
สรยุทธอ้างให้นำความดีที่เคยกระทำมาประกอบการพิจารณา คดีไร่ส้ม ทนายจึงชี้แจงว่า การทำความดีกับความผิดนั้น ไม่สามารถเอามาปนกันได้ และจะพิจารณาความดีได้ หากเมื่อมีการรับสารภาพและสำนึกผิดต่อศาลเท่านั้น
จากกรณีที่นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา ถูกศาลอุทธรณ์ตัดสินยืนตามศาลชั้นต้น คดีบริษัท ไร่ส้ม ยักยอกเงินค่าโฆษณาเกินเวลาในรายการคุยคุ้ยข่าว กว่า 138 ล้านบาท โดยตัดสินให้นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา และนางสาวมณฑา ธีระเดช ผู้บริหารบริษัท ไร่ส้ม จำคุกคนละ 13 ปี 4 เดือน โดยไม่รอลงอาญา และศาลฎีกามีคำสั่งคัดค้านการประกันตัว โดยที่จำเลยเคยอ้างว่า ได้ประกอบคุณงามความดีมาก่อนหน้านี้ เพื่อขอลดโทษ (อ่านเพิ่มเติม ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน คุก 13 ปี 4 เดือน สรยุทธ สุทัศนะจินดา คดีไร่ส้ม)

การจะนำความดีมาลดโทษนั้น จำเลยต้องรับสารภาพ ซึ่งนายสรยุทธไม่รับสารภาพ และต่อสู้จนถึงศาลอุทธรณ์ หากจะเอาความดีมาอ้าง ต้องรับสารภาพตั้งแต่ศาลชั้นต้น

นอกจากนี้ คดีนี้ยังมาถึงศาลอุทธรณ์แล้ว และน่าจะมีหลักฐานที่มัดแน่นในระดับหนึ่ง จึงไม่สามารถนำความดีมาลดหย่อนได้ ส่วนการประกันตัวนั้น ต้องมีการยื่นเรื่องอีกครั้ง และต้องทำให้ศาลเชื่อว่าไม่หลบหนี
อย่างไรก็ตาม คดีไร่ส้มนี้ ศาลต้องพิจารณาลงโทษให้เป็นเยี่ยงอย่าง มากกว่าจะมองว่าเป็นคนมีชื่อเสียงแล้วจะได้รับความเมตตาจากศาล และประชาชนจะได้มองว่า ศาลไม่ได้มีการแบ่งแยกคนรวย - คนจน คนมีชื่อเสียง และคนธรรมดา ศาลพิจารณาตามหลักฐานที่มี โดยไม่นำความดีมาเกี่ยวข้อง และจะนำความดีมาเกี่ยวข้อง ก็ต่อเมื่อจำเลยสำนึกผิดและสารภาพเท่านั้น
ภาพจาก ไทยพีบีเอส, รายการทุบโต๊ะข่าว
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก







