เหลิม ไม่ได้เมา สภาฯสรุปแล้ว เมารักแค่โวหาร (ไทยโพสต์)
อนุ กก.จริยธรรมสภาฯ มีมติเสียงข้างมากยกคำร้อง เฉลิม เมาเหล้าขณะประชุมสภา บอก พิสูจน์ยาก และคำว่า เมารัก ก็เป็นแค่โวหารสุนทรภู่ซึ่งติดปากคนทั่วไป ไม่ถือเป็นการใช้คำหยาบคาย
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 14 มีนาคม คณะอนุกรรมการจริยธรรม สภาผู้แทนราษฎร ได้มีการพิจารณากรณีที่ น.ส.รังสิมา รอดรัศมี ส.ส.สมุทรสงคราม พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวหา ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี อาจกระทำการขัดต่อจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองร้ายแรง จากการดื่มสุราและคุกคามเสรีภาพของผู้อื่น ในระหว่างการประชุมร่วมกันของรัฐสภาเพื่อพิจารณาร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 24 ก.พ. 55
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คณะอนุกรรมการฯ ได้ร่วมกันพิจารณาโดยแยกออกเป็น 3 ประเด็น คือ
1. พฤติกรรมของผู้ถูกร้องมีลักษณะเมาสุราหรือไม่ โดยระบุว่าช่วงเวลาดังกล่าวเป็นช่วงที่ประธานสั่งพักการประชุม ทำให้ไม่มีการบันทึกไว้ และจากพยานหลักฐานตามคำร้องของผู้ถูกร้อง ไม่สามารถที่จะพิสูจน์ได้ว่ามีการดื่มสุรา หรือมีอาการมึนเมาหรือไม่ และไม่มีการตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์ที่จะยืนยันได้ว่าผู้ถูกร้องเมาสุรา แม้จะมีการพบหลักฐานขวดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ชนิดต่าง ๆ แต่ก็ยืนยันไม่ได้ว่าเป็นของผู้ใด คณะอนุกรรมการฯ จึงมีมติเอกฉันท์ยกคำร้องในประเด็นดังกล่าว
2. การกระทำของผู้ถูกร้อง เป็นการใช้วาจาที่ไม่สุภาพ อันเป็นการฝ่าฝืนข้อ 15 ของข้อบังคับว่าด้วยประมวลจริยธรรมฯ หรือไม่ โดยจากพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องของผู้ถูกร้องไม่ได้เป็นการใช้วาจาไม่สุภาพอันมีลักษณะเป็นการดูหมิ่น หมิ่นประมาท เสียดสีหรือใส่ร้ายป้ายสีบุคคลใด และการที่ผู้ร้องกล่าวหาผู้ถูกร้องว่าเมาสุราระหว่างการประชุมรัฐสภา ทำให้เกิดการตอบโต้กันระหว่างสองฝ่าย ก็เป็นสิทธิ์ที่กระทำได้ โดยมีประธานรัฐสภาเป็นผู้พิจารณาถึงความเหมาะสมตามข้อบังคับการประชุม คณะอนุกรรมการฯ จึงมีมติเสียงข้างมากว่าการกระทำของผู้ถูกร้องไม่เป็นการใช้วาจาไม่สุภาพ เนื่องจากไม่ครบองค์ประกอบตามข้อบังคับข้อที่ 15
3. การกระทำของผู้ถูกร้องเป็นการคุกคามหรือระรานทางเพศอันเป็นการฝ่าฝืนข้อ 28 ของข้อบังคับว่าด้วยประมวลจริยธรรมฯ หรือไม่ โดยเห็นว่าคำพูดของผู้ถูกร้อง "ผมไม่ได้เมาเหล้า แต่ผมเมารัก" เป็นการใช้คำในลักษณะการตอบโต้กัน โดยใช้สำนวนโวหารตามบทกลอนของสุนทรภู่ ซึ่งเป็นที่ติดปากของประชาชนคนไทยทั่วไป จึงไม่มีลักษณะเป็นการคุกคาม หรือระรานทางเพศ หรือทำให้ผู้อื่นหวาดกลัว คณะอนุกรรมการฯ จึงมีมติเสียงข้างมาก เห็นว่าการกระทำดังกล่าวไม่เป็นการคุกคามหรือระรานทางเพศตามข้อ 28 ของข้อบังคับว่าด้วยประมวลจริยธรรมทั้งนี้ แม้คณะอนุกรรมการฯ จะมีมติยกคำร้องดังกล่าว แต่บทสรุปของอนุกรรมการฯ ยังไม่ถือว่าสิ้นสุด เนื่องจากต้องนำเรื่องเข้าสู่ที่ประชุมของคณะกรรมการจริยธรรมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นประธาน เพื่อพิจารณาต่อไป พร้อมควรให้มีชี้แจงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นต่อผู้ตรวจการแผ่นดินให้ทราบต่อไป
ขอขอบคุณข้อมูลจาก







