ผู้สังเกตการณ์ชี้ไทยมีโอกาสแพ้กัมพูชา คดีเขาพระวิหาร




สรุปประเด็นข่าวโดยกระปุกดอทคอม
 
          ผู้สังเกตการณ์ชี้ไทยเสี่ยงแพ้กัมพูชา เหตุอีกฝ่ายงัดหลักฐานฟ้องศาลโลก และไม่ยอมรับรั้วรอบปราสาทพระวิหารตามมติ ครม. ไทยปี 2505

          เมื่อวันที่ 15 เมษายน 2556 ณ กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ ศาลโลกเปิดให้ไทยและกัมพูชาแถลงด้วยวาจา กรณีประเทศกัมพูชายื่นคำขอให้ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศตีความคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหารปี พ.ศ.2505 โดยกัมพูชาเป็นฝ่ายแถลงด้วยวาจาก่อน แล้วเว้นไว้หนึ่งวัน และในวันที่ 17 เมษายน ประเทศไทยจะเป็นฝ่ายขึ้นแถลงโต้แย้งด้วยวาจา จากนั้นวันที่ 18 เมษายน เป็นฝ่ายกัมพูชาที่จะแถลงปิดคดี และวันที่ 19 เมษายนเป็นฝ่ายไทย ก่อนที่ศาลจะนัดวันฟังคำพิพากษา

          อย่างไรก็ตาม หลังกัมพูชาแถลงเมื่อวานนี้ (15 เมษายน) นายคำนูณ สิทธิสมาน ส.ว.สรรหา ซึ่งเดินทางเข้าร่วมสังเกตการณ์ด้วย ได้โทรศัพท์เข้ามาแสดงความคิดเห็นผ่านเอเอสทีวี ในรายการพิเศษเกาะติดคดีประวัติศาสตร์เขาพระวิหาร ว่า หลังจากได้ฟังการแถลงด้วยวาจาของนายฮอร์ นัมฮง รองนายกฯ และรัฐมนตรีต่างประเทศของกัมพูชา รวมทั้งทนายความของกัมพูชาทั้ง 3 คนแล้ว ถ้าเป็นสงครามก็ถือว่าเขาได้ยิงอาวุธหนักใส่ไทยตรงที่เป็นจุดอ่อนของเรา นั่นคือเขาพูดถึงแผนที่ภาคผนวก 1 หรือแผนที่ระวางพนมดงรัก มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000 นับพันครั้ง เพราะเขาต้องการให้ตีความว่า เส้นเขตแดนบริเวณปราสาทพระวิหาร คือเส้นเขตแดนตามแผนที่ในภาคผนวกที่ 1 นั่นเอง

          นายคำนูณ กล่าวต่อว่า ที่ว่าเป็นจุดอ่อนของไทย แม้ว่าบทปฏิบัติการตามคำพิพากษาปี 2505 ทั้ง 3 ข้อไม่ได้บอกว่าเส้นเขตแดนตามแผนที่ในภาคผนวกที่ 1 เป็นเส้นเขตแดนที่ถูกต้อง โดยมีแค่สามข้อคือ

          1. ปราสาทพระวิหารอยู่บนดินแดนภายใต้อธิปไตยของกัมพูชา

         
2. ให้ไทยถอนทหารออกจากพื้นที่ปราสาทพระวิหาร

         
3. ให้ไทยคืนวัตถุโบราณที่นำออกไปจากปราสาทพระวิหารแก่กัมพูชา

           แต่ว่าเหตุผลก่อนที่จะนำมาสู่บทปฏิบัติการทั้ง 3 ข้อนั้น มีหลายจุดที่ศาลพูดถึงแผนที่ตามภาคผนวกที่ 1 เพียงแต่ที่ศาลโลกไม่ได้มีคำพิพากษาเรื่องความถูกต้องของแผนที่ตามภาคผนวกที่ 1 และเส้นเขตแดนในปี 2505 นั้น เป็นเพราะเดิมกัมพูชายื่นคำร้องให้ศาลตัดสินเพียง 2 ข้อ ส่วนเรื่องความถูกต้องของแผนที่และเส้นเขตแดนนั้น กัมพูชาเสนอเพิ่มเข้ามาภายหลัง

          นายคำนูณ กล่าวอีกว่า ที่เรามั่นใจตลอดว่าศาลไม่ได้พิพากษาเรื่องเส้นเขตแดนนั้น ตอนนี้เหมือนกัมพูชาได้ฟ้องซ้ำเรื่องเส้นเขตแดน ซึ่งปกติศาลจะตีความเฉพาะตามบทปฏิบัติการของคำพิพากษา ไม่ล่วงเลยไปถึงเหตุผลที่นำมาสู่บทปฏิบัติการ เว้นแต่ว่าส่วนของเหตุผลที่นำมาสู่บทปฏิบัติการนั้นไม่สามารถแยกออกได้จากบทปฏิบัติการ ซึ่งตรงนี้นับว่าอันตราย ต้องติดตามดูว่าศาลจะตัดสินอย่างไร จะตีความแค่บทปฏิบัติการตามเดิม หรือจะตีความเลยไปถึงเหตุผลก่อนจะมาถึงบทปฏิบัติการ ซึ่งก็จะเลยมาถึงแผนที่ภาคผนวกที่ 1 เราไม่รู้ว่าศาลจะตัดสินอย่างไร และต้องดูฝ่ายไทยที่จะให้การรอบแรกในวันที่ 17 นี้ ว่าเราจะสู้ในประเด็นเรื่องศาลไม่มีอำนาจตีความหรือไม่

          ประเด็นที่ 2 ที่น่าเป็นห่วงก็คือ ไทยเคยมั่นใจมาตลอดว่า ภายหลังศาลโลกมีคำพิพากษาปี 2505 แล้ว ไทยได้มีมติ ครม.ล้อมรั้วทำเส้นเขตแดนบริเวณปราสาทพระวิหารนั้น ทางกัมพูชาไม่เคยคัดค้าน เพราะฉะนั้นทางกัมพูชาก็จะโดนกฎหมายปิดปากเล่นงานบ้าง แต่ว่าวันนี้มันมีเอกสารหลายอย่างที่เขายื่นร้องต่อยูเอ็นว่า ไม่ยอมรับเส้นเขตแดนตามมติ ครม.ดังกล่าว และมีพระราชดำรัสของสมเด็จเจ้านโรดมสีหนุ อดีตกษัตริย์กัมพูชา ที่แสดงการไม่ยอมรับ โดยบอกว่าเป็นการกำหนดเส้นเขตแดนขึ้นมาใหม่ของฝ่ายไทย ตามคำแถลงของทนายของฝ่ายกัมพูชา ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วง

          สรุปว่ากัมพูชาพุ่งไปที่ความถูกต้องของแผนที่ตามภาคผนวกที่ 1 และให้เรายอมรับเสีย แม้ว่าศาลไม่ได้กล่าวไว้ในปฏิบัติการตามคำพิพากษาปี 2505 และที่เราเคยมั่นใจว่ากัมพูชาไม่เคยคัดค้านการล้อมรั้วตามมติ ครม.ปี 2505 แต่เขามีหลักฐานว่าได้คัดค้านหลายครั้ง ซึ่งก็ต้องดูว่าฝ่ายไทย เคยยื่นตอบโต้เขาอย่างไร และทางยูเอ็นมีข้อสรุปอย่างไร

          "ในความรู้สึกของผม มันเหมือนว่าเป็นการพิจารณาคดีใหม่ เหมือนย้อนกลับไปปี 2504-2505 สิ่งที่ศาลเคยพิพากษาเสร็จสิ้นไปแล้วในวันนั้น มันเอามาพูดถึงอีก ทั้งที่เราไม่ยอมรับศาลโลกมาตั้งแต่ปี 2503 ทำไมเราจะต้องมาสุ่มเสี่ยงว่าศาลจะตัดสินออกมาอย่างไรอีก" นายคำนูณกล่าวและว่า ไม่อยากให้รัฐบาลด่วนบอกว่าเราจะปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลโลก ไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไร ซึ่งตอนนี้มันสุ่มเสี่ยงต่อการที่ศาลจะพิพากษาออกมาในทางที่ทำให้เราเสียหาย
 
          นายคำนูณกล่าวอีกว่า ถึงแม้ว่าศาลอาจจะตีความเพียง 2 ประเด็น คือเรื่องอาณาบริเวณของปราสาทพระวิหาร และเรื่องการถอนทหาร โดยไม่ได้ตีความเรื่องแผนที่ แต่ก็ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่แล้ว หากศาลบอกว่าบริเวณปราสาทพระวิหารรวมพื้นที่มากกว่าที่เราล้อมรั้วไว้ และการถอนทหารให้มีผลต่อเนื่องมาจนทุกวันนี้ เราจะมีทหารตำรวจตรงนั้นไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นเราจะต้องตั้งหลักให้ดี มันเป็นเรื่องที่เราต้องรับผลกระทบร่วมกัน ไม่ใช่เรื่องของฝ่ายไหน และรัฐบาลไม่ควรจะบอกว่า เราจะปฏิบัติตามคำพิพากษาหรือไม่ รัฐบาลควรจะถามคนไทยก่อน โดยบอกผลดีผลเสียให้ชัดเจน อย่าอ้างว่ามาจากประชาชนแล้วก็ตัดสินใจเอาเอง

          ขณะที่ นายเทพมนตรี ลิมปพยอม นักวิชาการอิสระด้านประวัติศาสตร์ กล่าวว่า  เท่าที่ติดตามการถ่ายทอดสดคดีตีความคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหาร ประเมินว่าไทยสามารถสู้ได้ ถ้ารัฐบาลเอาจริงเอาจัง เราชนะกัมพูชาได้แน่นอน ซึ่งวันนี้กัมพูชาก็ได้อ้างว่า ไม่เคยยอมรับรั้วลวดหนามซึ่งไทยเป็นฝ่ายทำขึ้นตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2505 เพียงฝ่ายเดียว และสั่งให้เจ้าหน้าที่ยิงคนที่รุกล้ำเข้ามา แต่เราอาจจะใช้การประกาศบริเวณป่าสงวนฯ ของเราได้ ซึ่งป่าสงวนฯ เราประกาศไปเมื่อปี 2533 พอมาถึงปี 41 สมัยที่นายชวน หลีกภัย เป็นรัฐบาล ได้ประกาศอุทยานเป็นป่าสงวนแห่งชาติ 7 แห่งในขณะนั้นกัมพูชาก็ไม่ได้โต้แย้งอะไร และตอนที่มีการเปิดให้มีการท่องเที่ยว ก็จะเห็นได้ชัดว่า รปภ.รักษาการของกัมพูชานั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับรั้วลวดหนามกับฝั่งไทย ดังนั้นก็เท่ากับว่า กัมพูชายอมรับแล้วว่าไม่สามารถข้ามฝั่งมาได้ และตนก็มีรูปภาพที่ถ่ายเอาไว้ด้วย ตรงนี้เราสามารถนำไปต่อสู้ได้

          นายเทพมนตรี  ยังกล่าวว่า กัมพูชาพยายามแถลงต่อศาลเพื่อให้ศาลทำตามคำร้องกัมพูชา ก็คือให้ศาลรับตีความเพราะเห็นว่าศาลโลกมีอำนาจ และพยายามบอกว่าตัวปราสาทเป็นของเขมร และย้ำว่าฝ่ายไทยก็ยอมรับพื้นที่ 1 ต่อ 2 แสนว่าเป็นของกัมพูชา รวมถึงพยายามบอกว่ารัฐบาลไทยในสมัย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ยอมรับและสนับสนุนให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก

          อย่างไรก็ตาม จากการที่กัมพูชาแถลงด้วยวาจาทั้งหมด ประเทศไทยควรจะตอบโต้ในทุกประเด็น อย่าละเลยรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เพราะข้อมูลกัมพูชาค่อนข้างจะละเอียด นอกจากเขาจะแถลงด้วยวาจาแล้ว เขายังมีเอกสารประกอบคำชี้แจงด้วย เพราะบางอย่างกัมพูชาก็พูดไม่หมด โดยยกมาชี้แจงเพียงบางหน้า ดังนั้น รัฐบาลก็ควรจะเก็บทุกรายละเอียด และควรจะกล้าตอบโต้ด้วยว่าประเด็นไหนที่กัมพูชาพูดมั่ว ไม่ต้องไปรักษามารยาท เพราะกัมพูชายังว่าเราโดยไม่รักษามารยาทเลย เราต้องตอบโต้อย่างสมน้ำสมเนื้อ ประเด็นไหนที่กัมพูชาโกหกก็ต้องบอกว่าโกหก อย่าไปกลัว
 
          ด้านความเคลื่อนไหวของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ยังหยุดปฏิบัติงานช่วงเทศกาลสงกรานต์ โดยขอเวลาพักผ่อน 1 วัน งดการให้สัมภาษณ์สื่อทุกประเด็น พร้อมแจ้งว่าจะติดตามสถานการณ์อยู่ในโรงแรมเลอ เมอร์ริเดียน เชียงใหม่ โดยเฉพาะในช่วงเวลา 15.00 น.เป็นต้นไป ที่กัมพูชาจะให้การทางวาจาต่อศาลโลก กรณีที่กัมพูชายื่นตีความคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหารเมื่อปี 2505
 

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก



เรื่องน่าสนใจอื่นๆ
เรื่องที่คุณอาจสนใจ
ผู้สังเกตการณ์ชี้ไทยมีโอกาสแพ้กัมพูชา คดีเขาพระวิหาร อัปเดตล่าสุด 24 ตุลาคม 2556 เวลา 15:16:34 2,511 อ่าน
TOP
x close