ต้น...อดีตขอทานผู้พิการ กับเส้นทางเดินใหม่ที่เปลี่ยนชีวิต







เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก รายการคนค้นฅน ทีวีบูรพา

          คนต่างด้าวจำนวนมากพยายามลักลอบเข้าเมืองไทย เพราะปรารถนาจะมีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่า... "ต้น" ทิน บุญมี หนุ่มชาวเขมร ผู้ซึ่งพิการด้วยโรคโปลิโอ ก็ไม่ต่างจากคนอื่น แม่ของต้นพาเขาลักลอบเข้ามาในเมืองไทยอย่างผิดกฎหมายตั้งแต่เขามีอายุได้เพียง 3 ขวบ และพามานั่งขอทานตามสะพานลอย ตามคำบอกเล่าของเพื่อนชาวเขมรที่พูดต่อกันว่า "การมาทำงานในเมืองไทยนั้นรายได้ดี"

          และดูเหมือนว่าคำพูดเหล่านั้นไม่ใช่เรื่องเกินจริงแต่อย่างใด เพราะความน่าสงสารของเด็กชายวัย 3 ขวบ ที่อยู่ในสภาพขาลีบ เดินไม่ได้ ยิ่งทำให้คนรู้สึกสงสารได้ง่าย ในช่วงนั้น "ต้น" และแม่ ขอทานได้เงินไม่ต่ำกว่าวันละ 500 บาท และยึดอาชีพนั้นมาตลอดจนเวลาผ่านไปร่วมยี่สิบปี ก่อนที่ผู้เป็นแม่จะได้ทำงานเป็นแม่บ้านในสถานที่แห่งหนึ่ง ซึ่งนายจ้างก็เอ็นดู พาแม่และต้นไปทำบัตรต่างด้าว เพื่อจะได้ทำงานอยู่ในเมืองไทยได้อย่างถูกกฎหมาย แต่ทว่า... ต้น ก็ยังคงนั่งขอทานตามสะพานลอยเหมือนเดิม เพราะเห็นว่าตัวเองพิการ คงไม่สามารถไปทำงานอื่นได้








          ตลอดยี่สิบปีที่หนุ่มพิการตระเวนขอทาน สิ่งหนึ่งที่เขาจะทำเสมอทุกครั้งจนเป็นนิสัยติดตัวไปแล้วก็คือ เมื่อมีผู้ใจบุญโยนเหรียญลงขันให้ต้น ต้นจะหยิบเหรียญด้านที่มีในหลวงขึ้นมา และขอบคุณทุกครั้งที่ได้อาศัยอยู่ในแผ่นดินของท่าน และทำให้เขาได้มีเงินเลี้ยงครอบครัว

          จนกระทั่งวันหนึ่ง เมื่ออายุเริ่มมากขึ้น "ต้น" คิดได้ว่าควรจะหาอาชีพอื่นทำสักที เพราะการนั่งแบมือขอเงินจากผู้อื่นเช่นนี้เป็นอาชีพที่ไร้ซึ่งศักดิ์ศรี เขาจึงพยายามเก็บเงิน แต่ทว่าการต้องเลี้ยงดูคนในครอบครัวหลายชีวิตนั้น ต้องเสียค่าใช้จ่ายมาก ทำให้เขาไม่สามารถเก็บเงินถึงหลักพันได้เสียที และเขาก็ได้อธิษฐานทุกคืนในขณะที่ก้มลงกราบพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ว่า หากมีใครสักคนให้เงินเขามาทำทุน เขาสัญญาว่าจะเลิกเป็นขอทานอย่างเด็ดขาด และจะหันไปประกอบอาชีพที่มีศักดิ์ศรีมากกว่านี้ โดยไม่กลับมาประกอบอาชีพขอทานอีก

          และแล้วโอกาสของ "ต้น" ก็มาถึง เมื่อวันหนึ่ง ขณะที่ "ต้น" กำลังคลานขอเงินอยู่ที่สี่แยกไฟแดง "พี่เจี๊ยบ" ชายผู้ใจดีที่เคยให้เงินเขาอยู่เสมอ ๆ ได้เอ่ยปากถามเขาด้วยความเป็นห่วงว่า "น้อง...เหนื่อยไหม...น้อง...อายไหม...ถ้าพี่จะให้เงินน้อง น้องสัญญาได้ไหมว่าจะเลิก"... หลังจากคำถามนั้นสิ้นสุดลง "ต้น" ได้ตอบตกลงอย่างไม่ต้องคิดว่า "เลิกครับ" เพราะนั่นเป็นสิ่งที่เขาตั้งใจไว้อยู่แล้ว

          "วันนั้นพี่เจี๊ยบให้เงินผมสองพัน ผมก้มลงกราบเท้าพี่เขาวันนั้นเลย ตลอดชีวิตที่ขอทานมา ไม่เคยมีใครพูดดี ๆ หรือถามเขาว่าเหนื่อยไหมแบบนี้มาก่อนเลย มีแต่พี่เจี๊ยบคนนี้คนเดียว นับตั้งแต่นั้น ผมก็ไม่ใช่เด็กขอทานอีกต่อไปแล้ว" ต้น เล่าให้ฟังด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้น และร้องไห้กับความซาบซึ้งใจที่มีให้กับพี่เจี๊ยบ แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า พี่เจี๊ยบผู้ใจดีคนนั้นได้เสียชีวิตไปแล้ว ซึ่งต้นก็ไม่เคยลืมบุญคุณ ยังได้ไปรับศพพี่เจี๊ยบด้วย

          หลังจากได้เงินสองพันมาแล้ว ต้น ก็นำเงินนั้น
ไปลงทุนซื้อน้ำส้มขวดมาขายตามสี่แยกไฟแดงแทนการคลานขอทานที่เขาทำมาตลอดยี่สิบกว่าปี จากเงินสองพันบาทวันนั้น ได้เปลี่ยนชีวิตที่อยู่อย่างไร้ศักดิ์ศรีของต้น ให้สามารถลุกขึ้นยืนและพูดได้เต็มปากว่า "ผมเป็นพ่อค้าครับ"





          ทุกวันจันทร์-เสาร์ "ต้น" จะออกจากบ้านมาเร่ขายน้ำส้มขวดละ 15 บาท กลางสี่แยกไฟแดง ซึ่งคนแถวนั้น บ้างก็สี่แยกนี้เรียกว่า "สี่แยกไปมีนบุรีตัดใหม่" บ้างก็เรียกว่า "สี่แยกบ้านสวนน้ำ" เพราะอยู่ตรงร้านอาหารบ้านสวนน้ำ แถวเกษตร-นวมินทร์ ช่วงใกล้ถึงถนนนวมินทร์ พอดี ซึ่งเขาทำเช่นนี้มาเป็นเวลา 4-5 ปีแล้ว แม้จะเหนื่อย จนบางวันก็ถึงกับเป็นลมล้มลงกับพื้นถนนเพราะไม่ได้กินข้าว แต่ "ต้น" ก็รู้ดีว่า ตัวเองจะท้อไม่ได้ เพราะเขาเป็นเสาหลักของครอบครัวที่ต้องเลี้ยงดูคนที่บ้านถึง 7 ชีวิต ทั้ง แม่ พ่อเลี้ยง ภรรยา ลูกวัย 7 เดือน และน้อง ๆ อีก 2 คน ที่กำลังเรียนอยู่ชั้น ม.1

          เงินทุกบาททุกสตางค์ที่ "ต้น" ได้จากการขายน้ำส้ม เขาจะมอบให้แม่ทั้งหมด ส่วนเงินที่ลูกค้าให้มาโดยไม่เอาเงินทอนนั้น "ต้น" จะมอบให้ภรรยาเพื่อไว้ใช้จ่าย และเลี้ยงดูลูกที่ทำให้ "ต้น" หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งทุกครั้งที่ได้เล่นกับแก้วตาดวงใจคนนี้

          ก่อนจะออกจากบ้าน สิ่งหนึ่งที่ "ต้น" ทำเป็นประจำก็คือ การก้มลงกราบพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระบรมราชินีนาถ เพื่อขอให้พระองค์ช่วยคุ้มครองให้เขากลับมาถึงบ้านอย่างปลอดภัย และยังกราบภาพลูกชายคนโตที่เสียชีวิตไปแล้วให้ช่วยคุ้มครองพ่อคนนี้ด้วย

          เมื่อออกจากบ้าน "ต้น" จะใช้ไม้เท้าคู่ใจช่วยพยุงให้เขาเดินไปข้างหน้าได้ พร้อมกับแบกถุงน้ำส้มจำนวนมาก ขึ้นรถสองแถวไปลงยังสี่แยกไฟแดงที่เขาทำมาหากินอยู่ทุกวัน บางวันต้องตากแดด ตากฝนอยู่นานสองนานกว่าจะขายน้ำส้มหมด แต่ "ต้น" ก็รู้สึกภูมิใจที่ตัวเองได้ทำมาหากินอย่างสุจริต และกอบกู้ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของตัวเองคืนมาจากอดีต

           "อาชีพเดิมที่เป็นขอทาน ทำให้ผมอาย ได้เงินมาก็ไม่มีความสุข แต่พอผมได้มาขายของ ผมมีความสุขมากกว่า เพราะผมดูเหมือนตัวเองมีราคาขึ้นนิดนึงครับ แม้จะเหนื่อยจะท้อก็ไม่เคยคิดจะกลับไปเป็นขอทานเหมือนเดิม" ต้น ให้คำมั่น






          อย่างไรก็ตาม ในวันอาทิตย์ที่ "ต้น" ไม่ได้ออกมาขายน้ำส้ม เขาก็ไม่ได้นอนเล่นอยู่ที่บ้าน หากแต่ออกมาพายเรือเก็บขวดไปชั่งกิโลขาย หารายได้พิเศษเข้าบ้านอีกทาง เพราะหากไม่ได้ออกมาขายน้ำส้มก็จะไม่มีเงินซื้อข้าวกิน แม้จะได้เงินเพียงวันละ 30-40 บาท แต่ก็พอซื้อข้าวทานได้มื้อหนึ่งก็ทำให้หนุ่มสู้ชีวิตคนนี้มีรอยยิ้มแล้ว

          "แค่ได้ขายน้ำส้มก็ดีใจแล้ว ยังดีกว่าไปนั่งขอตังค์ ใหม่ ๆ คนแถวนี้ไม่รู้ว่าผมไปขอทาน ผมอาย ไม่กล้าบอก แต่ตอนนี้เขารู้หมดแล้วครับ เขาก็พูดว่า ไม่น่าเชื่อนะว่าจากเด็กนอนขอตังค์ในที่แฉะ ๆ จะลุกขึ้นมาเดินขายน้ำส้ม ยืนขึ้นมาได้ มันทำให้ผมเปลี่ยนชีวิตไปเยอะจริง ๆ" ต้น พูดด้วยความภูมิใจ

          และในวันหนึ่งที่ "ต้น" ไม่ได้ขายของ เขาก็ได้เดินทางมากราบพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ที่โรงพยาบาลศิริราช พร้อมกับเผยความในใจด้วยน้ำตานองหน้าว่า

          "ที่อยากมาที่นี่ เพราะอยากจะมาขอบคุณท่าน เพราะประเทศนี้ให้ผมเติบโตมา แม่ผมบอกเสมอว่า ถ้าไม่มีประเทศนี้ ผมก็คงไม่ได้เติบโตมา แล้วสิ่งหนึ่งที่ผมจำไม่เคยลืมเลยก็คือ "พอเพียง" ที่พระองค์สอนมาตลอด ครอบครัวผมอยู่ได้ทุกวันนี้ก็เพราะคำว่า "พอเพียง" ครับ"...

          เรื่องราวชีวิตของ "ต้น" อดีตขอทานผู้ซึ่งพยายามถีบตัวเองให้ขึ้นมาจากจุดต่ำสุดแฝงไว้ด้วยแง่คิดมากมาย สิ่งที่สำคัญก็คือ ทำให้เราได้เห็นความพยายามของมนุษย์คนหนึ่ง ที่พยายามสร้างคุณค่าในชีวิตให้กับตัวเอง แม้เขาจะมีร่างกายไม่ครบ 32 แต่ก็ตั้งใจแน่วแน่ที่จะเลิกงอมืองอเท้า หันมาประกอบอาชีพสุจริตเลี้ยงตัวเอง และเขาก็ทำมันได้สำเร็จจริง ๆ...





ขอขอบคุณข้อมูลจาก




เรื่องน่าสนใจอื่นๆ
เรื่องที่คุณอาจสนใจ
ต้น...อดีตขอทานผู้พิการ กับเส้นทางเดินใหม่ที่เปลี่ยนชีวิต โพสต์เมื่อ 25 ตุลาคม 2555 เวลา 11:15:47 4,792 อ่าน
TOP
x close