x close

เปิดกรุ 10 ตำนานผีญี่ปุ่นอันเลื่องลือ



ขอขอบคุณภาพประกอบจาก hyakumonogatari.com

            ญี่ปุ่นนับเป็นประเทศหนึ่งที่มีเรื่องเล่าและตำนานเกี่ยวกับผีมากที่สุดในโลก ตามความเชื่อพื้นบ้าน ญี่ปุ่นเป็นเกาะที่มีพลังงานเหนือธรรมชาติสั่งสมอยู่ ทำให้ไม่แปลกที่จะมีเรื่องเล่าถึงสิ่งลี้ลับเหนือธรรมชาติอยู่มากมาย อีกทั้งนับตั้งแต่โบราณ ชาวญี่ปุ่นยังมีการละเล่นหนึ่งในช่วงฤดูร้อนซึ่งเป็นที่นิยมเป็นอย่างมาก ซึ่งก็คือ ตำนานร้อยเรื่องเล่า (Hyakumonogatari Kaidankai) ที่ผู้เล่นจะจุดเทียนร้อยเล่มในห้องมืด แต่ละคนนั่งล้อมรอบเป็นวงกลมผลัดเล่าเรื่องสยองขวัญ เมื่อเล่าจบหนึ่งเรื่องก็ให้ดับเทียนลงเล่มหนึ่ง โดยเชื่อว่ายามที่เรื่องสยองขวัญเรื่องที่ร้อยจบลง เทียนเล่มสุดท้ายดับลง ภูติผีวิญญาณก็จะปรากฏตัวขึ้น

            และสำหรับผู้ที่ชื่นชอบเรื่องราวสยองขวัญ กระปุกดอทคอมก็ได้หยิบยกตำนานผีญี่ปุ่น 10 เรื่อง จากเว็บไซต์ hyakumonogatari.com มาให้เราได้ร่วมสัมผัสเรื่องราวผี ๆ ในแบบของญี่ปุ่นกันแล้ว มาตามไปร่วมเปิดกรุ 10 ตำนานผีญี่ปุ่นอันเลื่องลือ กันได้เลย


            1. วิญญาณอาฆาตตระกูลไทระ

            ในปี 1125 มินาโมโตะ โนะ โยชิซึเนะ ที่ขึ้นเรือเพื่อหลบหนีพี่ชายของตัวเอง ซึ่งเพิ่งทำลายตระกูลไทระแล้วแต่งตั้งตัวเองเป็นโชกุน ได้พบกับเหล่าวิญญาณอาฆาตจากนักรบของตระกูลไทระที่หวังล้างแค้นและล่มเรือของโยชิซึเนะกลางทะเล โดยระหว่างที่เรือแล่นด้วยความเร็วผ่านอ่าวไดโมสึ ก็เกิดมีหมอกลงหนาจัดโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า ทัศนวิสัยถูกบดบัง เรือของโยชิซึเนะถูกคลื่นลมรุนแรงโยนไปในทะเลอย่างควบคุมไม่ได้ ทว่าเมื่อพวกเขามองออกไปที่นอกเรือก็พบว่าไม่มีพายุเกิดขึ้น สิ่งที่ซ่อนตัวอยู่ในคลื่นก็คือร่างสีขาวของกลุ่มนักรบตระกูลไทระที่ถูกโยชิซึเนะทำลายไป 

            วิญญาณอาฆาตกลุ่มนี้พยายามที่จะจมเรือของเขา ในขณะที่ผีนักรบตนหนึ่งได้กระโดดขึ้นมาบนเรือ โยชิซึเนะได้เผชิญหน้าและต่อสู้กับผีตนนั้นอย่างอาจหาญ ในขณะที่ มุซาชิโบ เบ็งเค พระนักรบผู้ติดตามโยชิซึเนะได้พยายามสวดมนต์และอธิษฐานต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จนกระทั่งในที่สุดกลุ่มวิญญาณอาฆาตก็ไม่สามารถทนทานต่อพลังปกป้องจากพระเจ้าได้ หมอกได้จางหายไป คลื่นลมสงบลง โยชิซึเนะสามารถเอาชนะวิญญาณนักรบนั่นได้ ก่อนที่โยชิซึเนะและพวกพ้องจะเดินทางมุ่งหน้าสู่จุดหมายต่อไป 


            2. ผีนักดนตรีหญิงตาบอด 

            ตำนานนี้เกิดขึ้นในช่วงยุค 1716-1736 ซามูไรรายหนึ่งชื่อ โฮสุมิ คันจิ ซึ่งเป็นนายอำเภอของจังหวัดคาตาคุนิ ได้เดินทางไปทำธุระที่เมืองเอโดะ และได้แวะพักที่โรงแรมแห่งหนึ่งระหว่างเดินทาง ในค่ำคืนนั้นเขาได้ยินเสียงเพลงที่ไพเราะที่สุดเท่าที่เคยได้ยินมา มันเป็นเสียงร้องของหญิงตาบอดที่เดินทางมาเพื่อแสดงซามิเซ็นในโรงแรมแห่งนี้

            เพราะคิดว่าเจ้าของเสียงอันไพเราะจะต้องมีหน้าตาที่งดงาม โฮสุมิจึงแอบย่องไปที่ห้องของเธอและซ่อนตัวจนกระทั่งเธอกลับมาในห้อง โฮสุมิลุกออกจากที่ซ่อนและขืนใจเธอ โดยที่อีกฝ่ายไม่ได้ขัดขืนเลยแม้แต่น้อย จนกระทั่งรุ่งเช้าโฮสุมิจึงพบว่าหญิงสาวเจ้าของเสียงนั้นกลับกลายเป็นหญิงตาบอดที่อัปลักษณ์ยิ่ง เขาจึงได้วางแผนพาเธอเดินทางมายังเอโดะด้วย แล้วระหว่างเดินทางผ่านภูเขาลูกหนึ่ง เขาก็ผลักเธอลงไปในหุบเขาเพื่อกำจัดเธอทิ้ง และเดินทางไปทำธุระต่อ

            ในปีต่อมา โฮสุมิถึงกำหนดจะต้องเดินทางไปเอโดะอีกครั้ง เขาซึ่งลืมเรื่องของหญิงสาวคนดังกล่าวไปหมดแล้วได้แวะพักที่วัดเล็ก ๆ บนเขา โดยไม่คาดคิดว่าพอตกดึกหญิงสาวจะปรากฏตัวต่อหน้าเขาและคว้าข้อเท้าของโฮสุมิ ลากเขาไปยังสุสานของวัด แม้ว่าโฮสุมิจะดิ้นรนแต่ก็ไม่อาจสู้แรงของเธอได้ จนในที่สุดหญิงสาวก็ลากเขามาถึงสุสาน เธอยิ้มและกอดเขาไว้ก่อนจะดึงเขาลงสู่ใต้ดินด้วยกัน

            ทางด้านพระที่อยู่ในวัดได้ยินเสียงเอะอะจึงรีบวิ่งออกมาดูยังสุสาน พวกเขาช่วยกันขุดดินบริเวณนั้นก่อนจะพบศพของโฮสุมิที่มีโครงกระดูกของหญิงสาวโอบกอดอยู่ อาจเป็นโชคร้ายของซามูไรหนุ่มที่วัดแห่งนี้ คือสถานที่ฝังร่างของหญิงสาวหลังมีผู้พบร่างของเธอในหุบเขา 


            3. มือลึกลับในช่วงกลางดึก

            กลางดึกคืนหนึ่ง มีเจ้าอาวาสรายหนึ่งกำลังเดินทางไปยังหมู่บ้านอากิยามะ จู่ ๆ เขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินย่ำอยู่ด้านหลัง ก็ตระหนักรู้ทันทีว่ามีวิญญาณเดินตามเขามา และด้วยญาณวิเศษทำให้เขารู้ว่าวิญญาณดวงนี้เป็นวิญญาณที่ถูกลืม  ซึ่งเสียชีวิตลงในหมู่บ้านแห่งนี้ แต่นานแล้วก็ยังไม่ไปไหน 

            แม้จะรู้เช่นนั้นแต่เจ้าอาวาสก็ยังคงเดินทางต่อไปเรื่อย ๆ จนถึงหมู่บ้าน เขาก็เตรียมตัวทำพิธีอุทิศส่วนกุศลให้กับวิญญาณดวงนี้ โดยกลับไปยังที่ที่เขาได้ยินเสียงย่ำเท้าในความมืด และทันใดนั้นเอง ก็ปรากฏมือขาวซีดปริศนาขึ้นในความมืดมิด กวักมือให้เขาเดินเข้าไปหา เจ้าอาวาสรายนี้จึงทำพิธีอุทิศส่วนกุศลให้ และหลังจากนั้นวิญญาณดวงนี้ก็ไม่ปรากฏตัวหรือปรากฏเสียงย่ำเท้าให้ได้ยินอีกเลย

            จากเรื่องเล่าข้างต้นทำให้ชาวญี่ปุ่นเชื่อว่า หากพวกเขาเดินอยู่ในความมืดมิดแล้วมีมือขาวซีดปริศนาปรากฏให้เห็น กวักมือเรียกไปที่ไหนสักแห่ง แต่เมื่อไปถึงก็ไม่พบใครเลยสักคน นั่นแสดงว่ามีวิญญาณที่ต้องการความช่วยเหลืออยู่ วิญญาณเหล่านี้จะไม่หลอกหลอนหรือทำร้ายใคร พวกเขาเพียงอยากให้ใครสักคนเห็นการมีอยู่ของพวกเขา เพื่ออุทิศส่วนบุญให้เท่านั้น


            4. วิญญาณผู้หิวโหย

            วิญญาณผู้หิวโหย หรือ ฮิดารุกามิ คือผู้ที่อดตายลงกลางป่าเขาระหว่างเดินทาง พวกเขาตายลงโดยไร้คนมารับรู้ ไม่มีแม้การทำศพ หรือการตั้งศาลนำของมาเซ่นไหว้ วิญญาณเหล่านี้จึงหิวโหยอยู่ตลอดเวลา ชาวญี่ปุ่นมักเตือนกันว่าหากไปเข้าป่าหรือไต่เขาละก็ ให้เตรียมข้าวปั้นก้อนเล็ก ๆ ไปด้วย หรือไม่ก็อย่ากินอาหารในข้าวกล่องของตนจนเกลี้ยง แต่ให้เหลือข้าวไว้ติดก้นกล่องนิดหน่อย จะช่วยปัดเป่าภัยจากวิญญาณผู้หิวโหยได้  

            ว่ากันว่าหากโดนฮิดารุกามิจู่โจม นักเดินป่าผู้นั้นจะรู้สึกหิวกระหายโดยไร้สาเหตุ อ่อนแรง ร่างกายชาขยับไม่ได้ และหมดสติในที่สุด หากไม่ได้รับการช่วยเหลือก็จะเสียชีวิตไปทั้งอย่างนั้น และกลายเป็นวิญญาณผู้หิวโหยสิงสู่อยู่ในป่านั้นไปอีกตน หากแต่ถ้ามีข้าวปั้นก้อนเล็ก ๆ หรือจะเป็นธัญพืชใด ๆ ก็ได้ ให้รีบนำออกมา สิ่งนั้นจะเป็นเครื่องสังเวยบูชาแก่เหล่าวิญญาณผู้หิวโหยไม่ให้เข้ามาจู่โจมเอาชีวิตของนักเดินป่าไป 

            ตำนานของฮิดารุกามิในแต่ละท้องถิ่นของญี่ปุ่นมีความแตกต่างกันออกไปบ้าง อย่างที่จังหวัดชิกะ วิญญาณผู้หิวโหยที่่นี่ค่อนข้างโหดร้าย มันจะเข้าสิงร่างผู้ที่เข้ามาเดินป่า พลันท้องก็จะป่องออกเหมือนคนพุงโรเพราะขาดสารอาหาร ผู้ถูกสิงจะเที่ยวขอข้าวกับน้ำชาจากนักเดินทางคนอื่น ๆ กิน หากใครตอบว่ามีข้าวแต่กินไปหมดแล้วก็จะถูกจู่โจมทันที ด้วยการฉีกหน้าท้องเพื่อเอาของที่ยังย่อยไม่หมดในกระเพาะออกมากิน ในขณะที่ฮิดารุกามิในจังหวัดมิเอะ ไม่เพียงจู่โจมนักเดินป่าเท่านั้น มันยังจู่โจมสัตว์อย่างวัวด้วย 

            ส่วนในจังหวัดโคจิ นางาซากิ และคาโกชิมะ จะมีการตั้งศาลเล็ก ๆ ไว้ตามรายทางในป่า พร้อมนำอาหารเล็ก ๆ น้อย ๆ วางเอาไว้ เพื่อเป็นการเซ่นเหล่าวิญญาณผู้หิวโหย เพื่อที่จะได้ไม่ทำร้ายนักเดินป่านั่นเอง 


            5. สะพานที่ลั่นเอี๊ยดอ๊าด

            ในหมู่บ้านโอะซากะของจังหวัดฮิดะ (ปัจจุบันคือจังหวัดกิฟู) มีชาวบ้านผู้หนึ่งชื่อว่าคาเนะเอมอนอาศัยอยู่ ที่หน้าบ้านของเขามีสะพานแขวนเก่า ๆ ที่ทำจากไม้อยู่ มันเป็นทางข้ามระหว่างหุบเขาเพื่อเดินทางไปสู่หมู่บ้านข้างเคียง 

            ค่ำคืนหนึ่งขณะที่คาเนะเอมอนกำลังพักผ่อนอยู่ในบ้าน ก็พลันได้ยินเสียงเอี๊ยดอ๊าดลั่นมาจากสะพานราวกับกำลังมีคนเดินข้าม พร้อมกับได้ยินเสียงเหมือนคนคุยกันกระซิบกระซาบแว่วมา ด้วยความเป็นห่วงว่าการเดินข้าวสะพานเก่า ๆ นี้ในยามวิกาลเช่นนี้ช่างอันตรายเหลือใจ คาเนะเอมอนจึงรุดออกไปเพื่อจะเตือนใครก็ตามที่กำลังจะข้ามมา ..แต่เขาก็ต้องประหลาดใจ เพราะไม่พบเห็นผู้ใดอยู่ที่สะพานเลยแม้แต่คนเดียว 

            เหตุการณ์เช่นนี้ยังดำเนินต่อไปคืนแล้วคืนเล่า เสียงเอี๊ยดอ๊าดดังมาจากสะพานพร้อมกับเสียงกระซิบกระซาบพูดคุยกันลอยมาให้ได้ยินทุกค่ำคืน แถมในบางคืนก็ยังจะได้ยินเสียงร่ำไห้ด้วย ในที่สุดคาเนะเอมอนก็อดทนต่อไปไม่ไหว เขาจึงนำเรื่องนี้ไปปรึกษากับผู้ตรวจดวงชะตา และได้รับคำตอบว่า เสียงที่เขาได้ยินนั้นคือเสียงวิญญาณของผู้ล่วงลับ ที่กำลังเดินทางไปยังทาจิยามะ (ปัจจุบันคือจังหวัดโทะยามะ) ซึ่งที่จริงนั้นหนทางสู่นรกภูมิในเขตทาจิยามะนั้นมีมากมาย แต่วิญญาณพวกนี้อาจเพิ่งค้นพบเส้นทางใหม่ จึงพากันมาใช้สะพานแขวนนี้เดินข้ามไปนั่นเอง 

            เมื่อได้รับฟังดังนั้น คาเนะเอมอนก็ตัดสินใจย้ายบ้านของตนออกไปให้ไกลจากสะพาน แต่ใช่ว่าเขาจะหนีจากไปเฉย ๆ คาเนะเอมอนยังกลับมาสร้างสุสานพร้อมสวดส่งเหล่าดวงวิญญาณที่กำลังเดินทางไปสู่ดินแดนของการชดใช้กรรมในชีวิตหลังความตาย และหลังจากนั้นมาเขาก็ไม่เคยได้ยินเสียงประหลาดดังมาจากสะพานอีกเลย อย่างไรก็ดีสะพานแขวนแห่งนี้ก็ได้รับการขนานนามว่า "สะพานที่ลั่นเอี๊ยดอ๊าด" นับแต่นั้นเป็นต้นมา


            6. หัวกะโหลกพูดได้

            ตำนานลี้ลับนี้ถูกเล่าสืบต่อกันมากว่า 1,300 ปี ที่วัดแห่งหนึ่งชื่อคันโคจิ ในจังหวัดนารา มีนักบวชผู้มีเมตตาชื่อว่าโดโต ใคร ๆ ก็ต่างให้ความเคารพนับถือนักบวชรูปนี้เป็นอย่างมาก 

            ในวันหนึ่งท่านโดโตเดินผ่านเข้าไปในป่าบนภูเขานารา กับลูกศิษย์ที่ชื่อว่ามังเรียว พลันทั้งคู่ก็เห็นกะโหลกศีรษะกลิ้นหลุน ๆ ออกมาจากแห่งหนใดมิอาจทราบได้ หัวกะโหลกนั้นมีเนื้อหนังติดอยู่หน่อยหนึ่ง และเปรอะเปื้อนไปด้วยขี้ดินขี้โคลน เป็นสภาพที่น่าเวทนายิ่งนัก ดูท่าคล้ายจะโดนใครก็ตามที่เดินผ่านไปมาใช้ขาเขี่ยเตะออกไปให้พ้นทางมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน นักบวชโดโตจึงกล่าวกับมังเรียวว่า ให้เก็บหัวกะโหลกที่น่าสงสารนี้ให้พ้นจากวิถีบาทาของผู้คน ด้วยการนำมันขึ้นไปไว้บนต้นไม้เสียเถิด ลูกศิษย์หนุ่มจึงทำตามแต่โดยดี นำหัวกะโหลกขึ้นไปวางบนกิ่งไม้ แล้วยังดึงพุ่มไม้ลงมาบังให้ลับตาคน

            เหตุการณ์นี้ผ่านล่วงไป จวบจนกระทั่งเย็นวันหนึ่งของวันสุดท้ายแห่งปี ชายนิรนามผู้หนึ่งก็ปรากฎตัวขึ้นที่หน้าประตูวัดคันโคจิ เอ่ยปากอย่างสุภาพกับเด็กวัดว่า เขาต้องการพบบุคคลที่ชื่อว่ามังเรียว เมื่อเห็นมารยาทสุภาพเรียบร้อยเช่นนั้น เด็กวัดจึงพาเข้าไปพบกับมังเรียวแต่โดยดี ทันทีที่บุรุษปริศนาได้พบกับมังเรียว ก็เอ่ยปากด้วยความสุภาพนอบน้อมเช่นเดิมว่า เขาเป็นหนี้บุญคุณต่อมังเรียวมากมายเหลือเกิน และต้องการที่จะตอบแทน หากแต่มังเรียวต้องตามไปที่บ้านของเขาก่อน จึงจะสามารถตอบแทนให้ได้ 

            แม้จะฉงนสนเท่ห์ยิ่งนัก แต่ท่าทางสุภาพนอบน้อมของชายผู้นี้ทำให้มังเรียวไม่สามารถปฏิเสธได้ลง จึงออกจากวัดเดินติดตามชายผู้นี้ไปจนถึงบ้านของเขา ทันทีที่เข้าไปในบ้าน มังเรียวก็ต้องประหลาดใจยิ่งกับอาการเลี้ยงต้อนรับแสนหรูหราที่จัดไว้รอท่า บุรุษปริศนาเชื้อเชิญให้มังเรียวกินให้อิ่มหนำเต็มที่ เพราะนี่คือสิ่งที่ตนเตรียมไว้เพื่อการตอบแทนโดยเฉพาะ 

            มังเรียวไม่อาจต้านทานคำเชื้อเชิญนั้นและอาหารน่าอร่อยที่อยู่ตรงหน้าได้ เขานั่งลงร่วมรับประทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อยกับชายปริศนา จานเปล่าใบแล้วใบเล่าถูกกองพูนขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งท้องของทั้งคู่ไม่สามารถหาที่ว่างเพื่อใส่อาหารได้อีกต่อไป มังเรียวเริ่มผ่อนคลายอิริยาบถ ในขณะที่เริ่มสังเกตให้ว่าใบหน้าของชายผู้เชื้อเชิญเขามาซีดเผือดลงอย่างรวดเร็ว

            "ท่านมังเรียว เร็วเข้าเถิด จงหนีไป พี่ชายผู้ฆาตกรรมข้ากำลังจะกลับบ้านมานี่แล้ว" ชายผู้นั้นกล่าว 

            มังเรียวตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน จนอดเอ่ยปากสวนออกไปในทันทีไม่ได้ว่า "อะไรกัน ท่านว่าอย่างไรนะ !?" 

            ชายปริศนาตอบกลับด้วยน้ำเสียงสั่นเทิ้ม เล่าว่าหลายปีก่อนเขากับพี่ชายได้ร่วมทำธุรกิจด้วยกัน ระหว่างนั้นเขาสามารถสะสมทองคำได้มากถึง 18 กิโลกรัม ในขณะที่พี่ชายมิได้เก็บสะสมทรัพย์สมบัติใด ๆ ได้เลย เช่นนั้นแล้วในคืนหนึ่งพี่ชายจึงมาลอบฆ่าเพื่อชิงทองคำทั้งหมดไป ร่างของเขาถูกทิ้งไว้กลางป่าเป็นเวลาเนิ่นนานจนร่างกายผุเปื่อยหายไปหมดจนเหลือแต่หัวกะโหลก จากนั้นหัวกะโหลกกลม ๆ ก็มีสภาพไม่ต่างจากสิ่งที่ไร้ค่า ใครเห็นก็ล้วนแต่เตะออกไปให้พ้นทาง จนกระทั่งได้มังเรียวหยิบหัวกะโหลกของเขาขึ้นมา ช่วยให้รอดพ้นจากชะตากรรมที่น่าเวทนาได้ในที่สุด 

            ทว่ากว่าจะเล่าจบ มังเรียวก็หนีไปไหนไม่ทันเสียแล้ว แม้ว่าสิ่งที่เขาได้รับฟังจะช่างชวนขนหัวลุกเหลือเกิน แต่การต้องเผชิญหน้ากับคนชั่วช้าที่กระทำการเข่นฆ่าชีวิตผู้อื่นนั้นแย่ยิ่งกว่า อย่างไรก็ดีคนที่ก้าวเข้ามาในบ้านหาใช่ฆาตกรผู้เป็นพี่ชายไม่ กลับเป็นลูกชายของฆาตกรและย่าของเขาต่างหาก 

            หญิงชราตกใจที่เห็นชายแปลกหน้าอยู่ในบ้าน มังเรียวจึงเล่าที่มาที่ไปของเขา รวมถึงเรื่องราวที่เพิ่งได้รับฟังจากชายปริศนาผู้นั้นให้หล่อนได้ฟัง ก่อนจะหันหลังเพื่อไปขอคำยืนยันจากชายคนดังกล่าว แต่ปรากฏว่าด้านหลังเขาแต่เพียงความว่างเปล่าเท่านั้น ไม่พบชายปริศนาผู้เพิ่งเล่าเรื่องราวน่าเวทนาให้เขาฟังเลย

            แต่ยังไม่ทันจะได้ตระหนกตกใจอะไรไปมากกว่านี้ หญิงชราก็เอ็ดหลานเสียงดัง "พ่อของเจ้าช่างหยาบช้า เจ้าต้องภาวนาให้แก่อาผู้ล่วงลับ และขอขมาต่อสิ่งที่พ่อเจ้าทำลงไป" และนับแต่สิ้นเสียงของย่าลง ในจิตใจของเด็กชายก็มิได้เทิดทูนบูชาบิดาฆาตกรของตัวเองอีกต่อไป หากแต่เคารพต่อผู้เป็นอาผู้ล่วงลับแทน นับว่าหัวกะโหลกพูดได้ ได้รับการตอบแทนที่ตนสมควรได้เป็นที่สำเร็จแล้ว 


            7. วิญญาณสาวลึกลับในเมืองไอซึวะกะมัสซึ

            กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในเมืองไอซึวะกะมัสซึ (ปัจจุบันคือเมืองฟุกุชิมะ) ชายญี่ปุ่นนามว่า อิโยะ ได้อาศัยอยู่กับภรรยาในบ้าน แต่คืนหนึ่งกลับมีวิญญาณสาวลึกลับมาวนเวียนในบ้านของพวกเขา เธอปรากฏตัวขึ้นครั้งแรกในสวนของบ้าน ก่อนจะเคาะประตูและเรียกชื่อภรรยาของอิโยะซ้ำ ๆ ขณะที่เธอกำลังนอนหลับอยู่ ซึ่งเมื่อภรรยาของอิโยะได้ยินเสียงเรียกดังกล่าว ก็ฉงนสงสัยและตะโกนถามเสียงลึกลับว่า "เธอเป็นใครและต้องการอะไรกัน" แต่คำถามของเธอก็ไร้ซึ่งคำตอบ ขณะที่เสียงเรียกของหญิงลึกลับนั้นก็ยังคงดังขึ้น เรียกเธออีกครั้ง

            หลังจากรู้ตัวว่ามีวิญญาณลึกลับอยู่ภายในบ้าน ภรรยาของอิโยะก็ได้นำยันต์ออกมาจากกล่อง เพื่อไล่วิญญาณดวงนี้ ซึ่งเมื่อเธอเอายันต์ออกมาเผชิญหน้ากับวิญญาณหญิงสาว วิญญาณก็กลายเป็นควันลอยหายไปกับสายลม 

            แต่เรื่องราวยังไม่จบลงเพียงแค่นั้น เพราะคืนต่อมาวิญญาณหญิงสาวดวงนี้ก็ปรากฏตัวขึ้นในครัว และวนเวียนอยู่ในสวน เดินตีระฆังไปรอบ ๆ บ้าน เป็นอย่างนี้ต่อเนื่องถึง 4 วัน เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว ภรรยาของอิโยะก็หันหน้าเข้าวัด ขอให้พระมาทำพิธีไล่วิญญาณออกจากบ้านให้ และในคืนวันนั้น เธอก็สามารถนอนหลับอย่างสงบ ไม่มีวิญญาณมารบกวนอีก

            แต่แล้วคืนต่อมา เรื่องราวสุดหลอนก็เกิดขึ้นซ้ำอีกและเลวร้ายกว่าที่เคยเป็นด้วย เมื่อวิญญาณหญิงสาวได้ปรากฏตัวขึ้นภายในห้องนอนของเธอ ร่อนไปมาอยู่ใกล้ ๆ กับหมอนที่อิโยะและภรรยาหนุนอยู่ ก่อนจะไปยืนอยู่ที่ปลายเตียง แล้วเริ่มใช้มืออันขาวซีดและเยือกเย็นแตะที่ปลายเท้าของภรรยาของอิโยะ

            เหตุการณ์นี้ทำให้อิโยะและภรรยาทนไม่ไหวอีกต่อไป พวกเขาตัดสินใจย้ายออกจากบ้านในที่สุด ส่วนวิญญาณหญิงสาวดวงนี้ก็ยังกลายเป็นปริศนา ไม่รู้ว่าเธอเป็นใครและต้องการอะไรถึงมาปรากฏตัวให้เห็น



            8. ผีสาวผมดำ ตำนานแม่นาคฉบับญี่ปุ่น

            นานมาแล้วมีซามูไรคนหนึ่งอาศัยอยู่ในหมู่บ้านที่ยากจน วันหนึ่งเขาถูกเรียกให้ไปคุ้มกันและรับใช้เจ้าเมืองในเมืองห่างไกล เขาจึงตัดสินใจทิ้งภรรยาไปหลายปี และแอบสานสัมพันธ์กับหญิงอื่น

            หลายปีผ่านไปเมื่อภารกิจของเขาเสร็จสิ้น ซามูไรคนนี้ก็ได้กลับเมืองที่จากมาและรู้สึกว่ายังคิดถึงภรรยาอยู่ เขาจึงกลับไปบ้านเดิมที่เขาเคยอยู่ในกลางดึกคืนหนึ่งที่แสงจันทร์เลือนราง เขาพบว่าประตูบ้านยังคงเปิดอยู่ เขาจึงเข้าไปในบ้านอย่างไม่ลังเล และในที่สุดก็พบภรรยานั่งอยู่เงียบ ๆ ในบ้าน ไม่แสดงอารมณ์โกรธเคืองที่สามีทิ้งเธอไปเลย กลับต้อนรับเขาอย่างอบอุ่นและดีใจที่ได้ใช้ชีวิตกับเขาอีกครั้ง ทำให้ซามูไรปลื้มปริ่มและรู้สึกรักเธอมาก จึงสัญญากับเธอว่าต่อจากนี้ไปจะไม่พรากจากกันอีก จะอยู่ด้วยกันตลอดไป ก่อนจะโผกอดภรรยาด้วยความรักและความสุขล้น 

            แต่เมื่อเขาตื่นขึ้นมาในเช้าวันรุ่งขึ้น ก็พบว่าตัวเองกำลังกอดกับศพภรรยาที่แห้งกรัง ไม่มีเนื้อหนังและศพถูกห่อหุ้มด้วยผมสีดำยาว ซามูไรจึงรีบวิ่งออกมาจากบ้านไปยังบ้านของเพื่อนบ้าน ก่อนจะถามเพื่อนบ้านว่าเกิดอะไรขึ้นกับผู้หญิงที่อาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้

            โดยไม่รอช้า เพื่อนบ้านของเขาได้ตอบว่า "เธอถูกสามีทิ้งมาหลายปี และตรอมใจตายในบ้านเมื่อฤดูร้อนที่ผ่านมา แต่ไม่มีใครนำศพเธอไปทำพิธีเลย ศพของเธอเลยถูกทิ้งให้นอนอยู่ในบ้าน" 


            9. ตำนานวิญญาณหญิงสาวผู้แข็งแกร่ง

            เมื่อราว 350 ปีก่อน มีภรรยาของชาวนารายหนึ่งอาศัยอยู่ในหมู่บ้านเล็ก ๆ ชื่อ มิโกะฮาระบาระ ซึ่งเป็นหมู่บ้านห่างไกลในจังหวัดโนชู (จังหวัดอิชิกาวาในปัจจุบัน) เธอเป็นคนที่แปลกอยู่ 3 อย่าง อย่างแรกคือเธอมีสะเก็ดคล้ายเกล็ดปลาอยู่บริเวณรักแร้ สองคือสองเต้าของเธอยาวมากจนสามารถเอาพาดบ่าไปให้นมลูกที่ขี่หลังเธอได้ และสุดท้าย เธอแข็งแรงมาก สามารถทำสิ่งต่าง ๆ ได้เทียบเท่ากับผู้ชาย 4-5 คนทำ แต่แล้ววันหนึ่ง เธอก็ล้มป่วยและเสียชีวิตลงในที่สุด

            หลังจากที่เธอเสียชีวิตได้ 17 วัน วิญญาณของเธอก็ได้กลับมาหลอกหลอนสามีของเธอจนเสียชีวิตไปด้วย ไม่มีใครรู้ว่าเขาตายได้อย่างไร แต่ถึงอย่างนั้น ดูเหมือนการตายของสามีจะไม่ทำให้เธอพอใจ วิญญาณของเธอปรากฏขึ้นหลอกหลอนชาวบ้านในหมู่บ้าน จนทำให้ผู้คนหวาดกลัวไปทั่ว

            วันหนึ่ง ชายรายหนึ่งซึ่งมีชื่อว่า ซากุโซ ได้เดินทางมาทำธุระที่หมู่บ้านแห่งนี้ เมื่อเขาได้ฟังเรื่องราววิญญาณเฮี้ยนจากชาวบ้าน จึงนึกสงสัยว่าหลุมศพของเธอนั้นถูกฝังไม่มิดชิด ยังมีรูโหว่อยู่หรือไม่ ชาวบ้านจึงช่วยกันไปตรวจสอบหลุมศพของเธอดู และพบว่ามีรูโหว่จากโลงศพของเธอจริง ๆ จึงช่วยกันปิดรูโหว่นั้นแล้วเอาหินก้อนใหญ่ทับหลุมศพเอาไว้ 

            แต่นั่นกลับไม่มีประโยชน์ใดเลย ซ้ำการเข้าไปยุ่งย่ามของนายซากุโซยิ่งทำให้วิญญาณหญิงสาวเฮี้ยนมากขึ้นไปอีก และตามหลอกหลอนซากุโซเหมือนที่ทำกับสามีของเธอ ทำให้ซากุโซไปยืมดาบไล่วิญญาณจากวัดที่อยู่ละแวกนั้น และเก็บดาบไว้ข้างตัวตลอดเวลา หลังจากนั้นวิญญาณร้ายก็ไม่มายุ่งย่ามกับเขาอีก วันหนึ่งเขาจึงนำดาบไปคืน

            ต่อมาเมื่อซากุโซทำธุระในหมู่บ้านเสร็จ ก็ออกเดินทางกลับบ้านของเขา แต่แล้วระหว่างที่กำลังเดินอยู่ตามเนินเขาลาดชัน ก็รู้สึกถึงแรงผลักประหลาดจากด้านหลัง ซากุโซไม่มีแม้เวลาที่จะหันไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น เขาถูกพลังปริศนาผลักตกเขาจนหมดสติไปในสภาพที่มีเลือดออก คล้ายกับคนที่ตายแล้ว ซึ่งจากเหตุการณ์ดังกล่าว วิญญาณสาวคงจะคิดว่าซากุโซตายแล้ว จากวันนั้นเธอก็ไม่เคยปรากฏตัวให้ใครเห็นอีกเลย


            10. ผีโอยูกิ

            มารุยามะ โอเกียว จิตรกรชื่อดังของญี่ปุ่นในยุคโบราณ ได้ลืมตาขึ้นกลางดึกและเห็นร่างของหญิงสาวรายหนึ่งอยู่ที่ปลายเตียงของเขา เธอยังสาวและสวย ผิวของเธอขาวซีดไร้สีเลือด ผีสาวอยู่ในชุดกิโมโนหลวม ๆ สิ่งที่ตัดกับสีผิวของเธอมีเพียงดวงตาสีดำและผมดำยาวที่ทิ้งตัวอยู่ข้างไหล่เธอเท่านั้น และเธอก็ไม่มีเท้า 

            ผีโอยูกิ เป็นผีที่โด่งดังและมีอิทธิพลอย่างมากต่อภาพวาดผีของญี่ปุ่น มารุยามะ โอเกียว วาดภาพของเธอทันทีที่ผีสาวหายตัวไป โดยว่ากันว่าผีสาวรายนี้น่าจะเป็นชู้รักของจิตรกรหนุ่มชื่อ ชิมิสึ เธอเป็นเกอิชาที่เสียชีวิตตั้งแต่ยังสาว และความเศร้าเสียใจอย่างลึกซึ้งของเธอน่าจะเป็นเหตุผลที่ทำให้เธอยังอยู่บนโลกใบนี้






เรื่องที่คุณอาจสนใจ
เปิดกรุ 10 ตำนานผีญี่ปุ่นอันเลื่องลือ อัปเดตล่าสุด 4 ธันวาคม 2562 เวลา 17:24:42 106,468 อ่าน
TOP