ดราม่า! บิณฑ์ - หมอ โพสต์เฟซบุ๊กเดือด ปมสาวท้องตายทั้งกลม




เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก เฟซบุ๊ก บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์

          เป็นประเด็นฮอตที่ถูกพูดถึงอย่างมากในโลกออนไลน์ขณะนี้ สำหรับกรณีที่ นางกัลยาณี สำรวย ได้เดินทางมาคลอดลูกที่โรงพยาบาลลำลูกกา เมื่อวันเสาร์ที่ 8 กันยายน ที่ผ่านมา แต่เสียชีวิตระหว่างทำคลอด โดยแพทย์ระบุว่า น้ำคร่ำในครรภ์นั้นได้เข้ากระแสเลือด ตามที่ได้นำเสนอข่าวไปแล้วนั้น ถึงแม้ว่าทางแพทย์จะระบุยืนยันถึงสาเหตุการเสียชีวิตแล้ว แต่บนโลกออนไลน์ต่างพากันถกเถียงเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะประเด็นที่ บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ นักแสดงและเจ้าหน้าที่ร่วมกตัญญู ได้โพสต์แสดงความคิดเห็นถึงกรณีดังกล่าวก่อนหน้านี้

          โดย บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊ก บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ โดยระบุว่า...

          "น่าอนาถใจมากครับ..สุภาพสตรีท่านนี้ปวดท้องอย่างแรง เพราะต้องการจะคลอด เลยมาที่โรงพยาบาลที่ตัวเองฝากท้อง แต่หมอนัดวันที่ 14 คือวันคลอดแต่ตัวเองเกิดปวดแบบทรมานมาก อยากจะคลอดเพราะปากมดลูกเปิด และน้ำคร่ำก็เดิน แต่เมื่อมาถึงโรงพยาบาลห้องคลอดก็ไม่มี ทำให้หมอต้องพาไปอีกโรงพยาบาล แต่ทั้งนี้ระหว่างทางความปวดทำให้เธอช็อคจนขาดใจ ซึ่งหมอก็พยายามปั๊มหัวใจให้ตลอดทาง เธอกัดลิ้นตัวเองเพราะความปวด และเธอได้สิ้นใจในเวลาต่อมา ระหว่างการนำส่งโรงพยาบาลอีกแห่งหนึ่ง เพื่อที่จะผ่าเอาลูกออกให้ทันการแต่เมื่อไปถึงนิติเวชหมอทำการผ่าท้องทันทีครับ... แต่มันสายไปแล้วครับ เด็กตัวน้อย ๆ ที่จะออกมาดูโลกใบนี้ต้องเสียชีวิตโดยเขาไม่รู้เรื่องอะไรด้วยเลย เด็กสมบูรณ์มากครับ ทุกอย่างปกติ น่าเสียดายครับ ถ้าหมอที่โรงพยาบาลที่ฝากท้องนึกถึงความเป็นความตายก็คงไม่เกิดขึ้นเรื่องแบบนี้ เรื่องเกิดเมื่อตอนสาย ๆ วันนี้ (9 กันยายน) ครับ ขอให้แม่และลูกไปสู่สุขตินะครับ..สงสารจัง"

          ทั้งนี้ จากข้อความดังกล่าว ทางด้านเฟซบุ๊ก Solos Jaturapisanukul ก็ได้โพสต์ข้อความ เพื่อให้ชาวเน็ตช่วยแชร์ข้อมูลที่ถูกต้อง เนื่องจากตอนนี้มีกระแสวิพากษ์วิจารณ์ต่าง ๆ นานา ถึงการทำงานของแพทย์ สืบเนื่องจากข้อความที่ บิณฑ์ บันลือฤทธิ์ ได้แชร์ไว้ก่อนหน้านี้ โดยระบุว่า...

          "ช่วย ๆ กันแชร์หน่อยนะครับ เนื่องจากคุณบิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ ได้ข้อมูลมาผิด ๆ โดยแพทย์เวรท่านนั้นเป็นเพื่อนร่วมรุ่นของพวกเราเอง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคือผู้ป่วยนํ้าเดินก่อนมาโรงพยาบาลระหว่างที่กําลังเปลี่ยนเสื้อเพื่อนอนโรงพยาบาล ผู้ป่วยมีอาการเขียวจากภาวะนํ้าครํ่าเข้ากระแสเลือด เป็นภาวะที่ไม่สามารถคาดเดา หรือป้องกันได้ แพทย์เวรได้ใส่ท่อช่วยหายใจและปั๊มจนขึ้น และขึ้นไปส่งต่อบนรถรีเฟอร์ด้วยตัวเอง แต่ผู้ป่วยก็หัวใจหยุดเต้นก่อนจะถึง รพ.ที่รับส่งต่อ

          ขอชี้แจงเรื่องความเข้าใจผิดดังนี้...

          1) ห้องคลอดไม่มีเต็ม ปกติถ้าคลอดเสร็จเราจะย้ายไปอยู่ห้องหลังคลอด ดังนั้นการส่งต่อเพื่อไปโรงพยาบาลอื่น เพราะอย่างเดียวเท่านั้น คือผู้ป่วยมีภาวะฉุกเฉินระหว่างตั้งครรภ์จําเป็นต้องได้รับการรักษาโดยแพทย์เฉพาะทาง

          2) ไม่มีผู้ป่วยรายไหนเจ็บครรภ์คลอดจนขาดใจหรือกัดลิ้นตัวเองเพราะความเจ็บปวด ยาแก้ปวดทั่วไปก็หายเจ็บครรภ์แล้ว บาดแผลที่ลิ้นเกิดจากการพยายามช่วยชีวิตด้วยใส่ท่อช่วยหายใจ โดยในผู้ป่วยรายนี้หัวใจหยุดเต้นตั้งแต่ก่อนขึ้นรถแล้ว จึงได้ต้องใส่ท่อช่วยหายใจ ปั๊มหัวใจครับ

          3) ภาวะนํ้าครํ่าเข้ากระแสเลือดเป็นภาวะที่ไม่สามารถป้องกันได้ หรือคาดเดาได้ มีอัตราการเสียชีวิตสูงแม้ในประเทศที่พัฒนาแล้วในรายนี้แม้จะปั้มจนขึ้น แต่ก็มีโอกาสที่กลับไปหัวใจหยุดเต้นได้ในไม่นาน

          4) ถ้าแพทย์เวรท่านนั้นไม่ได้ห่วงความเป็นความตายผู้ป่วย ก็คงไม่ได้ขึ้นรถส่งต่อด้วยตัวเอง ขึ้นปั้มหัวใจให้ตลอดทางหรอกครับ


          ผมไม่รู้ว่าเกิดความเข้าใจผิดอะไรกันยังไง แต่ว่าควรตรวจสอบข่าวให้ดีก่อนให้ข้อมูลครับ"

          อย่างไรก็ดี เมื่อคุณ Solos Jaturapisanukul ได้โพสต์ข้อความดังกล่าวไป ก็เกิดกระแสวิจารณ์มากมายเช่นกัน โดยบางคนสงสัยว่า ทำไมต้องโพสต์ ด้านบิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ ก็ได้โพสต์ข้อความชี้แจงอีกครั้งว่า...



          "เพื่อน ๆ ครับผมขอชี้แจงกับผู้ที่จะให้ผมรับผิดชอบกับการที่ผมโพสต์เรื่องราวของแม่ลูกที่น่าสงสารหน่อยนะครับ ...คำทุกคำพูดมาจากปากผู้เป็นสามี อยากรู้คำตอบว่าทำไมโรงพยาบาลไม่ทำคลอดให้เมียเขา เพราะเมียเขาปวดท้องมาก มิหนำซ้ำยังให้เขากลับบ้าน แล้วบอกว่าไม่ต้องห่วงถึงหมอแล้วสบายใจได้ โดยหมอบอกว่าให้กลับไปตั้งชื่อลูกมาได้เลย แล้วก็ยังบอกว่าให้ซื้อผ้าอ้อมไว้ด้วย แต่ตอนนั้นสามีก็อยากอยู่กับภรรยา แต่ในเมื่อหมอบอกเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าไม่ต้องห่วง เขาก็กลับบ้าน แล้วอยู่โทรมาบอกว่าภรรยาคุณเป็นลม ต้องส่งไปที่โรงพยาบาลอื่นเพราะที่นี้ไม่มีห้องผ่าตัด แต่มีห้องคลอด แต่ไม่ว่าง ให้สามีไปหาภรรยาคุณได้ที่โรงพยาบาลนพรัตน์ แต่เมื่อเขามาถึง หมอมาบอกเขาว่า ภรรยาคุณสิ้นใจแล้วระหว่างทาง

          ทั้งนี้ ทางโรงพยาบาลนพรัตน์ ก็ไม่ได้ช่วยหรือทำอะไร แล้วก็ให้ร่วมกตัญญูนำศพไปผ่าที่ นิติเวชโรงพยาบาลตำรวจ จนกระทั่งเสียชีวิตทั้งแม่ทั้งลูก ผมถามหน่อยครับมันเกิดอะไรขึ้นครับกับครอบครัวนี้ครับ ทำไมครับโกรธผมเหรอครับที่ผมเอามาให้กับเพื่อน ๆ ผมได้อ่านความจริงที่อยู่ในสังคมไทย  มีคำนึงที่สามีพูดขึ้นมาว่า ทำไมเหรอครับ เพราะว่าผมใช้บัตร 30 บาทหรือ ถึงไม่ทำคลอดให้ภรรยาผม พวกที่ว่าผมพวกคุณอย่าเอาวิชาการมาพูดกับผม บ้างเรื่องมันต้องใช้ความรู้สึกต้องใช้สมองอย่าเห็นแก่ได้ คนจนที่เขาลำบากเขาก็คน ผมเองไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรด้วยแต่ที่ผมต้องมายุ่งเพราะผมเป็นคนขี้สงสารคนยิ่งคนที่เป็นคนจน ๆ แล้วไม่มีทางออก ไม่ได้รับความยุติธรรมจากสังคม ผมก็เลยอยากให้เป็นอุทาหรณ์ กับหลาย ๆ โรงพยาบาลผมรับผิดชอบทุกคำพูดครับ คนอย่างผมลูกผู้ชายครับ เพราะทุกคำพูดมาจากสามีผู้ที่สูญเสีย ผมเองก็เพิ่งกับมาจากงานศพแม่กับลูก ก็ไม่เห็นจะมีหมอหรือพยาบาลมางานศพเขาเลย ผมไม่ใช่ญาติผมก็ไปยังช่วยเงินไปตั้ง 15,000 แนะครับ"

          ยังไม่จบเพียงเท่านี้ ทางเฟซบุ๊ก Vcharkarn Dot Com ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับกระแสที่วิพากษ์วิจารณ์ดังกล่าว โดยระบุว่า....

          "จากกรณีที่คุณบิณฑ์โพสต์ภาพและเหตุการณ์สุภาพสตรีและลูกที่เสียชีวิตระหว่างคลอด เนื่องจากนำเสนอด้วยภาพที่สะเทือนอารมณ์ ผลตอบสนองจึงค่อนข้างรุนแรง ทั้งฝ่ายที่ออกมาด่าโรงพยาบาล และอีกฝ่ายที่ออกมาโต้เถียงแทนโรงพยาบาล จนเรื่องราวค่อนข้างจะบานปลายทีเดียว และเมื่อนำข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ มาเรียบเรียงเพื่อให้เห็นภาพว่า เหตุการณ์เป็นอย่างไร พอจะเรียบเรียงได้ดังนี้ครับ

          จากปากคำของสามีผู้ตาย บอกว่าภรรยาปวดท้องคลอดจึงเดินทางไปยังโรงพยาบาลลำลูกกาซึ่งฝากครรภ์ไว้ ต่อมาได้รับแจ้งว่า ภรรยามีอาการเป็นลม ต้องส่งต่อไปยังไปยังโรงพยาบาลนพรัตน์ และได้รับแจ้งอีกครั้งว่าภรรยาแต่เสียชีวิตให้กลับไปยังโรงพยาบาลลำลูกกา เมื่อกลับมาถึงก็พบว่าภรรยาและลูกเสียชีวิตแล้ว จึงแจ้งความและมีหน่วยกู้ภัยนำศพไปชันสูตรที่โรงพยาบาลตำรวจ ได้ผลว่าเสียชีวิตเพราะ "ขาดอาการหายใจ ติดเชื้อในกระแสเลือด"

          คุณบิณฑ์ โพสต์ภาพและข้อความทางเฟซบุ๊กบอกว่า ผู้ตายไปโรงพยาบาลแต่ไม่มีห้องคลอดให้ และถูกย้ายไปอีกโรงพยาบาล จนเสียชีวิตเพราะช็อกจากความเจ็บปวด มีร่องรอยการกัดลิ้นจากความเจ็บปวดและเชื่อว่าทางโรงพยาบาลไม่ยอมทำคลอดให้จนเด็กและแม่เสียชีวิต เพราะเห็นว่าเป็นคนจน ใช้บัตร 30 บาท มารักษา

          ทางผู้เกี่ยวข้องกับโรงพยาบาล อธิบายว่า โรงพยาบาลมีห้องคลอด แต่ระหว่างที่คนไข้เปลี่ยนเสื้อเพื่อนอนโรงพยาบาล เกิดอาการตัวเขียวขึ้นแบบเฉียบพลัน จึงไม่สามารถทำคลอดได้ สันนิษฐานว่าผู้ป่วยเกิดภาวะน้ำคร่ำอุดหลอดเลือด (amniotic fluid embolism) ซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง เกิดจากเนื้อเยื่อของทารกหลุดเข้าไปในกระแสเลือดของแม่ ทำให้เกิดอาการแพ้อย่างรุนแรงและหัวใจหยุดเต้น เป็นภาวะที่คาดเดาไม่ได้ว่าจะเกิดขึ้น ซึ่งเกินขีดความสามารถของโรงพยาบาล จึงต้องย้ายไปให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจัดการและแพทย์ได้พยายามช่วยเหลือเบื้องต้น ทั้งปั๊มหัวใจ จากนั้นจึงส่งขึ้นรถและคอยดูแลอยู่บนรถ แผลที่ลิ้นไม่ได้เกิดจากการกัดลิ้น แต่เกิดจากการสอดท่อต่าง ๆ ทางปากเพื่อช่วยเหลือแต่คนไข้เสียชีวิตระหว่างเดินทาง เมื่อไปถึงปลายทางก็ผ่าท้องเอาเด็กออกแต่เด็กก็เสียชีวิตเช่นกัน

          ข้อกังขาที่คุณบิณฑ์ตั้งคำถามและจุดประเด็นไว้คือ "ทำไมไม่ทำคลอดให้คนไข้" ทั้งที่ใกล้คลอดมาก ๆ แล้ว ซึ่งคำตอบเบื้องต้นคือทางโรงพยาบาลเตรียมทำคลอดทุกอย่างแล้ว แต่เกิดเหตุฉุกเฉินขึ้น คนไข้เกิดภาวะน้ำคร่ำอุดหลอดเลือด หัวใจวาย จึงปั๊มหัวใจและส่งให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่โรงพยาบาลอื่น ฉะนั้น จึงไม่ใช่ไม่ยอมทำคลอด แต่ในสภาวะนั้นทำคลอดไม่ได้ มันเกินความสามารถ

          ณ ตอนนี้เรายังไม่มีหลักฐานอะไรมากไปกว่าถ้อยคำของทั้ง 3 ฝ่าย ซึ่งเป็นการบอกเล่าจากมุมมองของตัวเองเป็นหลัก รายละเอียดข้อมูลชันสูตรก็ยังไม่มีใครทราบ มีเพียงประโยคเดียวจากปากคำของสามีผู้ตายส่วนข้อมูลจากทางโรงพยาบาลที่รับฝากครรภ์โดยตรง ก็ยังไม่สามารถติดต่อได้ หน่วยกู้ภัยเข้ามาเกี่ยวตอนไหนก็ยังไม่แน่ชัด แต่สามีผู้ตายบอกว่า ได้แจ้งความและมีหน่วยกู้ภัยเข้ามา นั่นหมายถึงหน่วยกู้ภัยเข้ามาหลังจากผู้ตายและลูกเสียชีวิตแล้ว ?

          ส่วนคุณบิณฑ์บอกว่า เดินทางจากลำลูกกาไปถึงนิติเวช แต่ผ่าช่วยเด็กไม่ทัน ทั้งที่ตอนนั้นน่าเด็กน่าจะเสียชีวิตตั้งแต่ก่อนเดินทางไปหานิติเวชแล้ว ? นิติเวชน่าจะผ่าชันสูตรเท่านั้น ที่จริงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอะไรเป็นอะไรก็ยังไม่แน่ชัด แต่อ่านคอมเมนท์กลับเต็มไปด้วยการประณาม ด่าทอ...

          ด่าโรงพยาบาลที่รับฝากครรภ์ว่าเห็นแก่เงิน ทั้งที่เค้าอาจรักษาไม่ได้ก็เลยส่งต่อ
          ด่าโรงพยาบาลที่รับช่วงต่อ ทั้งที่ผู้ตายเสียชีวิตมาก่อนถึง
          ด่าโรงพยาบาลที่ชันสูตรศพ ทั้งที่หน้าที่เค้าคือตรวจสอบ
          ด่าคุณบิณฑ์ว่าสร้างกระแส
          ด่า
          ด่า
          ด่าเหมือนจะเอาความสะใจเป็นหลัก

          ตกลงเราต้องการอะไรกันแน่ ?

          เรื่องนี้เป็นเรื่องน่าเศร้า เป็นเรื่องสะเทือนจิตใจ แต่เพราะอย่างนั้นก็เลยยิ่งต้องใช้สติในการพิจารณาใช่หรือไม่ ? ส่วนตัวแล้วยังไม่ตัดสินว่าใครถูกใครผิด หรือประณามใคร จนกว่าข้อเท็จจริงจะปรากฏชัดเจน

          ขอแสดงความเสียใจกับสามีผู้ตายครับ"


เรื่องน่าสนใจอื่นๆ
เรื่องที่คุณอาจสนใจ
ดราม่า! บิณฑ์ - หมอ โพสต์เฟซบุ๊กเดือด ปมสาวท้องตายทั้งกลม โพสต์เมื่อ 11 กันยายน 2555 เวลา 17:19:49 16,742 อ่าน
TOP
x close