10 การทดลองสุดโหดไร้จริยธรรมเท่าที่เคยทำกับมนุษย์

 
10 การทดลองสุดโหดไร้จริยธรรมเท่าที่เคยทำกับมนุษย์


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม


          การทดลอง นับว่าเป็นกระบวนการสำคัญในการศึกษา การคิดค้นสิ่งประดิษฐ์ ผลิตภัณฑ์ ยาต่าง ๆ ตลอดจนการทดสอบข้อสงสัยสมมติฐานนานาที่ตั้งขึ้น สิ่งมีชีวิตที่ถูกใช้ในการทดลองมีทั้งสัตว์ไปจนถึงคน โดยกรณีใช้มนุษย์เป็นหนูทดลองนั้น มีตั้งแต่ผู้ที่สมัครใจเข้าร่วมการทดลอง ไปจนถึงทำการทดลองกับทาส นักโทษ หรือแม้แต่คนในครอบครัวตนเอง นายแพทย์บางรายยอมใช้ตัวเองเป็นหนูลองยา เพราะไม่ต้องการเอาชีวิตคนอื่นมาเสี่ยง เมื่อเวลาล่วงผ่าน กฎและจริยธรรมข้อบังคับเกี่ยวกับการกระทำการทดลองก็ถูกปรับปรุงขึ้นเรื่อยมา ทว่าก็ยังมีการทดลองบางอย่างที่ทำการทดสอบกับมนุษย์แล้วตกเป็นที่ครหาหนาหูว่าโหดร้ายไร้จริยธรรม บางเรื่องเรียกได้ว่าเข้าข่ายวิปริต ไม่ว่าจะกระทำโดยเจตนาหรือว่ารู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ตาม และนี่คือ 10 การทดลองสุดโหดไร้จริยธรรมเท่าที่เคยทำกับมนุษย์ จากการรวบรวมของเว็บไซต์ listverse ที่กระปุกดอทคอมนำมาฝากคุณในวันนี้ 


10. การทดลองนักโทษแห่งสแตนฟอร์ด (Stanford Prison Experiment)

          ในปี 2514 มีการทดลองด้านจิตวิทยาที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด นำโดยนักจิตวิทยา ฟิลิป ซิมบาร์โด (Philip Zimbardo) เพื่อศึกษาพฤติกรรมมนุษย์ในภาวะถูกจองจำจากทั้งฝ่ายผู้คุมและนักโทษ สถานที่ทดลองคือห้องใต้ดินของตึกคณะจิตวิทยา ที่ซึ่งนักศึกษาจำนวนหนึ่งเข้าร่วมการทดลองในโดยสวมบทบาทสมมติเป็นผู้คุมและนักโทษ

          ทั้งสองฝ่ายปรับตัวให้สมกับบทบาทที่ตนรับมอบหมายอย่างรวดเร็ว ทว่าทุกอย่างกลับถลำลึกล้ำเส้นไปเกินกว่าสิ่งที่คาดคิดไว้แต่แรก เมื่อหนึ่งในสามของผู้คุมเมามันกับบทบาทตัวเองมากไป จนแสดงสัญชาตญาณแห่งความป่าเถื่อนของตนออกมา ในขณะที่นักโทษหลายรายจิตใจบอบช้ำปั่นป่วน โดยในจำนวนนี้ 2 ราย ถึงกับต้องถูกนำตัวออกจากการทดลองมาก่อนใคร (บางรายงานเผยว่าเสียชีวิต) ในที่สุดแล้วซิมบาร์โดหวั่นเกรงเหตุการณ์จะเลวร้ายลงไปกว่าเดิม ตัดสินใจยุติการทดลองกลางคัน ไม่มีคำสรุปผลใด ๆ ต่อการทดลองออกมา นอกจากสิ่งที่ทำให้ตระหนักได้อย่างดีว่ามนุษย์สามารถเปลี่ยนแปลงไปในทางเลวร้ายลงได้เพียงใดเมื่อมีอำนาจอยู่ในมือ 


9. การทดลองปีศาจว่าด้วยเรื่องเด็กติดอ่าง (The Monster Study)

          การทดลองปีศาจนี้ เกิดขึ้นในปี 2482 เป็นการทดลองของเวนเดลล์ จอห์นสัน (Wendell Johnson) จากมหาวิทยาลัยไอโอวา ที่กระทำกับเด็กกำพร้า 22 คน ในเมืองเดนเวอร์พอร์ต จอห์นสันได้เลือก แมรี่ ทิวดอร์ (Mary Tudor) ลูกศิษย์ระดับบัณฑิตของตนให้ทำหน้าที่ดำเนินการทดลองโดยมีตัวเองนั่งแท่นเป็นที่ปรึกษา เมื่อการทดลองเริ่มขึ้น เด็ก ๆ ถูกแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกทิวดอร์จะพูดด้วยถ้อยคำอ่อนหวาน ชื่มชมในสิ่งที่เด็ก ๆ พูดออกมา ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งกลับได้รับวาจาดูถูกเหยียดหยามต่อทุกสิ่งที่พวกเขาพูด และบอกว่าพวกเขาเป็นเด็กพูดติดอ่าง เมื่อจบการทดลอง ปรากฏว่าเด็กในกลุ่มหลังกลายเป็นคนมีปัญหาทางจิตและประสบปัญหาด้านการพูดไปช่วงระยะหนึ่งของชีวิต 

          การทดลองนี้ได้รับการตั้งชื่อจากเพื่อนของจอห์นสันว่าเป็นการทดลองปีศาจ (The Monster Study) จากการใช้มนุษย์ซึ่งเป็นเด็กกำพร้าเป็นเครื่องมือทดสอบทฤษฎีของตนเอง การทดลองนี้ถูกปิดเป็นความลับมาเนิ่นนานเนื่องจากเกรงว่าจะถูกนำไปเปรียบเทียบกับการทดลองสุดโหดของเหล่าทหารนาซีเมื่อสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง แต่ในที่สุดมหาวิทยาลัยไอโอวาก็ได้ออกแถลงขอโทษต่อสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว เมื่อปี 2544 


8. การทดลองเหยื่อกัมมันตภาพรังสีโปรเจคท์ 4.1 (Project 4.1)

          โปรเจคท์ 4.1 เป็นการทดลองทางการแพทย์กับผู้อาศัยอยู่บนหมู่เกาะมาร์แชลล์ (Marshall Islands) ในสหรัฐฯ ซึ่งได้รับอิทธิพลจากกัมมันตภาพรังสีของระเบิดนิวเคลียร์ Castle Bravo ที่ถูกทดสอบนำมาปล่อยที่เกาะบิกินีเมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2497 หลักฐานบางสายชี้ว่าโปรเจคท์นี้ถูกตั้งขึ้นหลังมีการทิ้งระเบิดได้ 6 วัน 

          ในช่วง 10 ปีแรก สิ่งที่เกิดขึ้นกับประชากรยังคลุมเครือและไม่สามารถบ่งชี้ได้แน่ชัดว่าเป็นผลจากกัมมันตภาพรังสีหรือไม่ โดยปรากฏว่าประชารกรหญิงจากเกาะรองกีแล็บ (Rongelap) ซึ่งเป็นบริเวณใกล้เคียงกัน มีอัตราการแท้งและเด็กตายก่อนคลอดสูงขึ้นเป็นสองเท่าในช่วง 5 ปีแรก แต่ก็กลับเข้าสู่ภาวะปกติใน 5 ปีถัดมา จึงไม่อาจสรุปว่าเป็นผลจากกัมมันตภาพรังสีได้ แม้ว่าจะมีเคสภาวะความผิดปกติด้านการเจริญเติบโตในเด็กในช่วงหลัง แต่ก็ไม่มีแบบแผนที่แน่นอน 

          อีกทศวรรษถัดมา ผลกระทบจากกัมมันตภาพรังสีจึงปรากฏชัดเจน เด็ก ๆ บนเกาะมาร์แชลล์มีร่างกายผิดปกติจากมะเร็งต่อมน้ำเหลือง (อันเป็นผลจากการถูกกัมมันตภาพรังสี) และเกือบ 1 ใน 3 ของชาวบ้านเผชิญกับภาวะเนื้องอกก่อนถึงปี 2517 (20 ปีหลังระเบิด) 

          หน่วยงานองค์การพลังงานได้เขียนถึงการทดลองรังสีในมนุษย์ครั้งนี้ว่า "เป็นการติดตามผลโดยปราศจากการรักษา ไม่ต่างอะไรกับการใช้ชาวบ้านบนเกาะเป็นหนูทดลอง" 
 


7. การทดลองควบคุมจิตใจเอ็มเคอัลตรา (Project MKULTRA)

          โปรเจคท์เอ็มเคอัลตรา (MKULTRA หรือ MK-ULTRA) เป็นรหัสชื่อการทดลองควบคุมจิตใจของหน่วยสืบราชการลับสหรัฐฯ หรือ ซีไอเอ ดำเนินการโดยสำนักงานวิทยาศาสตร์ของรัฐบาลสหรัฐฯ เริ่มต้นในยุค 50 และไปสิ้นสุดในปลายยุค 60 จุดประสงค์แรกเริ่มคือการพัฒนาอาวุธชีวภาพ ก่อนจะเปลี่ยนไปเป็นการศึกษาหาวิธีการควบคุมจิตใจไปจนถึงพยายามเปลี่ยนแปลงกลไกการทำงานของสมองคน ซึ่งนอกจากจะใช้กลยุทธ์สารพัดวิธีเท่าที่จะทำได้ในการชักจูงจิตใจคน หลักฐานจำนวนหนึ่งยังชี้ว่าการทดลองครั้งนี้มีการใช้ยาเสพติดหลายขนาน รวมถึง LSD ซึ่งมีฤทธิ์หลอนประสาทรุนแรงกับผู้ร่วมการทดลอง ซ้ำร้ายไปกว่านั้นหนูทดลองในคราบมนุษย์หลายคนไม่ทันได้รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าตนกลายเป็นเหยื่อการทดลอง 

          LSD ถูกนำไปแฝงให้เข้าสู่ร่างกาย ของทั้งพนักงานซีไอเอเอง ตลอดจนทหาร แพทย์ เจ้าหน้าที่รัฐ โสเภณี ผู้ป่วยทางจิต หรือแม้แต่บุคคลทั่ว ๆ ไป เพื่อที่จะสังเกตปฏิกิริยาของคนแต่ละประเภทเมื่อได้รับสาร LSD สู่ร่างกาย แต่ก็ดังที่กล่าวไว้ว่าบุคคลจำนวนมากไม่ทันได้รู้ตัวเลยว่ากำลังตกเป็นเหยื่อการทดลอง ซึ่งเป็นการละเมิดกฎนูเรมเบิร์ก (Nuremberg Code) ว่าด้วยการทดลอง ที่สหรัฐฯ ตกลงเห็นชอบด้วยนับตั้งแต่สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง 

          หนึ่งในกระบวนการทดลองของโปรเจคท์เอ็มเคอัลตรายังมีปฏิบัติการที่ชื่อว่า Midnight Climax โดยให้เหล่าโสเภณีที่ถูกว่าจ้างโดยซีไอเอ พาเหยื่อชายมายังซ่องเซฟเฮ้าส์ แล้วหลอกล่อให้เสพสารเสพติดประเภทต่าง ๆ ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นถูกบันทึกภาพไว้โดยกล้องซึ่งตั้งไว้หลังกระจกที่มองเห็นได้ด้านเดียว ปฏิบัติการนี้นอกจากจะล่อเหยื่อมาเป็นหนูทดลองโดยไม่เต็มใจแล้วยังเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลอย่างร้ายแรงด้วย  

          แน่นอนว่ากระแสระแคะระคายถึงโปรเจคท์ทดลองที่ไร้จริยธรรมนี้จะนำชื่อเสียและความยุ่งยากมาสู่องค์กร ในปี 2516 ริชาร์ด เฮล์มส์  (Richard Helms) ผู้บัญชาการซีไอเอในขณะนั้นจึงมีคำสั่งให้ทำลายเอกสารทุกอย่างเกี่ยวกับโปรเจคท์ดังกล่าวลง ทำให้ไม่มีหลักฐานที่ยืนยันว่าซีไอเอเคยมีการทดลองดังกล่าวขึ้นจริง 



6. โปรเจคท์เปลี่ยนเพศ กำจัดคนรักร่วมเพศในหมู่ทหาร (The Aversion Project)

          Aversion Project หรือโปรเจคท์เปลี่ยนเพศ เกิดขึ้นระหว่างปี 2514-2532 ที่โรงพยาบาลทหาร Voortrekkerhoogte ในแอฟริกาใต้ เหล่าทหารเกณฑ์ผิวขาวทั้งหญิงและชายที่ถูกพบว่ามีพฤติกรรมรักร่วมเพศ จะถูกส่งตัวไปรับการ "กลับเพศ" ที่นี่ โดยใช้วิธีการตั้งแต่การใช้การบำบัดทางจิตวิทยา ให้ฮอร์โมน ไปจนถึงการช็อตด้วยไฟฟ้า ใครที่ผ่านกระบวนการ "รักษา" แล้วยังไม่หาย จะถูกให้สารเคมีเพื่ทำให้เป็นหมันหรือนำตัวเข้าผ่าตัดแปลงเพศ นี่เป็นโปรเจคท์ลับสุดยอดเพื่อการกำจัดพวกรักร่วมเพศให้หมดไปจากกองทัพ เชื่อกันว่ามีผู้ถูกส่งตัวเข้ารับการเปลี่ยนเพศราว 900 คน ส่วนใหญ่เป็นวัยหนุ่มสาวอายุระหว่าง 14-26 ปี 

          ดอกเตอร์ออเบรย์ เลวิน (Aubrey Levin) แพทย์ทหารผู้ดูแลโปรเจคท์ลับดังกล่าว ได้กลายเป็นศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาภาคนิติเวชศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยคัลการี (University of Calgary) ในแคนาดา ก่อนจะถูกพิจารณาให้พ้นสภาพอาจารย์ในเดือนมีนาคม 2553 พร้อมกับการถูกยึดใบประกอบวิชาชีพและได้รับการพิจารณาโทษว่ามีความผิดจริงฐานกระทำความผิดทางเพศ 



5. การทดลองเลือดเย็นแห่งเกาหลีเหนือ (North Korean Experimentation) 

          เป็นที่ร่ำลือกันหนาหูว่าเกาหลีเหนือมีการทำการทดลองกับนักโทษอย่างเลือดเย็นที่สุด ไม่ต่างจากการทดลองของนาซีหรือญี่ปุ่นในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง แม้ว่าทางรัฐบาลจะออกมาปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา พร้อมยืนยันว่าเกาหลีเหนือยึดมั่นปฏิบัติต่อนักโทษทุกคนในฐานะมนุษย์ก็ตาม 

          อดีตนักโทษหญิงเกาหลีเหนือรายหนึ่ง เผยถึงการทดลองที่ผู้หญิงสุขภาพดี 50 คน ถูกเลือกให้เป็นหนูทดลองกินกะหล่ำปลีที่วางยาพิษเข้าไป สตรีเหล่านั้นจำใจต้องกินแม้ว่าจะได้ยินเสียงร้องโหยหวนอย่างทรมานจากคนที่โดนพิษไปก่อนหน้า เพราะหากขัดขืนไม่กิน พวกเธอรวมถึงคนในครอบครัวก็จะโดนทำร้าย สุดท้ายจึงต้องยอมทำตาม และหลังกินกระหล่ำปลีพิษเข้าไปเพียง 20 นาที พวกเธอก็อาเจียน ถ่ายเป็นเลือด และเสียชีวิตลงทั้งหมด 

          ควอน ฮยอก นักโทษอีกรายจากค่ายกักกัน 22 เผยถึงการทดลองสุดโหดที่ได้คัดเลือกเหยื่อ 3-4 คน ส่วนใหญ่เป็นคนในครอบครัวเดียวกัน มาทำการทดลองรมแก๊สพิษ แก๊สที่ทำให้หายใจไม่ออก รวมถึงการทดลองเกี่ยวกับเลือด โดยจับคนเหล่านั้นเข้าไปในห้องรมแก๊สที่อุดทุกรอยรั่วอย่างแน่นหนา ปล่อยแก๊สทดลองเข้าไปตามท่อ แล้วนักวิทยาศาสตร์ก็ทำการสังเกตอยู่ที่ห้องกระจกซึ่งอยู่เหนือห้องรมแก๊ส ครั้งหนึ่งเขาได้เห็นครอบครัวพ่อแม่ลูกทั้งหมด 4 คน ถูกต้อนเข้าไปทำการทดลองรมแก๊สที่ทำให้หายใจไม่ออก ทั้งพ่อและแม่พยายามเป่าปากเพื่อให้ลูกยังมีอากาศหายใจ แต่สุดท้ายก็ตายหมดยกครอบครัว 



4. โปรเจคท์วิจัยพิษของโซเวียต (Poison laboratory of the Soviets)

          โครงการทดลองพิษของโซเวียตเป็นโครงการลับของหน่วยวิจัยและพัฒนา อาวุธของตำรวจโซเวียต มีโค้ดเนมเรียกการทดลองนี้ว่า Laboratory 1, Laboratory 12 และ The Chamber จุดประสงค์ก็เพื่อหาพิษที่ไร้สี ไร้กลิ่น ไร้รส และไม่ทิ้งร่องรอยไว้ในศพของผู้ถูกวางยา สารพิษที่ถูกนำมาใช้ในการทดลองมีหลายชนิด รวมทั้งแก๊สมัสตาร์ด ไรซิน และดิจิท็อกซิน ผู้ถูกทดลองยาพิษร้ายแรงเหล่านี้เป็นนักโทษกลุ่มกูลัก (Gulag) หรือกลุ่มที่ถูกเรียกว่าเป็นศัตรูของประชาชน การทดสอบสารพิษทำโดยการผสมลงในอาหารและเครื่องดื่ม แล้วบอกกับเหยื่อว่ามันคือ "ยา" 

          กริกอรี่ ไมรานอฟสกี้ (Grigory Mairanovsky) นักชีวเคมีผู้กระทำการทดลอง ได้หาเหยื่อหลากหลายประเภทที่แตกต่างกันทั้งเพศ รูปร่าง และอายุ มาทดลองวางยา เพื่อให้ได้ผลการทดลองที่สมบูรณ์ที่สุด หนึ่งในพยานผู้รู้เห็นการทดลองครั้งนี้เผยว่า เหยื่อที่ได้รับสารพิษเข้าไปมีร่างกายอ่อนเปลี้ย นิ่งงัน และเสียชีวิตในเวลาเพียง 15 นาที 

          ไมรานอฟสกี้ถูกจับในปี 2494 พร้อม ๆ กับการจับกุมตัวนายพลวิกเตอร์ อะบาคูมอฟ (Viktor Abakumov) ผู้บังคับบัญชาที่เห็นชอบกับการทดลอง พร้อมรับโทษจำคุกฐานกระทำทดลองเหี้ยมโหดกับมนุษย์ด้วยกัน


3. หนูทดลองโรคซิฟิลิสที่ไร้การรักษา (The Tuskegee Syphilis Study)

          การทดลองโรคซิฟิลิสในคนผิวสีที่ปล่อยให้ผู้ป่วยตายลงช้า ๆ โดยไม่รักษา เพื่อสังเกตการพัฒนาของโรคแต่ละระยะ การทดลองทางการแพทย์นี้เกิดขึ้นในช่วงระหว่างปี 2475-2515 ที่เมืองทัสเคจี (Tuskegee) ในรัฐอลาบามา สหรัฐฯ ซึ่งเป็นเมืองที่มีชาวแอฟริกันอพยพอาศัยอยู่มาก ผู้เข้าร่วมการทดลองเป็นชายผิวสีทั้งหมด 399 ราย (โดยมี 201 รายเป็นกลุ่มควบคุมที่ไม่ติดเชื้อซิฟิลิส) ส่วนใหญ่เป็นชาวไร่ผู้ยากจน ไม่รู้หนังสือ และถูกปฏิเสธการรักษาโรคซิฟิลิสจากแพทย์ในพื้นที่

          ความเลวร้ายของการทดลองนี้อยู่ที่ผู้ทำการทดลองไม่ได้แจ้งแก่ผู้ป่วยว่าสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นเป็นส่วนหนึ่งของการทดลอง ไม่มีการให้เซ็นเอกสารรับทราบการทดลอง และไม่มีการแจงผลวินิจฉัยโรคแก่พวกเขาเลยสักครั้ง นอกเสียจากบอกว่าพวกเขามีเลือดที่เป็นพิษและจะทำการรักษาให้ฟรี รวมถึงอุดหนุนค่าเดินทาง อาหาร และฝังศพฟรีกรณีเสียชีวิต 

          การรักษาโรคซิฟิลิสในช่วงนั้นทำโดยการให้สารพิษเข้าไปทำลายโรค ทว่าเป็นวิธีการที่อันตรายและไม่สามารถยืนยันได้ว่าผลการรักษาจะออกมาดี การทดลองนี้จึงมีขึ้นเพื่อทดสอบว่าสิ่งใดเหมาะสมกว่ากัน ระหว่างการทำการรักษาหรือปล่อยให้ผู้ป่วยทรุดตายไปตามอาการ ผู้ป่วยในกลุ่มทดลองบางรายจึงไม่ได้รับการรักษาอย่างที่บอกไว้ เพื่อใช้เป็นกลุ่มสังเกตอาการป่วยแต่ละช่วง โดยถูกให้ยาหลอกโดยบอกว่าว่าสามารถรักษาโรคได้ 

          เมื่อการทดลองสิ้นสุดลงเหลือผู้ป่วยที่รอดชีวิตเพียง 74 ราย ส่วนผู้ป่วย 28 ราย เสียชีวิตจากโรคซิฟิลิส และ 100 ราย เสียชีวิตจากอาการแทรกซ้อนระหว่างการทดลอง ขณะที่ภรรยาของผู้ป่วย 40 ราย ติดเชื้อซิฟิลิสจากสามี และส่งผลให้ทารก 19 รายคลอดออกมาติดเชื้อซิฟิลิสแต่กำเนิด 


2. การทดลองวิปริตยูนิต 731 (Unit 731) 

          การทดลอง Unit 731 แสนอำมหิตวิปริตของญี่ปุ่น เกิดขึ้นระหว่างช่วงสงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่ 2 (ปี 2480–2488) และสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นการทดลองที่ใช้มนุษย์เป็นเหยื่อและขึ้นชื่อว่าเป็นการกระทำเยี่ยงอาชญากรสงครามที่เลวร้ายที่สุดของญี่ปุ่น ผู้บัญชาการการทดลองนี้คือนายพลชิโระ อิชิอิ (Shiro Ishii)และผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาในหน่วย 731

          การทดลองลับนี้ทำขึ้นเพื่อศึกษาผลทั้งด้านเคมีและชีววิทยาเกี่ยวกับกรณีต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ในสงคราม มีการผ่าตัดเหยื่อเป็น ๆ (ในกลุ่มเหยื่อทดลองมีสตรีซึ่งกำลังตั้งครรภ์ด้วย),  การตัดอวัยวะนักโทษแล้วนำมาต่อติดใหม่โดยสลับตำแหน่ง, จับร่างกายบางส่วนไปแช่เย็นแล้วนำมาทำให้อบอุ่นใหม่เพื่อสังเกตการตอบสนองของกล้ามเนื้อ, ใช้นักโทษเป็นเหยื่อเป็น ๆ ในการทดลองลูกระเบิดและปืนเพลิง, หลอกฉีดเชื้อโรคให้นักโทษโดยบอกว่าเป็นวัคซีน เพื่อศึกษาอาการติดเชื้อ รวมทั้งการศึกษาอาการของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ว่าจะเป็นอย่างไรหากไม่ได้รับการรักษา โดยบังคับให้นักโทษติดเชื้อทั้งชายและหญิงมีเพศสัมพันธ์กับเหยื่อไม่ติดเชื้อคนอื่น ๆ เพื่อสังเกตความเป็นไปของอาการโรคซิฟิลิสและหนองใน 

          การทดลองหน่วย 731 ที่แสนโหดร้ายวิปริตสิ้นสุดลงพร้อม ๆ กับที่ญี่ปุ่นแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 นายพลอิชิอิชิงมอบตัวกับสหรัฐฯ เสียก่อนที่จะถูกรัสเซียจับได้ เขาไม่ได้ถูกดำเนินคดีฐานอาชญากรสงคราม โดยแลกกับการมอบผลข้อมูลลับจากการทดลองให้สหรัฐฯ ทว่าไม่เป็นที่เปิดเผยว่าเป็นข้อมูลส่วนไหน ส่งผลให้นายพลอิชิอิไม่เคยได้รับโทษจากสิ่งที่ตัวเองก่อขึ้นเลย จนกระทั่งเสียชีวิตลงในวัย 67 ปี ด้วยโรคมะเร็งที่ลำคอ 


1. การทดลองอำมหิตของนาซี (Nazi Experiments)

          การทดลองอันลือเลื่องว่าแสนอำมหิตของนาซีเยอรมันที่กระทำต่อนักโทษในค่ายกักกันของตัวเอง เกิดขึ้นระหว่างช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ส่วนใหญ่ดำเนินการที่ค่ายเอาช์วิตซ์ (Auschwitz) ภายใต้การนำของดอกเตอร์เอ็ดดวด เวิร์ธส์ (Eduard Wirths) การทดลองทางการแพทย์ที่เกิดขึ้นเป็นการจำลองสถานการณ์ต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ในสงคราม เพื่อดูว่าแต่ละสถานการณ์ผู้ประสบเหตุมีอาการอย่างไรและดูว่าจะทำการช่วยเหลืออย่างไรได้บ้าง รวมถึงทดลองเพื่อพิสูจน์สมมติฐานข้อสงสัยต่าง ๆ ทางการแพทย์ 

          มีการคัดเลือกนักโทษฝาแฝดกว่า 1,500 คู่ เพื่อทดลองด้านการตัดแต่งปรับปรุงพันธุกรรม โดยดอกเตอร์โจเซฟ เมนเกเล (Josef Mengele) ผู้นำการทดลอง ได้คัดเลือกพี่น้องฝาแฝดที่มีความหลากหลายทั้งเพศและวัยมาป็นเหยื่อการทดลอง ซึ่งมีทั้งการฉีดสารเคมีเข้าไปในลูกตาเพื่อดูว่าจะสามารถเปลี่ยนสีลูกตาได้หรือไม่ การนำแฝดมาเย็บตัวติดกันเพื่อทดสอบว่าสามารถสร้างแฝดสยามขึ้นมาได้เองหรือเปล่า ฯลฯ หลังการทดลองเหล่านี้สิ้นสุดลง มีผู้รอดชีวิตมาได้เพียง 200 กว่าคนเท่านั้น

          นอกจากนี้ยังมีการทดลองหาวิธีรักษาชีวิตในภาวะที่ร่างกายหนาวเย็นเป็นเวลานาน โดยนำนักโทษไปแช่ในอ่างน้ำแข็งนานกว่า 3 ชั่วโมง บ้างก็จับนักโทษแก้ผ้าไปแช่ในห้องเย็นที่อุณหภูมิต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง แล้วจึงทดลองด้วยวิธีการต่าง ๆ เพื่อหาทางคืนความอบอุ่นให้กับร่างกาย การทดลองหาทางรักษาบาดแผลจากออกสู้รบก็มี โดยจับนักโทษมาทำให้เกิดบาดแผลแล้วใส่เชื้อแบคทีเรียลงไปให้เกิดการอักเสบติดเชื้อ บางรายถูกทำให้เกิดภาวะเนื้อตาย ถูกใส่เชื้อบาดทะยัก ถูกนำเชือกมารัดที่บาดแผลเพื่อให้เลือดไม่ไหลเวียน บ้างก็นำขี้เลื่อยหรือเศษแก้วมาใส่แผลเพื่อจำลองสภาพบาดแผลของทหารในสงคราม แล้วจึงทำการทดลองรักษาด้วยซัลโฟนาไมด์ (sulfonamide) ซึ่งเป็นยาปฏิชีวนะ เพื่อทดสอบประสิทธิภาพการรักษา ฯลฯ

          นักโทษที่ไม่ถูกนำไปเป็นหนูทดลองก็ถูกเกณฑ์ไปใช้แรงงาน แต่สุดท้ายส่วนใหญ่ก็พบจุดจบเดียวกันคือความตาย ถ้าไม่ตายจากการทดลอง ก็กรำงานหนักจนตาย ป่วยตาย หรือถูกต้อนไปสังหารหมู่ด้วยการรมแก๊สพิษ ส่วนที่เหลือกลายเป็นผู้รอดชีวิตจากฝันร้ายที่แสนมืดมิด เมื่อนาซีเยอรมันเป็นฝ่ายพ่ายแพ้สงคราม อย่างไรก็ดีหลักฐานเกี่ยวกับการทดลองต่าง ๆ ถูกทำลายไป ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องบ้างถูกจับได้และขึ้นศาลในฐานะอาชญากรสงคราม แต่บางส่วนก็หลบหนีไปต่างประเทศแล้วเปลี่ยนเปลี่ยนชื่อแซ่ใหม่ ก่อนกลับมาวนเวียนในแวดวงการแพทย์อย่างลอยนวล

          เมื่อได้ย้อนกลับไปดูการทดลองเหล่านี้คราวใด ก็รู้สึกสลดหดหู่ใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นยิ่งนัก ว่าครั้งหนึ่งมนุษย์กระหายใคร่รู้ในความรู้แขนงต่าง ๆ จนถึงกับจงใจเลือกใช้วิธีการทดลองที่โหดร้ายกับมนุษย์ด้วยกันเอง ไม่ว่าจะเหยื่อนั้นจะสมัครใจหรือไม่ก็ตาม อย่างไรก็ดีสิ่งที่ได้มาจากความโหดร้ายที่บางอย่างถึงกับเข้าข่ายวิปริตเหล่านี้ คือความรู้เปื้อนเลือดอันแสนมีค่าที่ได้รับการพัฒนาต่อยอดเป็นทฤษฎีทางวิชาการที่น่าเชื่อถือ ตลอดจนเบิกความรู้ใหม่ ๆ ให้วงการแพทย์จนนำไปสู่วิธีการรักษาโรคต่าง ๆ แต่ก็หวังว่าความเลวร้ายจากการทดลองที่ไร้ซึ่งจริยธรรมเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นซ้ำสองอีกในโลกยุคปัจจุบัน 




เรื่องที่คุณอาจสนใจ
10 การทดลองสุดโหดไร้จริยธรรมเท่าที่เคยทำกับมนุษย์ อัปเดตล่าสุด 13 สิงหาคม 2563 เวลา 10:34:41 166,778 อ่าน
TOP
x close