ยื่นภาษี 2558 พร้อมวิธีคำนวณภาษี ใครยังไม่ได้ยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ปี 2558 ต้องมาเตรียมตัวกันหน่อย
แน่นอนว่าในทุก ๆ ปี คนไทยทุกคนจะต้องเสียภาษีให้กับกรมสรรพากร ซึ่งหากใครยังไม่ได้ยื่นภาษี วันนี้กระปุกดอทคอมจะมาแนะนำข้อมูลเกี่ยวกับการยื่นภาษี 2558 พร้อมวิธีคำนวณภาษี ลองไปอ่านกันเลยจ้า
หลายคนมักเข้าใจผิดว่า ถ้ามีเงินได้มากกว่าเดือนละ 20,000 บาท หรือมีเงินได้ต่อปีสูงกว่า 240,000 บาท จึงจะมีหน้าที่ยื่นเสียภาษี ซึ่งความเข้าใจนี้ไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องค่ะ เพราะกรมสรรพากรได้กำหนดให้คนที่มีเงินได้แม้มีเงินได้ไม่ถึงเกณฑ์ต้องเสีย ภาษี ก็ต้องมีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายได้ ในกรณีต่อไปนี้
แบบยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา มีด้วยกัน 2 แบบ คือ แบบ ภ.ง.ด.90 และ ภ.ง.ด.91 ดูง่าย ๆ ว่าใครจะยื่นแบบไหน คนมีเงินเดือน โบนัส ค่าครองชีพก็ยื่นแบบ ภ.ง.ด.91 ส่วนคนที่มีรายได้อื่น ๆ หรือมีทั้งเงินเดือนและรายได้อื่น ๆ ให้ยื่นแบบ ภ.ง.ด.90
- ดาวน์โหลดแบบฟอร์ม ภ.ง.ด. 90
- ดาวน์โหลดแบบฟอร์ม ภ.ง.ด. 91
สำหรับคนที่ต้องการยื่นภาษี สามารถยื่นแบบแสดงรายการภาษีผ่านทางอินเทอร์เน็ตได้เลย
ยื่นภาษีผ่านเน็ต
ยื่นภาษีผ่านเน็ต
ก่อนที่จะไปคำนวณภาษีกัน ผู้เสียภาษีควรทราบข้อมูลของค่าลดหย่อนต่าง ๆ เพื่อนำไปใช้ในการคำนวณภาษีด้วยเหมือนกัน โดยค่าลดหย่อนของผู้มีเงินได้จะสามารถหักอะไรได้บ้างลองมาดูกันเลยค่ะ
ก่อนยื่นภาษี อย่าลืมตรวจสอบเอกสารต่าง ๆ ให้ครบก่อนนะคะ เพราะจะทำให้มีความสะดวกรวดเร็วมากยิ่งขึ้น ในกรณีที่สรรพากรต้องการตรวจสอบเอกสาร จะได้จัดส่งได้โดยเร็วค่ะ โดยอาจมีเอกสารหลักฐานต่าง ๆ ตามนี้
ดาวน์โหลดหนังสือรับรองการหักลดหย่อนค่าอุปการะเลี้ยงดูบิดามารดา
ดาวน์โหลดหนังสือรับรองการหักลดหย่อนค่าอุปการะเลี้ยงดูคนพิการหรือทุพพลภาพ
ดาวน์โหลดหนังสือรับรองการเป็นผู้อุปการะเลี้ยงดูคนทุพพลภาพ

อย่างไรก็ตาม กรณีที่เราเลือกให้เงินปันผลนั้นยังไม่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย 10% เราจะต้องนำเงินปันผลที่ได้มารวมกับเงินได้ประจำปี เพื่อยื่นคำนวณภาษีด้วยค่ะ ดังนั้นต้องเก็บเอกสารจากกองทุนรวมที่จะส่งมาให้ไว้ให้ดี เพื่อยื่นแสดงหลักฐานต่อกรมสรรพากร
ทั้งนี้หากใครยื่นภาษีเป็นประจำทุกปี แล้วเคยยื่นเอกสาร อาทิ ทะเบียนสมรส สูติบัตรของบุตร หนังสือ รับรองการหักลดหย่อนค่าเลี้ยงดูบิดา-มารดา ฯลฯ ไปแล้ว ในปีต่อ ๆ ไป ทางสรรพากรอาจไม่เรียกตรวจเอกสารอีก แต่เตรียมพร้อมไว้ก่อนก็ดีนะคะ จะได้ไม่ล่าช้าหากถูกเรียกตรวจ
สำหรับใครที่ยังไม่ทราบว่า แบบภาษี ภ.ง.ด.90 กับ ภ.ง.ด.91 แตกต่างกันอย่างไร ก่อนจะไปคิดคำนวณภาษีกันลองมาทำความเข้าใจแบบง่าย ๆ กันก่อน เมื่อรูัแล้วก็ลองไปดูวิธีคิดภาษีกันได้เลย
ขั้นตอนที่ 1 นำรายได้ทั้งปีมาหักค่าใช้จ่ายส่วนตัว
นำรายได้ตลอดทั้งปีมาหักค่าใช้จ่าย แยกตามประเภทของรายได้ และหักลดหย่อนตามรายการต่าง ๆ เพื่อหารายได้สุทธิ
ตัวอย่างที่ 1
หากนาย A มีรายได้ทั้งปี 400,000 บาท จะต้องหักค่าใช้จ่ายเบื้องต้นดังนี้
จะเหลือรายได้สุทธิ 340,000 บาท
ขั้นตอนที่ 2 นำรายได้ที่เหลือมาหักค่าลดหย่อน
จากนั้น ลองสำรวจดูว่าเรามีค่าลดหย่อนอะไรบ้าง แล้วนำค่าลดหย่อนนั้นมาลบออกจาก 340,000 บาท
เช่น หากปีนี้ นาย A ซึ่งมีภรรยา 1 คน มีรายได้ไม่ถึง 30,000 บาท ทั้งคู่จดทะเบียนสมรสกันแล้ว แต่ไม่มีบุตร จ่ายประกันสังคมไป 9,000 บาท, มีบิดาอายุ 60 ปีขึ้นไปที่ต้องเลี้ยงดู 1 ท่าน, ซื้อ LTF ไป 50,000 บาท และยังมีค่าใช้จ่ายจากการท่องเที่ยวในประเทศ 10,000 บาท ก็สามารถนำค่าลดหย่อนทั้งหมดมาหักออกจาก 710,000 บาท ดังนี้
จะเหลือรายได้สุทธิ 181,000 บาท
ขั้นตอนที่ 3 นำรายได้สุทธิที่ได้ มาเทียบอัตราภาษี
ปัจจุบันใช้วิธีเสียภาษีแบบขั้นบันได ซึ่งอัตราภาษีในปี 2558 เป็นดังนี้
อัตราภาษีแบบขั้นบันได
รายได้ 0-150,000 ยกเว้นอัตราภาษี
รายได้ 150,001-300,000 บาท อัตราภาษี 5%
รายได้ 300,001-500,000 บาท อัตราภาษี 10%
รายได้ 500,001-750,000 บาท อัตราภาษี 15%
รายได้ 750,001-1,000,000 บาท อัตราภาษี 20%
รายได้ 1,000,001-2,000,000 บาท อัตราภาษี 25%
รายได้ 2,000,001-4,000,000 บาท อัตราภาษี 30%
รายได้ 4,000,000 บาทขึ้นไป อัตราภาษี 35%
กรณีของนาย A มีรายได้สุทธิอยู่ที่ 181,000 บาท เท่ากับต้องเสียภาษีในอัตราสูงสุดที่ 5% แต่ในจำนวนนี้ 150,000 บาทแรก ได้รับการยกเว้นภาษี จึงคงเหลือส่วนที่ต้องเสียภาษีอยู่ที่ (181,000-150,000) = 31,000 บาท ที่อัตรา 5% คิดเป็นเงินภาษี 1,550 บาท
ตัวอย่างที่ 2
นางสาวบี ยังไม่ได้แต่งงาน ทำงานมีรายได้รวมทั้งปี 600,000 บาท ส่งเงินสมทบประกันสังคม 9,000 บาท ซื้อประกันชีวิตไว้ 40,000 บาท ซื้อสินค้าในช่วงวันที่ 25-31 ธันวาคม 2558 เป็นเงิน 10,000 บาท คำนวณภาษีได้ดังนี้
หักค่าใช้จ่าย 40% ของเงินได้ (แต่ไม่เกิน 60,000 บาท) = 60,000 บาท
หักค่าลดหย่อนส่วนตัว 30,000 บาท
หักค่าประกันสังคม 9,000 บาท
หักค่าซื้อประกันชีวิต 40,000 บาท
หักค่าใช้จ่ายซื้อสินค้าและบริการ 10,000 บาท
จะเหลือรายได้สุทธิ 451,000 บาท
มีรายได้สุทธิอยู่ที่ 451,000 บาท เท่ากับต้องเสียภาษีในอัตราสูงสุดที่ 10% เราสามารถคำนวณภาษีแต่ละขั้นได้ดังนี้
150,000 บาทแรก ไม่เสียภาษี
จึงเหลือเงินที่ต้องไปคำนวณ (451,000-150,000) = 301,000 บาท
150,000 บาทต่อมา เสียภาษี 5% คิดเป็นเงิน 7,500 บาท
จึงเหลือเงินที่ต้องไปคำนวณ (301,000-150,000) = 151,000 บาท
เงินส่วนที่เหลือ 151,000 บาท นำมาคิดภาษีที่ฐาน 10% จะเท่ากับ 15,100 บาท
นำเงินภาษีแต่ละขั้นมารวมกัน (7,500+15,100) เท่ากับนางสาวบีต้องเสียภาษี 22,600 บาท
ไม่ยากเลยใช่ไหมคะ สำหรับวิธีคำนวณภาษีที่ต้องเสียในแต่ละปี หรือถ้าหากใครไม่อยากเสียเวลากับการนั่งคิดเลขที่ละตัว ก็สามารถใช้ตัวช่วยได้ค่ะ โดยดาวน์โหลดโปรแกรมได้ที่นี่
โปรแกรมคำนวณภาษี
กรณีของนาย A มีรายได้สุทธิอยู่ที่ 181,000 บาท เท่ากับต้องเสียภาษีในอัตราสูงสุดที่ 5% แต่ในจำนวนนี้ 150,000 บาทแรก ได้รับการยกเว้นภาษี จึงคงเหลือส่วนที่ต้องเสียภาษีอยู่ที่ (181,000-150,000) = 31,000 บาท ที่อัตรา 5% คิดเป็นเงินภาษี 1,550 บาท
ตัวอย่างที่ 2
นางสาวบี ยังไม่ได้แต่งงาน ทำงานมีรายได้รวมทั้งปี 600,000 บาท ส่งเงินสมทบประกันสังคม 9,000 บาท ซื้อประกันชีวิตไว้ 40,000 บาท ซื้อสินค้าในช่วงวันที่ 25-31 ธันวาคม 2558 เป็นเงิน 10,000 บาท คำนวณภาษีได้ดังนี้
จะเหลือรายได้สุทธิ 451,000 บาท
มีรายได้สุทธิอยู่ที่ 451,000 บาท เท่ากับต้องเสียภาษีในอัตราสูงสุดที่ 10% เราสามารถคำนวณภาษีแต่ละขั้นได้ดังนี้
จึงเหลือเงินที่ต้องไปคำนวณ (451,000-150,000) = 301,000 บาท
จึงเหลือเงินที่ต้องไปคำนวณ (301,000-150,000) = 151,000 บาท
นำเงินภาษีแต่ละขั้นมารวมกัน (7,500+15,100) เท่ากับนางสาวบีต้องเสียภาษี 22,600 บาท
ไม่ยากเลยใช่ไหมคะ สำหรับวิธีคำนวณภาษีที่ต้องเสียในแต่ละปี หรือถ้าหากใครไม่อยากเสียเวลากับการนั่งคิดเลขที่ละตัว ก็สามารถใช้ตัวช่วยได้ค่ะ โดยดาวน์โหลดโปรแกรมได้ที่นี่
โปรแกรมคำนวณภาษี
หลังจากยื่นเอกสารไปแล้ว 1 วันทำการ สามารถสอบถามข้อมูลการขอคืนภาษี ภ.ง.ด.90 และ ภ.ง.ด.91 ได้ที่เว็บไซต์กรมสรรพากร สอบถามข้อมูลการขอคืนภาษี
หลังจากนั้นอย่าลืมยื่นภาษีให้ ทันเวลาด้วยนะคะ โดยสามารถเริ่มยื่นแบบภาษีได้ตั้งแต่เดือนมกราคม-มีนาคม หรือเมษายน (ทางอินเทอร์เน็ต) ของทุกปี ยิ่งยื่นก่อนก็ยิ่งได้เงินคืนเร็วจ้า







