
สรุปประเด็นข่าวโดยกระปุกดอทคอม
ภาพประกอบทางอินเทอร็เน็ต
แหล่งข่าวจากอู่ติดตั้งเครื่องยนต์ก๊าซธรรมชาติ (เอ็นจีวี) สำหรับยานยนต์ เปิดเผยว่า ภายหลังกระทรวงพลังงานมีนโยบายปรับขึ้นราคาก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) เดือน ก.ค.นี้ รวมถึงเกิดปัญหาขาดแคลน ทำให้ผู้ใช้รถยนต์ที่เดิมจะไปติดตั้งเครื่องยนต์แอลพีจีชะลอการตัดสินใจ และเริ่มเปลี่ยนไปติดตั้งเครื่องยนต์เอ็นจีวีในรถยนต์แทน ส่งผลให้ ยอดการติดตั้งเอ็นจีวีเพิ่มขึ้นเฉลี่ย วันละกว่า 300 คัน จากก่อนหน้านี้วันละ 100 คัน
อย่างไรก็ตาม ยอดติดตั้งเอ็นจีวีที่เพิ่มขึ้นอาจทำให้เกิดปัญหากับผู้ใช้รถยนต์ เพราะปัจจุบันมีอู่ที่ได้มาตรฐานเพียง 35 แห่ง ทำให้ต้องใช้เวลานานกว่าจะได้รับการติดตั้ง ขณะที่บางคนถึงขนาดว่าถ่ายก๊าซจากถังก๊าซในครัวเรือนไปใช้ในรถยนต์
นายณอคุณ สิทธิพงศ์ รองปลัดกระทรวงพลังงาน กล่าวเตือนว่า เป็นเรื่องอันตรายและผิดกฎหมาย ทั้ง พ.ร.บ.การค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ร.ก.แก้ไขและป้องกันการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง และคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 4/2547 ข้อ 23 ก็ระบุชัดเจนว่า ผู้ใดนำก๊าซจากถังก๊าซหุงต้มมาเป็นเชื้อเพลิงในยานพาหนะถือว่าเป็นเรื่องผิดกฎหมาย
เช่นเดียวกับ พล.ท.หญิง พูนภิรมย์ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวเตือนประชาชนที่นำก๊าซหุงต้มในครัวเรือนไปใช้กับรถยนต์ว่า จะทำให้เกิดอันตรายได้ ขณะนี้พบว่ามีหลายพื้นที่ที่ดำเนินการในลักษณะดังกล่าว แม้จะประหยัด แต่หากเกิดความผิดพลาดขึ้นจะส่งผลเสียตามมามากมาย และขอร้องประชาชนที่ติดตั้งแอลพีจีในรถยนต์ไปแล้ว หากยังไม่จำเป็นต้องไปเติมก๊าซก็อย่าเพิ่งไปเติม เพราะยิ่งจะซ้ำเติมปัญหา อาจทำให้เกิดการขาดแคลนชั่วคราวได้อีก ทั้งที่ปริมาณแอลพีจีขณะนี้มีเพียงพอต่อความต้องการใช้ ไม่ได้ขาดแคลน
"ปัญหาเกิดขึ้นเพราะประชาชนเติมมาก อาจจะจัดส่งไม่ทันกับการใช้จนเกิดปัญหา ส่วนการพิจารณาปรับโครงสร้างแอลพีจีใหม่ที่แบ่งเป็น 2 ราคา ระหว่างภาคครัวเรือนและภาครถยนต์-อุตสาหกรรมนั้น ขณะนี้คณะกรรมการพิจารณาที่มี นายพรชัย รุจิประภา ปลัดกระทรวงพลังงาน เป็นประธาน จะเร่งรัดพิจารณาให้เร็วที่สุด" รมว.พลังงานกล่าว







