่อลิตรแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ในเชิงดีกรี ถ้าหากทางกรมสรรพสามิตเลือกจัดเก็บในเชิงมูลค่าก็จะได้เงินภาษีในจำนวนมากกว่าการจัดเก็บในเชิงดีกรี
นอกจากนี้ นายปิติ ยังแนะนำให้ภาครัฐกำหนดโครงสร้างการจัดเก็บภาษีในระดับที่เหมาะสม ว่า จากที่ตนเคยศึกษาอัตราภาษีเชิงดีกรีของเบียร์ ตัวเลขที่สมควรอยู่ที่ระดับ 700 บาทต่อลิตรแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ หรือ 7 บาทต่อดีกรี ต่อขวดขนาดบรรจุ 630 มิลลิลิตร ส่วนเบียร์อีโคโนมีมากกว่า 27.50 บาท ซึ่งปัจจุบันเบียร์อีโคโนมีอย่างลีโอ จ่ายภาษีในเชิงมูลค่าให้ภาครัฐ ร้อยละ 60
นายปิติ ยังอธิบายถึงการใช้ภาษีตามดีกรีด้วยว่า นอกจากจะเป็นไปตามหลักทางสากลแล้ว ยังจะช่วยให้ผู้ผลิตหันมาผลิตเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ต่ำลง เพื่อจ่ายภาษีให้ถูกลง และเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภค อีกทั้งการจัดเก็บก็ยังโปร่งใส ไม่เหมือนการจัดเก็บในเชิงมูลค่า และสามารถขยายเพิ่มได้ทันทีโดยไม่ต้องไปแก้กฎหมาย หากยังใช้ดุลยพินิจคิดราคาต้นทุนมาให้ สุดท้ายทางการอาจถูกฟ้องร้องเหมือนที่เคยเกิดขึ้นกรณีบุหรี่มาแล้ว
พร้อมกันนี้ นายปิติ ยังระบุว่า สำหรับโครงสร้างเบียร์ในปัจจุบันนั้น แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ อีโคโนมี, สแตนดาร์ด และพรีเมียม ในการปรับภาษีเบียร์จากร้อยละ 55 เป็นเต็มเพดานร้อยละ 60 ครั้งล่าสุด ในเดือนพฤษภาคม ปี 2552 ภาษีของเบียร์สแตนดาร์ดห่างจากอีโคโนมี ขวดละ 7.50 บาท ขณะที่ภาษีเบียร์พรีเมียมต่างจากสแตนดาร์ด เพียง 1 บาท ซึ่งถือว่าไม่สะท้อนราคาขายปลีกที่แท้จริงในท้องตลาด
อย่างไรก็ดี นายปิติ ได้กล่าวถึงการปรับโครงสร้างภาษีอีกว่า หากปรับโครงสร้างเป็นแบบดีกรี นอกจากจะได้ภาษีในจำนวนที่เพิ่มขึ้นแล้ว ยังเป็นการปกป้องอุตสาหกรรมประเทศได้ เพราะต่อไปจะมีวอดก้า วิสกี้ และเบียร์ ราคาถูก จากต่างประเทศเข้ามาขายในประเทศไทย อย่างเช่น เบียร์จีนที่มีต้นทุนเพียง 5 บาท เท่านั้น ซึ่งถ้าไม่ปรับโครงสร้างไปใช้ตามดีกรี ประเทศไทยก็จะเสียเปรียบต่างชาติเป็นอย่างมาก
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก







