
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก ไทยโพสต์, ไทยพีบีเอส
กัมพูชาแถลงด้วยวาจาคดีปราสาทพระวิหารต่อศาลโลกแล้ว ชี้ ไทยไม่ยอมรับคำตัดสินเดิม พร้อมกับใช้กำลังทหารรุกราน ทำให้กัมพูชาต้องยื่นให้ศาลตีความเขตแดนให้ชัดเจน
จากกรณีที่มีการปะทะกันระหว่างทหารไทยและกัมพูชา บริเวณปราสาทพระวิหาร พ.ศ. 2554 ทำให้ทางกัมพูชา ยื่นฟ้องต่อศาลโลก เมื่อวันที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2554 เนื่องจากเห็นว่า คำพิพากษาเดิมเมื่อ พ.ศ. 2505 ยังไม่มีความชัดเจนในเรื่องเขตแดน และไทยยังไม่ถอนกำลังออกจากพื้นที่ใกล้เคียงบริเวณปราสาท จึงต้องการให้ศาลโลกตีความว่า บริเวณใกล้เคียงปราสาท ในแผนที่ภาคผนวก 1 ที่แนบท้ายคำฟ้องของกัมพูชาในคดีเดิม มีเขตแดนเท่าใดกันแน่ ซึ่งทางกัมพูชามองว่า บริเวณนี้มีพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร
อย่างไรก็ตาม ไทยได้ยื่นข้อสังเกตต่อศาลโลก เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 ว่า ศาลโลกไม่มีอำนาจและไม่สามารถรับคดีไว้พิจารณาได้ หรือถ้ามีอำนาจ ก็ไม่สามารถตีความในคำพิพากษาเดิมได้ และขอให้ศาลตัดสินว่า คำพิพากษาเดิมไม่มีการตัดสินเรื่องเขตแดนตามแผนที่ภาคผนวก 1 แต่อย่างใด
ล่าสุด เมื่อวานนี้ (15 เมษายน) ศาลโลกได้นัดทั้งสองประเทศแถลงด้วยวาจา ณ กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ โดยกัมพูชาจะเป็นฝ่ายแถลงก่อนในวันที่ 15 เมษายน, ไทยแถลงโต้แย้งในวันที่ 17 เมษายน, กัมพูชาแถลงปิดคดีวันที่ 18 เมษายน และไทยปิดคดีวันที่ 19 เมษายน

กัมพูชาส่งนายฮอร์ นัมฮง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศกัมพูชา เป็นผู้แถลงคนแรกว่า สาเหตุที่กัมพูชาต้องฟื้นคดีนี้ขึ้นมาอีกครั้ง แม้ว่าจะผ่านมาแล้ว 50 ปีก็ตาม เพราะรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รุกรานกัมพูชา ขณะที่ยื่นปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก โดยใช้ทั้งอาวุธใกล้บริเวณปราสาท จนมีผู้เสียชีวิต นอกจากนี้ยังใช้สื่อโจมตีกัมพูชา ทำให้กัมพูชาได้รับความเสียหายมาก ดังนั้นจึงต้องให้ศาลตีความเรื่องเขตแดนให้ถูกต้องนั่นเอง
นายฮอร์ นัมฮง กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ไทยยังพยายามลดความหมายและขอบเขตคำพิพากษา เช่น ตอนที่กัมพูชายื่นเรื่องนี้ต่อศาลโลก ศาลได้มีคำพิพากษาชั่วคราวให้ถอนกำลังออกนอกพื้นที่ แต่ไทยกลับเพิกเฉย ทำให้ผู้สังเกตการณ์ชาวอินโดนีเซียไม่สามารถเข้าไปในพื้นที่ได้ ถือว่าเป็นการดูหมิ่นและไม่เคารพกฎหมาย ตรงจุดนี้ตนต้องขอประณามฝ่ายไทย
รองนายกรัฐมนตรีกัมพูชา แถลงทิ้งท้ายว่า ไทยพยายามทำให้ศาลโลกไม่แน่ใจในความหมายคำพิพากษาเมื่อ 50 ปีที่แล้ว อย่างไรก็ดี ปราสาทพระวิหารเป็นสัญลักษณ์ของความสงบระหว่างไทยและกัมพูชา ดังนั้น หากศาลไม่ตีความ อาจจะทำให้ทั้งสองประเทศไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบอีกต่อไป

ต่อมา นายฌอง มาร์ค ซอร์เรล ทนายความกัมพูชาคนที่ 1 ชาวฝรั่งเศส แถลงว่า ฝ่ายไทยตอบโต้การตีความคำพิพากษาออกมาแบบซับซ้อน แต่สามารถสรุปให้ได้ใจความง่าย ๆ คือ ไทยให้ตีความคำตัดสินข้อ 2 วรรค 2 ซึ่งไทยต้องถอนกำลังออกไปนอกพื้นที่ปราสาทพระวิหารและเขตแดนกัมพูชา โดยทั้งสองฝ่ายยอมรับแผนที่ภาคผนวก 1 ว่า ไม่สามารถแยกออกจากข้อปฏิบัติการได้
นอกจากนี้ ทนายความกัมพูชาคนที่ 1 แถลงอีกว่า ที่น่าสงสัยคือ ไทยพยายามบอกว่าปราสาทอยู่ในพื้นที่ฝ่ายไทย แต่ทำไมตอนที่กัมพูชากำลังจะขึ้นปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก กลับใช้กำลังทหาร ทั้ง ๆ ที่อยู่ในพื้นที่ของไทยเอง ส่วนตัวปราสาทพระวิหาร ศาลโลกได้ตัดสินไปแล้วว่าอยู่ในเขตกัมพูชา
นายซอร์เรล แถลงต่อไปว่า จากสิ่งที่อธิบายมา สามารถตีความฝ่ายไทยได้เป็น 3 ประเด็นดังนี้ ไทยคิดว่าไม่มีความขัดแย้ง ไม่เห็นด้วยในคำพิพากษา และศาลโลกไม่มีอำนาจตีความ หรือถ้ามีอำนาจก็ทำไม่ได้ เพราะบทคำพิพากษากับปฏิบัติการต้องแยกกัน ดังนั้นศาลจึงต้องย้อนกลับไปตีความที่ไทยไม่เข้าใจในประเด็นที่ว่า คดีตีความเป็นอย่างไร พยายามพูดฝ่ายเดียวเรื่องเขตแดน
จากนั้น เซอร์ แฟรงคลิน เบอร์แมน ทนายความกัมพูชาคนที่ 2 ชาวอังกฤษ แถลงว่า สาเหตุที่กัมพูชาต้องยื่นฟ้องศาลโลกซ้ำ เพราะต้องการให้ตีความคดีดังกล่าวอย่างชัดเจน ตามธรรมนูญข้อ 60 ของศาลโลก แต่ไม่ใช่การตีความซ้ำหรือล้มล้างคำตัดสินเดิม ฉะนั้นที่ฝ่ายไทยอ้างว่าคำร้องของกัมพูชา ศาลไม่สามารถตีความได้ เพราะคำตัดสินเดิมตัดสินไปแล้ว จึงไม่สามารถนำมาอ้างได้
นอกจากนี้ ทนายกัมพูชาคนที่ 2 แถลงว่า อีกสาเหตุหนึ่งที่ต้องตีความคำพิพากษาให้ชัดเจน นั่นคือ ไทยไม่ยอมปฏิบัติตามคำตัดสินของศาล กล่าวคือ ศาลระบุให้ไทยถอนกำลังทหารออกไป ซึ่งไทยก็ได้ถอนออกไปแล้ว ก่อนที่จะนำกลับเข้าไปใหม่

ต่อมา นายร็อดแมน บุนดี ทนายความคนที่ 3 ของกัมพูชา ชาวอเมริกัน แถลงว่า หลังจากที่ศาลตัดสินคดี พ.ศ. 2505 ไทยได้นำรั้วลวดหนามมาล้อมปราสาทพระวิหารเอาไว้ โดยใช้แผนที่ L7017 ในการปักปันเขตแดน ลากเส้นสันปันน้ำมาใกล้กับปราสาทพระวิหาร ซึ่งเป็นแผนที่ที่จัดทำขึ้นจากฝ่ายไทยฝ่ายเดียว เท่ากับไม่ยอมรับคำตัดสินของศาลโลก
ทนายความกัมพูชาคนที่ 3 แถลงว่า ก่อนหน้าไทยมีการรัฐประหาร (พ.ศ. 2549) รัฐบาลทักษิณ ชินวัตรก็มีความสัมพันธ์ที่ดีกับกัมพูชามาโดยตลอด อย่างไรก็ตามไทยก็มีปฏิกิริยาหลังจากที่ยูเนสโก้ให้ปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกไปแล้ว ดังนั้น จึงใช้วิธีการขยายชุมชนในพื้นที่ชายแดนกัมพูชาเข้ามา ซึ่งทางกัมพูชาก็มองว่าไม่ได้เป็นมลพิษแต่อย่างใด
จากนั้น นายซอร์เรล ทนายความคนแรกของกัมพูชา แถลงในรอบที่ 2 ปิดท้ายว่า เห็นได้ชัดว่า คำโต้แย้งของไทยในการสู้คดีครั้งนี้ ต้องการให้เปลี่ยนแปลงคำพิพากษาเมื่อ พ.ศ. 2505 โดยไม่คำนึงถึงสิ่งที่ศาลวินิจฉัยเอาไว้ ทว่า ใน พ.ศ. 2543 ไทยก็ทำข้อตกลงเรื่องเขตแดนพื้นที่ใกล้เคียงปราสาทพระวิหารแล้ว ตรงจุดนี้เท่ากับว่ายอมรับในข้อเท็จจริงของเขตแดน ซึ่งถือว่าอดีตกับปัจจุบันได้ขัดแย้งกันอยู่
สำหรับคำให้การทั้งหมดของกัมพูชาที่แถลงต่อศาลโลก เมื่อวันที่ 15 เมษายน 2556 สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ phraviharn.org
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก







