x close

อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ โชว์ 6 เดือน พ้นจุดวิกฤติ ลุยสวัสดิการชาติ

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี

 อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ



อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ โชว์ 6 เดือน พ้นจุดวิกฤติ ลุยสวัสดิการชาติ (ไทยรัฐ)

          นายกรัฐมนตรี แถลงผลงานรอบ 6 เดือนรัฐบาล มั่นใจพ้นจุด วิกฤติ เดินหน้าทำสวัสดิการชาติอย่างชัดเจนต่อไป เพื่อให้ประชาชนทุกคนมีหลักประกันในชีวิต...

          วันนี้ (6 สิงหาคม) เวลา 10.15 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทำเนียบรัฐบาล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้แถลงผลงานต่างๆ ของรัฐบาลในโอกาสบริหารงานมาครบ 6 เดือน (มกราคม - มิถุนายน 2552) โดยมีรองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีทุกกระทรวง พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการต่างๆ ทั้งจากภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ และสื่อมวลชน เข้าร่วมรับฟังการแถลงในครั้งนี้ 

          "สวัสดีครับพี่น้องประชาชนและสื่อมวลชนที่เคารพรักทุกท่าน วันนี้ผมขอใช้เวลาไม่มากนักในการพูดถึงการทำงานในช่วง 6 เดือนแรกหลังจากที่เข้ามารับหน้าที่และบริหารราชการแผ่นดิน และในช่วงท้ายจะเปิดโอกาสให้สื่อมวลชนได้สอบถามซักถามเกี่ยวกับงานที่เราได้ทำมา และที่กำลังจะเดินหน้าต่อไป

          ผมอยากจะเริ่มต้นอย่างนี้ครับว่า อยากให้ทุกคนได้นึกย้อนกลับไปเมื่อปลายปีที่แล้วเดือนธันวาคม 2551 เป็นช่วงเวลาที่ผมเชื่อว่าทุกคนในสังคมมีความทุกข์ มีความทุกข์ มีความวิตกกังวล ทั้งในเรื่องของปัญหา วิกฤตเศรษฐกิจ ซึ่งได้ลุกลามมาจากต่างประเทศอย่างชัดเจนตั้งแต่ประมาณเดือนตุลาคมปีที่แล้ว และตัวเลขทางเศรษฐกิจซึ่งเคยเติบโตมาโดยตลอด ก็เริ่มเห็นเป็นตัวเลขที่ติดลบมาตั้งแต่ช่วงปลายปีที่แล้ว และที่สำคัญคือว่าวิกฤตทางการเมือง และความขัดแย้งของผู้คนในสังคมทวีความรุนแรง และเป็นวิกฤตที่ต่อเนื่องยาวนานมาเป็นระยะเวลาหลายปี แต่ผมคิดว่าที่แย่ที่สุดในขณะนั้นคือว่า นอกเหนือจากที่พี่น้องประชาชนมีความทุกข์กับวิกฤต 2 วิกฤตที่เกิดขึ้นแล้ว เรามองไม่เห็นทางออกในวันนั้น ไม่มีใครกล้าแม้ที่จะตั้งความหวังว่าเศรษฐกิจไทย การเมืองไทย ประเทศไทยจะเดินไปอย่างไร ผมและรัฐบาลเข้ามารับภาระหน้าที่ในสถานการณ์อย่างนั้น และผมรู้ตั้งแต่วันแรกว่าวิกฤตที่จะต้องคลี่คลายที่จะต้องแก้ไขไม่ง่าย ความรุนแรงทั้งวิกฤตเศรษฐกิจและการเมือง ต้องถือว่ารุนแรงมาก เมื่อเทียบกับวิกฤตครั้งอื่นๆ ที่เราเคยประสบมาในประวัติศาสตร์ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ผมได้ให้คำมั่นสัญญาตั้งแต่วันแรกก็คือ ผมและรัฐบาลจะทุ่มเททำงานอย่างหนัก และไม่มีอะไรดีไปกว่าการยึดมั่นผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นที่ตั้งในการทำงาน และถ้าจะสรุปต้องบอกว่าเป้าหมายของรัฐบาลคือความสุขของพี่น้องประชาชนคนไทย 

          ในการทำงานในการกำหนดนโยบายนั้น ผมได้ยึดถือเอานโยบายที่ได้แถลงต่อรัฐสภา ซึ่งกลั่นกรองมาจากนโยบายของพรรคการเมืองร่วมรัฐบาลทุกพรรค และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์นั้นเคยมีเรื่องของแผน ปฏิบัติการเร่งด่วน 99 วันอยู่ด้วย ก็ได้ถือเอาตรงนั้นมาเป็นหลักในการกำหนดทิศทางนโยบาย พร้อมๆ ไปกับการทำความเข้าใจกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ สังคม การเมือง ซึ่งอาจจะแตกต่างไปจากวันที่พรรคการเมืองทั้งหลายได้เคยกำหนดนโยบายไว้ใน ช่วงของการเลือกตั้ง 6 เดือนแรกหรือครึ่งปีแรกผ่านไป นโยบายเหล่านั้นถูกแปรสภาพมาเป็นกว่า 100 มาตรการ และผมมั่นใจว่าได้นำไปสู่อีกหลายล้านความสุขที่เกิดขึ้นในหมู่ประชาชนคนไทย ทั้งประเทศ 

          ผมอยากจะชี้ให้เห็นว่าสถานการณ์ที่พวกเราเข้ามาทำงานนั้น ผมเปรียบเทียบอยู่เสมอว่าเสมือนกับเข้ามาแก้ไขปัญหาอาคารที่กำลังถูกไฟไหม้ งานแรกที่เราต้องทำคือต้องช่วยเหลือคนที่อยู่ในอาคาร นั่นหมายถึงคนที่อ่อนแอที่สุด คนที่มีความเสี่ยงที่สุด ที่จะได้รับผลกระทบจากวิกฤตที่เกิดขึ้น งานที่ 2 คือ ดับไฟ นั่นคือต้องหามาตรการในการที่จะมาแก้ปัญหาให้ตรงจุดกับวิกฤตเศรษฐกิจและ การเมืองที่เกิดขึ้น และแน่นอนที่สุด งานที่ 3 ไม่ได้มีความสำคัญยิ่งหย่อนไปกว่า 2 งานแรกคือการสร้างความแข็งแกร่งออกแบบอาคารใหม่ ให้สามารถที่จะเป็นที่อยู่อาศัยที่ทุกคนมีความสุข มีความมั่นคง และมีความมั่นใจมากยิ่งขึ้นในการที่จะเผชิญกับเหตุการณ์ต่างๆ ในอนาคต ทุกนโยบายทุกมาตรการ ผมได้จัดลำดับและทำให้เกิดความสม่ำเสมอต่อเนื่อง ก็คือว่าทำข้อที่ 1 ก็เล็งเอาไว้เลยว่าข้อที่ 2 จะต้องเกิดขึ้นด้วย ทำข้อที่ 2 ก็จะต้องแก้ข้อที่ 3 ไปพร้อมๆกันด้วย ไม่มีลักษณะของการทำงานที่จะแก้ปัญหาเฉพาะหน้าอย่างเดียว หรือหรือแก้ปัญหาว่าวันนี้เป็นอย่างไร ขอให้ปัญหาพ้นไป ไม่ใช่แนวทางที่รัฐบาลได้ทำงานในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา 

          ผมอยากจะเริ่มต้นด้วยการสรุปงานสำคัญที่รัฐบาลได้ดำเนินการจนประสบความสำเร็จแล้วใน 6 เดือนแรก หลายเรื่องผมถือเป็นคำมั่นสัญญา จะเป็นจากการหาเสียง จะเป็นจากการกำหนดนโยบายของพรรค ของรัฐบาล หรือการแสดงวิสัยทัศน์ในที่ต่างๆ ผมอยากจะยืนยันว่าคำมั่นสัญญาหลายอย่าง ซึ่งพี่น้องประชาชนคนไทยได้ยินซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพิ่งมาเป็นจริง และเราได้ทำแล้วในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา ผมเริ่มต้นจากการช่วยเหลือคน กลุ่มคนกลุ่มแรกที่เราได้ช่วยเหลือชัดเจนที่สุดคือเด็ก เยาวชน และผู้ปกครอง เป็นการบรรเทาภาวะวิกฤตทางเศรษฐกิจในเรื่องของค่าใช้จ่าย พร้อมๆ ไปกับการวางรากฐานที่สำคัญที่สุดที่ผมยืนยันมาตลอดก็คือเรื่องของการลงทุนใน ด้านการศึกษา ต้องขอขอบคุณว่านโยบายเรียนฟรี 15 ปี ที่เด็กของเราได้รับประโยชน์ 12 ล้านคน คือนโยบายที่สามารถผลักดันออกมาได้เป็นรูปธรรม

          โดยมีการส่งเงินที่เป็นค่าใช้จ่ายในเรื่องของเครื่องแบบ ในเรื่องของอุปกรณ์การเรียน และสนับสนุนเรื่องของตำราเรียนให้กับผู้ปกครองทั้งหมด พร้อมๆ กับการลดรายการที่มีการเรียกเก็บ โดยไม่ให้เก็บในรายการที่เป็นเรื่องของการศึกษาขั้นพื้นฐานที่ถือเป็นบริการ พื้นฐานที่เป็นสิทธิที่ลูกหลานเราจะต้องได้รับ งานนี้เป็นงานซึ่งควรจะทำมาตั้งนานแล้ว กฎหมายบังคับมาให้ทำตั้งแต่ปี 2545 แต่ก็ไม่ได้มีการดำเนินการอย่างจริงจัง ผมต้องขอบคุณทางกระทรวงศึกษาธิการ ที่การกำหนดนโยบายอาจจะคิดง่ายครับ ประโยคสั้นๆ เรียนฟรี แต่ในแง่ของการปฏิบัติผมรู้ว่ามีเรื่องที่เป็นรายละเอียดยุ่งยากมากมาย แต่ก็ได้ทำสำเร็จภายในการเริ่มต้นของปีการศึกษาคือเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา

          กลุ่มคนกลุ่มที่ 2 คือ ผู้สูงอายุ เช่นเดียวกันในขณะที่เราบอกว่าผู้สูงอายุของเราควรจะได้รับการตอบแทนจาก สังคมนี้ แต่นโยบายเพียงแค่จะมีเบี้ยยังชีพไม่ได้มากมายอะไรเลยครับ 500 บาทต่อเดือน เราก็ยังมีผู้สูงอายุหลายล้านคน ซึ่งไม่เคยได้รับโอกาสตรงนี้ ภายใน 6 เดือนเช่นเดียวกันครับ เราได้จัดระบบให้มีการขึ้นทะเบียนสำหรับผู้สูงอายุ อายุเกิน 60 ปีทุกคน ยกเว้นผู้ที่มีบำนาญอยู่แล้ว ที่สุดก็มีคนที่มาใช้สิทธิ 3,500,000 คน เพิ่มเติมจากที่รับอยู่ในปัจจุบัน เงินเบี้ยยังชีพสำหรับผู้สูงอายุบัดนี้ก็จ่ายเป็นรายเดือน และจะมีการเดินหน้าตลอดไป รวมทั้งจะมีการขึ้นทะเบียนรอบใหม่ในเดือนกันยายนสำหรับคนที่มีอายุถึง 60 หลังจากเดือนมีนาคมที่ผ่านมา 

          ถัดมาเราต้องดูแล พี่น้องประชาชนที่ยากจนที่สุด คือ กลุ่มเกษตรกร จริงอยู่นโยบายการช่วยเหลือเกษตรกรนั้น เราไม่สามารถที่จะเริ่มต้นใหม่ได้ เพราะว่าคาบเกี่ยวกับฤดูกาลการเพาะปลูก แต่เราเจอกับปัญหาที่ว่าโครงการการแทรกแซงราคาพืชผลนั้น โควตาที่กำหนดไว้ไม่พอเพียง และมีปัญหาอีกหลายปัญหา แต่ได้มีการดำเนินการแก้ไขทั้งในส่วนที่เป็นพืชหลัก ข้าว มันสำปะหลัง ข้าวโพด ปาล์ม ยาง ไปจนถึงเรื่องของผลไม้ที่ออกมาตามฤดูกาลต่างๆ จนในที่สุดเกษตรกรกว่า 1,500,000 ครัวเรือน หรือครอบครัวได้ประโยชน์จากตรงนี้ ถัดจากเกษตรกร เราต้องไปช่วยคนว่างงาน ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกฝ่ายวิตกกังวลและเป็นห่วงที่สุดที่จะเป็นผลกระทบจากวิกฤต เศรษฐกิจ โครงการที่รัฐบาลได้ดำเนินการคือ ต้นกล้าอาชีพ ซึ่งจนถึงขณะนี้ปรากฏว่ามีผู้ผ่านการอบรมแล้วกว่า 200,000 คนทั่วประเทศ และได้สร้างงานกว่า 140,000 คน รวมทั้งอีก 20,000 คนที่เป็นโครงการที่เป็นการชะลอการเลิกจ้าง อันนี้คือในส่วนของต้นกล้าอาชีพ และถ้ารวมกับที่กระทรวงแรงงานได้ดำเนินการนโยบาย 3 ลด 3 เพิ่ม ก็มีการสร้างงานอยู่หลายแสนอัตรา รวมไปถึงการชะลอการจ้างงานในส่วนของโครงการของกระทรวงแรงงานอีกจำนวนหนึ่ง เช่นเดียวกัน และสำหรับพี่น้องประชาชน ทั่วไป ก็ได้มีการดำเนินการมาตรการลดภาระค่าครองชีพช่วยเหลือประชาชน 5 มาตรการด้วยกัน เรื่องของก๊าซหุงต้ม ซึ่งมีการตรึงราคาไว้ เพราะเรารู้ว่าเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับเกือบทุกครัวเรือน ก็ได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เรื่องของการลดและให้ใช้น้ำ ไฟ ฟรี สำหรับคนที่ใช้สิ่งเหล่านี้เป็นจำนวนน้อย ได้ช่วยเหลือในการลดภาระพี่น้องประชาชนไปประมาณ 8 ล้านครัวเรือน กว่า 8 ล้านสำหรับไฟ และต่ำกว่า 8 ล้านสำหรับน้ำ แต่ก็ถือว่าครอบคลุมคนจำนวนมากในบ้านเมืองของเรา 

          ขณะเดียวกันในส่วนของรถเมล์ รถไฟ กระทรวงคมนาคมก็เดินหน้าในการสานต่อในเรื่องของโครงการที่ให้บริการฟรี สำหรับผู้มีรายได้น้อย ก็มีการประมาณการกันว่า มีผู้ได้มาใช้ประโยชน์จากตรงนี้ รถเมล์อาจจะเดือนละ 13 ล้านเที่ยว รถไฟอาจจะ 3 ล้านเที่ยวต่อเดือน ก็เป็นการลดภาระค่าครองชีพของพี่น้องประชาชน ส่วนคนที่มีรายได้อยู่ แต่เป็นรายได้น้อยนั้น เราได้มีการแบ่งเบาภาระโดยการเพิ่มรายได้ในโครงการ เช็คช่วยชาติ 2,000 บาท และมีคนได้รับเช็คตรงนี้ไปแล้วอีก 9 ล้านคน และเสริมด้วยโครงการที่เข้าไปดูแลเศรษฐกิจของชุมชน ก็คือในส่วนของชุมชนพอเพียง ซึ่งขณะนี้มีโครงการลงไปประมาณ 30,000 โครงการแล้ว 

          นี่คือกลุ่มคนต่างๆ ที่เราช่วยเหลือ แต่ในส่วนของภาคธุรกิจเอกชนในภาพรวม ผมจะไม่ขอใช้เวลามาเล่าถึงมาตรการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นภาคการท่องเที่ยว จะเป็นภาคการค้า การลงทุน ซึ่งกระทรวงทางเศรษฐกิจทั้งหลายได้ร่วมกันทำงานอย่างเป็นทีม และมีการติดตามสถานการณ์ใกล้ชิดอยู่ทุกสัปดาห์ใน ครม.เศรษฐกิจ แต่ว่าผมยกเพียงตัวอย่างเดียวว่าในส่วนของวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม ซึ่งมีปัญหาในเรื่องสินเชื่อ เราก็ต้องใช้หลายมาตรการ และสามารถทำให้มีการปล่อยสินเชื่อรวมไปได้ในช่วงแรก 22,800 กว่าล้านบาท และในปัจจุบันหลังจากเดือนมิถุนายนเป็นต้นมา ปริมาณสินเชื่อที่ปล่อยในโครงการต่างๆ เหล่านี้มีการเร่งในอัตราที่สูงขึ้นทุกเดือนๆ

          นอกจากโครงการเหล่านี้ กลุ่มคนเหล่านี้แล้ว ยังมีนโยบายบางเรื่องซึ่งเราเคยพูดเราเคยสัญญากันมา และวันนี้เราก็ได้ทำจริงแล้ว ก็คือกรณีของ อสม. ทั่วประเทศเกือบ 1 ล้านคน ที่ได้ค่าตอบแทนคนละ 600 บาทต่อเดือน ดังนั้น จะเห็นว่ามาตรการในการช่วยเหลือพี่น้องประชาชนในช่วงที่ยากลำบากนั้น เราได้ทำเพื่อคนไทยทุกภาคทุกคน เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนจากวิกฤตเศรษฐกิจที่รุนแรงที่สุดในรอบ 60 - 80 ปี และอีกสักครู่ผมจะชี้ให้เห็นว่าแม้ว่ามาตรการเหล่านี้ยังไม่สามารถ ทำให้เศรษฐกิจกลับมาขยายตัวเป็นบวกได้ ซึ่งเราก็คาดการณ์ตั้งแต่แรกว่าจะกลับมาขยายตัวเป็นบวกจะต้องเป็นในช่วงปลายปี แต่ได้ส่งผลอย่างไรต่อภาพรวมของระบบเศรษฐกิจ  ตรงนี้อย่างที่ผมบอกครับคือการช่วยเหลือคนพร้อมๆ ไปกับการบรรเทาและมีส่วนในการแก้ปัญหาส่วนหนึ่ง เพราะว่ามาตรการเหล่านี้ก็เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่เราไม่ได้หยุดเท่านั้น เราเดินหน้าต่อทันทีว่าเราจะต้องแก้และกระตุ้นเศรษฐกิจพร้อมๆ ไปกับเพิ่มความเข้มแข็งให้กับประเทศไทยของเรา ลงทุนเพื่อคนไทยทั้งประเทศ และในช่วงระยะเวลา 6 เดือนเช่นเดียวกัน เราก็ได้จัดทำแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง แล้วก็ได้มีการจัดแผนในเรื่องของการระดมทุนเข้ามา ซึ่งก็คือเงินที่เป็นเงินฝากของพี่น้องประชาชนที่อยู่ในระบบธนาคารส่วนหนึ่ง และขณะนี้ก็ได้มาซื้อพันธบัตรออมทรัพย์ไทยเข้มแข็งไปแล้ว ที่เหลือจะเป็นการกู้เงินจากภายในประเทศ เพราะว่าเงินในระบบธนาคาร สภาพคล่องของเรายังมีมาก ไม่ได้เป็นเรื่องของการไปก่อหนี้โดยการไปกู้เงินจากต่างประเทศแต่อย่างใด ในปฏิบัติการไทยเข้มแข็งนั้น สิ่งที่เรากำลังทำคือเรากำลังวางรากฐานสำหรับประเทศไทย หลังจากที่เราต้องยอมรับครับว่าหลายปีที่ผ่านมานั้น โครงสร้างพื้นฐานของประเทศนั้นเสื่อมโทรมลงไปมาก ส่งผลกระทบต่อขีดความสามารถในทางการแข่งขันทางเศรษฐกิจ ไทยเข้มแข็งก็ครอบคลุม 7 ด้านนะครับ ด้านแรกก็คือในส่วนของการดูแลภาคการเกษตรของเรา ที่จะมีการสร้างและปรับปรุงแหล่งน้ำทั่วประเทศ เกือบ 1,500 แห่งครับ และจะมีประมาณ 1,000,000 ครัวเรือนที่ได้ประโยชน์จากระบบชลประทานและการกระจายน้ำที่จะเกิดขึ้นจากการ ลงทุนครั้งใหญ่ครั้งนี้

          ด้านที่ 2 คือเรื่องของการขนส่ง คมนาคม โลจิสติกส์ ซึ่งอันนี้ก็มีตั้งแต่ระบบราง ที่จะมีการดำเนินการลงทุนครั้งใหญ่ครั้งหนึ่งในส่วนของรถไฟ ซึ่งกระทรวงคมนาคมก็เดินหน้าเต็มที่ ทั้งในภูมิภาค และในกรุงเทพมหานคร ในภูมิภาคนั้นก็จะเป็นการปรับปรุงรางเดิม วางระบบรางคู่ มีเป้าหมายในการเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้านและเชื่อมโยงกับประเทศจีนที่จะ เกิดขึ้นต่อไป เป็นการอำนวยความสะดวกให้คนไปมาหาสู่ และเป็นการเปิดเส้นทางเพื่อเอาสินค้าออกมาจากพี่น้องประชาชนในพื้นที่ต่างๆ ที่เคยอยู่ห่างไกล สามารถเข้าถึงตลาดได้มากขึ้น ส่วนระบบถนนนั้นก็จะมีถนนไร้ฝุ่น ถนนปลอดภัย ทุกชุมชนนะครับในส่วนของกรม ในส่วนของกระทรวงคมนาคมนั้นก็จะดำเนินการให้เสร็จภายใต้ปฏิบัติการไทยเข้ม แข็ง นี่คือด้านที่ 2

          ด้านที่ 3 เดินหน้าในส่วนของการศึกษา ว่านอกจากเรื่องเรียนฟรีที่ได้ทำไปแล้ว เราก็กำลังจะยกระดับคุณภาพของโรงเรียนอีกกว่า 8,000 แห่ง มีการปรับปรุงห้องสมุดกว่า 1,700 แห่ง แล้วก็จะไปเป็นส่วนหนึ่งของแนวทางของการปฏิรูปการศึกษา ซึ่งมีรายละเอียดอีกมากที่เราจะทำ ไม่ว่าจะเป็นห้องเรียนวิทยาศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นการยกเครื่องระบบการสอบคัดเลือกหรืออะไรต่างๆ ซึ่งจะทำให้คุณภาพการศึกษาเราดีขึ้น

          ด้านที่ 4 เป็นเรื่องของการสาธารณสุข ซึ่งจะมีการยกระดับสถานีอนามัย มาเป็นโรงพยาบาลสร้างเสริมสุขภาพระดับตำบลทั่วประเทศ ที่จริงเริ่มต้นก่อนไทยเข้มแข็งไป 1,000 แห่งครับ จะเสร็จในปีนี้ แล้วก็จะดำเนินการที่เหลือในโครงการไทยเข้มแข็งนี้พร้อมๆ กับการลงทุนในโรงพยาบาลระดับอำเภอ ระดับจังหวัดกว่า 800 แห่ง และก็มีเรื่องของการพัฒนาสถานพยาบาล รักษาโรคหัวใจ โรคมะเร็ง และโรคอื่นๆ ซึ่งเป็นโรคสำคัญที่ทำให้พี่น้องประชาชนคนไทยต้องเสียชีวิตหรือเจ็บป่วยอยู่ มีโครงการที่เกี่ยวข้องกับทางด้านของการวิจัย ที่จะเชื่อมโยงกับทั้งเศรษฐกิจ การศึกษา สาธารณสุข ก็คือห้องแล็ปแห่งชาติเพื่อคนไทย อันนี้ทั้งสร้างงานและลดการนำเข้า เช่นเดียวกัน อันนี้ก็เป็นอีกด้านหนึ่ง นอกนั้นก็เป็นเรื่องของการฟื้นฟูแหล่งท่องเที่ยว เป็นเรื่องของการที่จะส่งเสริมสนับสนุนเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ ซึ่งผมจะได้พูดต่อไป

          และด้านสุดท้ายที่สำคัญในปฏิบัติการไทยเข้ม แข็งก็คือ เป็นส่วนหนึ่ง ความจริงก็ถือเป็นหัวใจก็ได้ของการที่จะแก้ไขปัญหาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เกือบ 400 โครงการซึ่งต่อไปนี้ประชาชนในพื้นที่จะสัมผัสได้ เพราะมีเรื่องของการสนับสนุนอุตสาหกรรมฮาลาลครบวงจร มีการส่งเสริมในเรื่องของการปลูกปาล์มน้ำมัน และที่สำคัญคือว่ามีเป้าหมายว่าจะมีการเพิ่มรายได้ต่อหัว สำหรับพี่น้องประชาชนในพื้นที่นั้น ซึ่งอยู่ในระดับที่ต่ำมาก ให้ได้ประมาณ 60,000 บาทต่อคน ในช่วงของการเดินหน้าปฏิบัติการไทยเข้มแข็งนี้

          ผมเลยถือโอกาสเรียนนะครับว่าในส่วนของปัญหาภาคใต้ 6 เดือนแรกได้มีการปรับทิศทางปรับนโยบายอย่างชัดเจน เอาเรื่องของความยุติธรรมและการพัฒนารวมไปถึงการเมือง มานำในเรื่องของการทหาร แล้วก็เรื่องเดียวที่ผมได้พูดตั้งแต่ต้นว่าจะไม่สามารถทำได้ภายใน 99 วันก็คือเรื่องของกฎหมายในการตั้งสำนักงาน เราก็ได้ใช้วิธีการตั้งคณะรัฐมนตรีจังหวัดชายแดนภาคใต้ขึ้นมาเป็นการเฉพาะ และจะผลักดันกฎหมายในสมัยประชุมที่จะเริ่มต้นขึ้น ที่จริงเริ่มต้นขึ้นในเดือนนี้ เพื่อที่จะเดินหน้าในเรื่องนี้ต่อไป

          เพราะฉะนั้น 6 เดือนอย่างที่ผมบอกครับว่า เราทั้งช่วยคน เราดับไฟ และเราก็ได้วางรากฐานสำหรับอนาคตที่มีความเข้มแข็งมากขึ้น ผมได้ให้เห็นภาพว่าแต่ละกลุ่มคนนั้น ได้รับประโยชน์อย่างไรจากการทำงาน 6 เดือนที่ผ่านมา แต่ว่าผมอยากจะให้เห็นด้วยว่า ในภาพรวมวันนี้ หลังจากที่ทำงานไปแล้ว 6 เดือน ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจเป็นอย่างไร เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้นครับผมอยากจะบอกว่าการรายงานตัวเลขทาง เศรษฐกิจในอดีตเรามักจะดูตัวเลขเปรียบเทียบปีต่อปี ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ปกติ เข้าใจได้ แต่ในภาวะวิกฤตที่มีความเปลี่ยนแปลงความผันผวนมากนี้ การจะดูแนวโน้มว่าเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร จะต้องดูตัวเลขไตรมาสต่อไตรมาส และเดือนต่อเดือน

          พอเรามาดูตัวเลขตรงนี้ผมคิดว่าเราจะเห็นภาพ ชัดเจนขึ้นครับว่า สิ่งที่รัฐบาลได้ทำไปกับภาวการณ์เปลี่ยนแปลงในเศรษฐกิจโลก กำลังส่งผลต่อเศรษฐกิจของประเทศไทยอย่างไร นี่คืออัตราการเติบโตของ GDP เทียบไตรมาสต่อไตรมาส ซึ่งเป็นวิธีการคำนวณที่นิตยสารทางด้านเศรษฐกิจธุรกิจได้ใช้คำนวณกับประเทศ อื่นๆ มาบ้างแล้ว ผมก็เลยให้ทำดูกับประเทศในเอเชียที่สำคัญ อย่างเช่น จีน เวียดนาม เกาหลี และของไทยคือเส้นสีเขียวครับ อยากจะชี้ให้เห็นว่าถ้าดูจากตัวเลขอย่างนี้น่าจะบ่งบอกชัดเจนว่าเราได้ผ่าน จุดต่ำสุดไปแล้วจริงๆ แล้วขณะนี้กำลังมีแนวโน้มของการขยายตัวในอัตราที่ค่อนข้างเร่งตัวขึ้นมาพอ สมควร ถ้าเป็นภาษาอังกฤษเขาก็จะพูดว่าเป็นการฟื้นฟูแบบตัววี คือลงเร็วแล้วก็ขึ้นค่อนข้างเร็ว แต่ไม่ใช่เฉพาะตัวเลขตัวนี้ครับ ถ้าเราไล่ดูตัวเลขอื่นๆ ที่ตามมา มันจะบ่งบอกสัญญาณในลักษณะเดียวกันทั้งสิ้น เช่น ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม ถ้าเทียบในลักษณะของไตรมาสต่อไตรมาสก็จะเห็นสัญญาณของการฟื้นตัวอย่างชัดเจน ตัวอื่นๆ ก็เหมือนกันครับ อัตราการใช้กำลังการผลิตก็กำลังผงกหัวขึ้นมา และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้น ดัชนีการอุปโภคบริโภคของภาคเอกชน ซึ่งอันนี้คือเป้าหมายหลักของบรรดามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบแรกนะครับ ว่าจะสามารถหยุดยั้งการทรุดลงของสถานการณ์และกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ขณะนี้ก็เริ่มมีสัญญาณที่ดีเช่นเดียวกัน

          รายได้การจัดเก็บภาษี มูลค่าเพิ่ม ซึ่งจะสัมพันธ์กับเรื่องการบริโภค ก็เป็นภาพเหมือนกันหมดครับ ว่าขณะนี้การฟื้นตัวกำลังเริ่มขึ้น เช่นเดียวกับเรื่องของการส่งออก ถ้าดูตัวเลขไตรมาสต่อไตรมาส เดือนต่อเดือน รวมไปถึงดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม นอกจากนั้นครับในรายอุตสาหกรรมเอง ดูอัตราการเติบโตของยอดขายรถยนต์ จักรยานยนต์ ก็เป็นแนวโน้มเดียวกันหมด และขณะเดียวกันการสำรวจความคิดเห็นของผู้ประกอบการ ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของสมาคมบริษัทจดทะเบียน ถ้าถามถึงว่ามีสัญญาณการฟื้นตัวภาคการลงทุน มองไปข้างหน้า แล้วก็มองผลงานของรัฐบาลกับการกระตุ้นเศรษฐกิจ ก็ล้วนแล้วแต่เป็นการยืนยันครับว่า 6 เดือนที่ผ่านมาผมทราบดีว่าเป็นช่วงที่ทุกคนยากลำบากที่สุดจากวิกฤตเศรษฐกิจครั้งนี้ แต่ผมมั่นใจว่าจุดเลวร้ายที่สุดได้ผ่านพ้นไปแล้ว แล้วขณะนี้จากการวางแผนที่ต่อเนื่องในเรื่องมาตรการของเศรษฐกิจนั้น จะทำให้การฟื้นตัวเกิดขึ้น และเราได้เตรียมความพร้อมสำหรับเศรษฐกิจหลังการฟื้นตัวแล้วด้วย นี่คือภาพรวมเศรษฐกิจครับ

          สำหรับภาพรวมของประเทศในด้านอื่นๆ ผมก็อยากจะเรียนว่า 6 เดือนที่ผ่านมา ผมก็ต้องใช้เวลาพอสมควรในการไปสื่อสารกับต่างประเทศ ที่เห็นแต่ข่าวร้ายจากประเทศไทยมาโดยตลอดระยะเวลาหลายปี และก็สามารถดำเนินการหลายเรื่องโดยเฉพาะอย่างยิ่งในฐานะประธานของอาเซียนที่จะมีบทบาทในภูมิภาค ที่จะมีบทบาทในฐานะตัวแทนของภูมิภาคในเวทีโลกด้วย แน่นอนครับมีช่วงเหตุการณ์เดือนเมษายน ที่ยังคงเป็นปัญหา แล้วก็ในส่วนของปัญหาไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ซึ่งกำลังเป็นปัญหาในกว่า 100 ประเทศในขณะนี้ ก็ยังเป็นจุดที่เราจะต้องเดินหน้าในการแก้ไขปัญหาภาพลักษณ์ในส่วนนี้ต่อไป

          แต่อยากจะสรุปให้เห็นว่าภาพที่ได้ฉายออกมา 6 เดือน คือการทำงานที่มุ่งไปสู่ประชาชนด้วย และทำงานให้กับภาพรวมของประเทศ ของสังคม อย่างมีแผน อย่างมีทิศทางที่ชัดเจน ซึ่งขณะนี้ผมมั่นใจว่าจะทำให้เรามองเห็นว่าในอนาคตข้างหน้านั้น เราได้ก้าวผ่านพ้นช่วงที่เลวร้ายที่สุด และกำลังกลับเข้าสู่การฟื้นตัวอย่างแท้จริง แต่ผมอยากจะเรียนต่อไปครับว่า สิ่งที่สัญญาแล้ว ทำได้แล้ว ยังมีอีกหลายเรื่องที่เราสัญญาและจะสัญญาจะทำ แล้วก็จะทำให้เห็นให้เป็นผลอีก จะเป็นเรื่องใหญ่ๆ ที่กำลังเกิดขึ้นในประเทศไทย

          เรื่องแรกคือระบบสวัสดิการของประชาชน ครับ เราได้เริ่มต้นแล้วในเรื่องของการสนับสนุนสวัสดิการชุมชน เรากำลังจะขยายระบบประกันสังคม เพื่อให้คนไม่ว่าจะเป็นคู่สมรส บุตร ได้สิทธิมากขึ้น ขยายไปสู่แรงงานนอกระบบ เรากำลังจะทำระบบการออมสำหรับชราภาพ เพื่อให้คนไทยทุกคนเหมือนกับมีสิทธิที่จะมีประกันสังคมของตัวเองบ้าง 3 - 4 เรื่องนี้จะถูกนำมารวมกันเป็นระบบสวัสดิการของชาติอย่างชัดเจน และจะเกิดขึ้นภายใต้การทำงานของรัฐบาลชุดนี้ ต่อไปนี้เราจะได้พูดได้เต็มปากคำครับว่าไม่ใช่เฉพาะข้าราชการ ไม่ใช่เฉพาะคนที่อยู่ในประกันสังคมเท่านั้นที่มีหลักประกันในชีวิต ที่จะมีบำนาญต่อไปในอนาคต ประชาชนคนไทยทุกคนจะได้สิทธินี้ ในช่วงระยะเวลาอันใกล้ที่รัฐบาลกำลังจะเร่งรัดจัดทำกฎหมาย และวางระบบตรงนี้ทั้งหมด และไม่เพียงแต่สวัสดิการเท่านั้นนะครับ ปัญหาที่เป็นปัญหาในเชิงโครงสร้าง ในเชิงพื้นฐาน ในเชิงความไม่เป็นธรรม ที่มีอยู่ในสังคมไทย ที่เป็นปัญหาเรื้อรังนั้นก็จะได้รับการสะสางด้วย เช่น ปัญหาที่ทำกิน ที่ขณะนี้จากการทำงานกับภาคประชาชน เราก็กำลังจะเอาระบบโฉนดชุมชนมาใช้เป็นทางแก้ ทางเลือกอีกทางหนึ่ง เช่นเดียวกับที่เราจะขยายเรื่องของบ้านมั่นคงในระบบของที่อยู่อาศัย"


ขอขอบคุณข้อมูลจาก

ขอขอบคุณภาพประกอบจาก หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ

เรื่องที่คุณอาจสนใจ
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ โชว์ 6 เดือน พ้นจุดวิกฤติ ลุยสวัสดิการชาติ อัปเดตล่าสุด 6 สิงหาคม 2552 เวลา 18:04:32 21,182 อ่าน
TOP