ดีเบตปธน.โอบามาชนะรอมนีย์ (ไทยโพสต์)
ดีเบตรอบสุดท้ายศึกชิงทำเนียบขาวโอบามารุกหนัก ชี้ตัวแทนรีพับลิกันมั่วไปทั่วแผนที่โลก แถมโหยหาสงครามเย็น ด้านผู้ท้าชิงตั้งการ์ดไม่ยอมออกหมัด ไม่วายวกกลับเข้าโจมตีเรื่องเศรษฐกิจ ผลโพลทุกสำนักให้ตัวแทนจากเดโมแครตชนะ แต่รอมนีย์ผ่านการทดสอบบทบาทผู้นำทหารสูงสุด
ศึกการโต้วาทีในการหาเสียงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ระหว่างบารัก โอบามา ประธานาธิบดี ตัวแทนจากพรรคเดโมแครต และมิตต์ รอมนีย์ ผู้ว่าการมลรัฐแมสซาชูเซตส์ตัวแทนจากพรรครีพับลิกัน รอบที่ 3 ซึ่งเป็นรอบสุดท้าย ในหัวข้อนโยบายด้านการต่างประเทศ จัดขึ้นที่มหาวิทยาลัยลินน์ เมืองโบคาราตอน มลรัฐฟลอริดา มีบ็อบ ชิฟเฟอร์ จากสถานีโทรทัศน์ซีบีเอส เป็นผู้ดำเนินรายการ โดยขณะนี้เหลือเวลาอีกเพียง 2 สัปดาห์ก็จะถึงวันลงคะแนน
โอบามากล่าวว่า เข้าใจว่าคู่แข่งไม่เคยมีประสบการณ์ในนโยบายด้านการต่างประเทศ แต่เมื่อถึงเวลาที่ต้องเสนอความคิดเห็น รอมนีย์มักจะแสดงอะไรผิดพลาดออกมาเสมอ รอมนีย์ขาดความคิดดี ๆ ในประเด็นตะวันออกกลาง และตัวแทนจากรีพับลิกันกำลังต้องการให้สหรัฐกับไปสู่ยุคสงครามเย็น หลังจากรอมนีย์เคยกล่าวว่ารัสเซียเป็นอริในด้านภูมิศาสตร์ทางการเมือง และความมุ่งมั่นของรอมนีย์ที่จะมีนโยบายเศรษฐกิจต่อจีนที่แข็งกร้าวขึ้น
"ในทุก ๆ ประเด็นที่ว่ามา ไม่ว่าจะเป็นตะวันออกกลาง อัฟกานิสถาน อิรัก หรืออิหร่าน คุณหลงประเด็นและมั่วไปทั่วแผนที่โลก" โอบามายังกล่าวตอบโต้กรณีรอมนีย์ระบุว่ากองทัพเรือสหรัฐมีจำนวนเรือน้อยกว่าครั้งใดนับตั้งแต่ ค.ศ.1917 ว่า "ม้าและดาบปลายปืนเราก็มีน้อยลงเช่นกัน ดูเหมือนท่านผู้ว่าการรัฐจะค่อนข้างล้าหลัง ขณะนี้เรามีเรือบรรทุกเครื่องบิน เครื่องบินสามารถบินขึ้นลงได้ เรามีเรือที่ดำลงไปใต้น้ำได้ หรือเรือดำนำนิวเคลียร์"
ด้านรอมนีย์ค่อนข้างจะรัดกุมและหลีกเลี่ยงที่จะพูดอะไรที่ผิดพลาดออกมา เพราะอาจส่งผลเสียต่อการอ้างว่าตนสามารถเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดของสหรัฐได้ โดยกล่าวว่า การโจมตีตนไม่ใช่วาระของการโต้วาที และว่าโอบามาไม่มีนโยบายที่ดีพอสำหรับการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีเป็นครั้งที่สอง
ในประเด็นอิสราเอล รอมนีย์บอกว่า ประธานาธิบดีโอบามาไม่ไยดีกับพันธมิตรสำคัญประเทศนี้ โดยไม่เดินทางไปเยือนเลยนับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งเมื่อ 4 ปีที่แล้ว แต่ในประเด็นความเป็นไปได้ที่อิสราเอลจะถูกโจมตีจากอิหร่านนั้น ทั้งคู่ต่างให้คำมั่นว่าจะปกป้องอิสราเอล และจะมีมาตรการที่เข้มข้นต่อต้านการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ของอิหร่าน
รอมนีย์หยิบประเด็นการโจมตีสถานกงสุลสหรัฐในลิเบียเป็นเหตุให้ทูตและเจ้าหน้าที่อเมริกัน 4 คนเสียชีวิตมาข่มโอบามาว่าอ่อนเชิง รวมทั้งการจัดการปัญหาความวุ่นวายในตะวันออกกลาง และแอฟริกาเหนือได้ไม่ดี เป็นช่องให้กลุ่มอัลกออิดะฮ์ยังก่อเหตุเป็นประจำ และว่าต้องมีกลยุทธ์ที่รุกกลับเพื่อให้โลกทั้งโลกต่อต้านกองกำลังญิฮาด
อย่างไรก็ตาม ตัวแทนจากพรรครีพับลิกันค่อนข้างจะรัดกุมและหลีกเลี่ยงที่จะพูดอะไรที่ผิดพลาดออกมาเหมือนตอนเดินสายไปยังประเทศต่างๆ ก่อนหน้านี้ เพราะอาจส่งผลเสียต่อการอ้างว่าตนสามารถเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดของสหรัฐได้
ในช่วงปิดการโต้วาทีรอมนีย์กล่าวว่า "การบริหารของโอบามาทำให้มีชาวเมริกัน 20 ล้านคนไม่มีงานดี ๆ ทำ ผมจะทำให้ประชาชน 12 ล้านคนกลับมามีงานทำ"
ผลโพลหลังการโต้วาทีของซีบีเอสให้โอบามาชนะรอมนีย์ด้วยคะแนน 53 ต่อ 23 เปอร์เซ็นต์ โดย 24 เปอร์เซ็นต์ให้เสมอกัน ส่วนโพลของซีเอ็นเอ็นให้โอบามาชนะ 48 ต่อ 40 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่มีถึง 60 เปอร์เซ็นต์เชื่อว่ารอมนีย์มีดีพอที่จะเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด ซึ่งเป็นประเด็นที่ทีมที่ปรึกษาของเขากำหนดขึ้น ทว่าในกลุ่มของเด็กอเมริกันที่ยังไม่มีสิทธิ์ลงคะแนนเทเสียงให้กับโอบามาถึง 65 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งนับตั้งแต่การเลือกตั้งเมื่อปี ค.ศ.1988 ผลการเลือกตั้งเป็นไปตามความต้องการของเยาวชนกลุ่มนี้ ยกเว้นครั้งเดียวคือการเลือกตั้งในปีค.ศ.2004 ที่จอร์จ บุช ผู้ลูกเอาชนะ จอห์น เคอร์รี จากพรรคเดโมแครตไปได้
ด็อตตี ลินช์ ศาสตราจารย์ด้านการสื่อสารสาธารณะแห่งมหาวิทยาลัยอเมริกัน เห็นด้วยกับนโยบายด้านการต่างประเทศของประธานาธิบดีโอบามา และว่ารอมนีย์เอาแต่เฉไฉไปสู่ประเด็นเศรษฐกิจที่เขาถนัด
อย่างไรก็ตาม การโต้วาทีในหัวข้อการต่างประเทศมีผลต่อการรณรงค์หาเสียงน้อยกว่าประเด็นทางเศรษฐกิจ และไม่เป็นที่แน่ชัดว่าจะมีผลต่อคะแนนการเลือกตั้งหรือไม่ โดยเฉพาะผู้โหวตของซีเอ็นเอ็นที่ส่วนมากบอกว่าการโต้วาทีไม่มีผลต่อการลงคะแนนในวันที่ 6 พฤศจิกายน ทั้งนี้ รอมนีย์ทำได้ดีในการโต้วาทีรอบแรก แต่เพลี่ยงพล้ำใน 2 ครั้งถัดมา อย่างไรก็ตามคะแนนนิยมรวมของทั้งคู่ขณะนี้ไม่ได้ต่างกันมากนัก
ขอขอบคุณข้อมูลจาก







