
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก @yoware
ทหารปฏิบัติการพิเศษ 3 นาย ให้การชันสูตรคดียิง 6 ศพวัดปทุมฯ ว่า มีการสั่งให้ใช้กระสุนจริงยิงเข้าวัด แต่ห้ามยิงเพื่อจุดมุ่งหมายต่อชีวิต
เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2556 ที่ผ่านมา มีการไต่สวนคำร้องชันสูตรการเสียชีวิต 6 คน ที่ถูกยิงเสียชีวิตในวัดปทุมวนาราม วันที่ 19 พฤษภาคม 2553 ณ ศาลอาญากรุงเทพใต้ โดยพนักงานอัยการได้นำประจักษ์พยานเข้าเบิกความ 3 ปาก ได้แก่
1. พ.ท.นิมิตร วีระพงษ์ สังกัดฝ่ายกิจการพลเรือน ค่ายสมเด็จพระนารายณ์มหาราช จ.ลพบุรี ซึ่งในขณะเกิดเหตุดำรงตำแหน่ง รองผู้บังคับกองพันรบพิเศษที่ 1 กรมรบพิเศษที่ 3
2. จ่าสิบเอกสมยศ ร่วมจำปาก ทหารจากกองพันชุดจู่โจม รบพิเศษ 3 ค่าเอราวัณ จ.ลพบุรี วัย 45 ปี
3. สิบเอกเดชาธร มาขุนทด ทหารจากกองพันชุดจู่โจม รบพิเศษ 3 ค่าเอราวัณ จ.ลพบุรี วัย 38 ปีพ.ท.นิมิตร ให้การว่า ในวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 ได้ขึ้นไปประจำสถานีรถไฟฟ้า เพื่อคุ้มกันเจ้าหน้าที่ทหารจากกรมทหารราบที่ 31 กองพันที่ 2 รักษาพระองค์ (ร.31 พัน 2 รอ.) ซึ่งทหารกลุ่มนั้น มีหน้าที่คุ้มกันประชาชนที่ต้องการออกจากพื้นที่ชุมนุมเพื่อกลับบ้าน โดยศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) จะจัดรถรับผู้ชุมนุมอยู่บริเวณสนามกีฬาแห่งชาติ
เมื่อเกิดเหตุไฟไหม้โรงหนังสยาม ตนจึงได้รับคำสั่งให้ไปตรวจค้นแนวบังเกอร์ อำนวยความสะดวกเจ้าหน้าที่ ร.31 พัน 2 รอ. ที่จะนำเจ้าหน้าที่ดับเพลิงไปดับเพลิง แต่ว่า มีกองกำลังติดอาวุธ ยิงกระสุนมาที่เจ้าหน้าที่ดับเพลิง ทำให้ไม่สามารถเข้าไปดับเพลิงได้ กระทั่งเวลา 15.00 น. ได้มีชาย 2 คน ยิงปืนใส่กองกำลังที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของตน พร้อมกับหลบหนีอยู่ที่แยกเฉลิมเผ่า ขณะเดียวกันก็มีผู้ชุมนุมหลบหนีเข้าไปในวัดปทุมวนารามและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ดังนั้น ตนจึงได้สั่งผู้ใต้บังคับบัญชา ยิงกดดันใส่ชาย 2 คนเอาไว้ แล้วก็เคลื่อนย้ายกำลังมาที่สถานีรถไฟฟ้าสนามกีฬาแห่งชาติ
ต่อมา ตนได้เห็นไฟไหม้ที่ห้างเซ็นทรัลเวิลด์ เจ้าหน้าที่ ร.31 พัน 2 รอ. จึงได้รับคำสั่งให้เคลียร์พื้นที่เพื่อให้เจ้าหน้าที่ดับเพลิงเข้าไปดับเพลิงที่ห้างเซ็นทรัลเวิลด์ โดยหน่วยกองกำลังของตน จะมีหน้าที่ป้องกันไม่ให้ใครมายิงปืนใส่ เจ้าหน้าท่ี่ ร.31 พัน 2 รอ. ซึ่งตนจะประจำการอยู่บนรางรถไฟฟ้าชั้น 2 และ 3 เมื่อถึงชานชาลาสถานีรถไฟฟ้าสยาม ก็พบเศษอาหารและระเบิดเพลิงอยู่ 5-6 ขวด
ในเวลา 18.00 น. หน่วยของตนถูกคนที่อยู่ในวัดปทุมวนารามและนอกวัดยิงปืนใส่ จึงได้เรียกกำลังพลที่อยู่บริเวณนั้น กลับมายังสถานีรถไฟฟ้าสยาม จนถึงวันที่ 20 พฤษภาคม 2553 เจ้าหน้าที่ ร.31 พัน 2 รอ. จึงเข้าไปตรวจค้นในวัดปทุมฯ
ทั้งนี้ หน่วยงานของตนใช้กระสุนในการปฏิบัติการมาก แต่ไม่ทราบจำนวนที่แท้จริง ส่วน ศอฉ. ได้มอบหมายคำสั่งให้ใช้ปืน M16 ชนิด A2 และ A4 ที่ใช้ลูกกระสุนปืน M866 หัวสีเขียว และ M855 หัวสีเขียว ซึ่งสามารถใช้กับปืนทราโวและปืนชนิดอื่นได้ และถ้ามีการใช้อาวุธปืนหรือระเบิดกับทหาร ก็สามารถยิงปืนเพื่อยับยั้งการกระทำนั้นได้ แต่ไม่สามารถยิงเพื่อมุ่งหมายต่อชีวิต
ด้านจ่าสิบเอกสมยศ ได้ให้การคล้ายกับ พ.ท.นิมิตร แต่ตัวจ่าสิบเอกสมยศนั้น ได้ปฏิบัติหน้าที่อยู่ที่หน้าวัดปทุมฯ ในช่วงเวลา 18.00 น. ระบุเพิ่มเติมว่า ตนได้ยิงปืนไปที่ตอหม้อรถไฟฟ้าและกำแพงวัด เพื่อสกัดคนร้ายที่อยู่ในวัดปทุมฯ เอาไว้ โดยครั้งนี้ ไม่มีเจ้าหน้าที่รัฐได้รับบาดเจ็บ อย่างไรก็ตาม ผู้บังคับบัญชาก็ได้กำหนดนโยบายจากเบาไปหาหนัก คือ ห้ามยิงใส่เด็ก สตรี และยิงไปในทิศที่ปลอดภัย แต่ถ้าสถานการณ์ไม่ดีขึ้น ให้ยิงไปที่ส่วนล่างของฝ่ายตรงข้าม
ขณะที่สิบเอกเดชาธร ให้การคล้ายกับพยานสองคนแรก แต่มีข้อมูลเพิ่มเติมว่า ในช่วงเวลา 18.00 น. ตนได้ถึงสถานีรถไฟฟ้าสยาม หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงปืนดังรอบทิศ จากนั้นทหารด้านล่างก็ตะโกนให้หน่วยงานของตนคุ้มกันเจ้าหน้าที่ ร.31 พัน 2 รอ. ด้วย ตนจึงได้สำรวจรอบทิศทาง พบว่าข้างล่างมีชายสวมเสื้อขาว สวมหมวกโม่ง กางเกงลายพราง ผมสั้น ถือปืนอยู่ตรงข้ามกำแพงวัด จึงได้ไปแจ้งต่อจ่าสิบเอกสมยศ แต่ไม่ทราบว่า จ่าสิบเอกสมยศ ได้ยิงปืนเข้าไปหรือไม่ แล้วก็ไม่เห็น ไม่ได้ยินทหารในชุดของพยานยิงปืนแต่อย่างใด
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก







