ครูปรีชา เปิดใจประเด็นคลิปเสียงหลุด คิดว่าแค่เสียงคล้ายตัวเอง ชี้ควรเปิดในศาล ไม่ใช่นำมาเผยแพร่มอมเมาประชาชน ระบุไปพิสูจน์มาให้ได้ว่าเป็นเสียงตน
คดีหวย 30 ล้าน กำลังเป็นที่สนใจของสังคมอย่างมาก หลังล่าสุดมีการเปิดเผยคลิปเสียงชิ้นที่ 2 เป็นลักษณะที่แม่ค้าลอตเตอรี่ คุยกับชายเสียงคล้ายครูปรีชา ซึ่งเจ้าตัวไม่ทราบว่าตนเองถูกรางวัลที่ 1 โดยมีแค่เลข 3 ตัวหลังคือ 726 เท่านั้น แต่ทางแม่ค้าเป็นฝ่ายโน้มน้าวให้เข้าใจว่า ชายรายดังกล่าวเป็นผู้ถูกรางวัลที่ 1 จริง ๆ นั้น (อ่านข่าว : เปิดคลิปเสียงหยุดโลก ชี้ เสียงคล้ายครูปรีชาบอก ได้ 726 จริง แต่ตัวหน้าไม่ใช่ !)
เกี่ยวกับเรื่องนี้ วันที่ 17 กุมภาพันธ์ รายการทุบโต๊ะข่าว ช่องอมรินทร์ ทีวี ได้สอบถาม ครูปรีชา ซึ่งได้คำตอบว่า สำหรับคลิปเสียงที่มีการเผยแพร่ ทางตนได้ฟังแล้ว คิดว่าแค่เสียงคล้าย และต้องนำคลิปเสียงที่มีการเผยแพร่เข้าสู่กระบวนการศาล ถึงแม้ว่ามีคลิปเสียงอีก 4,000 คลิป ตนไม่ได้มีความกังวลเรื่องดังกล่าว เพราะหากใครมีหลักฐานก็นำไปสู้ในชั้นศาล
ครูปรีชา กล่าวว่า หลักฐานเกี่ยวกับคดีนี้ จะต้องนำเข้ากระบวนการศาลเพื่อพิสูจน์ ไม่ใช่การนำมาเผยแพร่แก่ประชาชน เพราะถือว่าเป็นการมอมเมาประชาชน และตนไม่ได้สรุปว่าหลักฐานคลิปเสียงต่าง ๆ เป็นของจริงหรือของปลอม แต่ต้องให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจพิสูจน์อีกครั้ง และเรื่องของหลักฐานใหม่ของตนนั้นจะมีหรือไม่นั้น ตนขอไม่ตอบ ส่วนประเด็นที่จะมีการออกหมายจับนั้น ตนไม่ได้มีความกังวล
นอกจากนี้ ครูปรีชา ยอมรับว่า ตนมีที่ปรึกษาคดีเป็นดอกเตอร์รายหนึ่งจริง แต่เป็นที่ปรึกษาให้กับทีมทนายของตน และไม่ได้เกี่ยวข้องกับสำนวน ขณะเดียวกันได้ปฏิเสธข่าวว่าตนเองเป็นผู้มอบทุนการศึกษาให้กับลูกสาวของ ร.ต.ท. จรูญ วิมูล อดีตข้าราชการตำรวจ ระบุว่า ไม่ได้มาจากคำพูดของตน ซึ่งสุดท้ายนี้อยากฝากให้ทุกคนรอเจ้าหน้าที่ตำรวจทำงาน เนื่องจากตำรวจจะให้ความยุติธรรมทั้ง 2 ฝ่าย และอยากให้ทุกคนรอผลการตัดสินคดี เพราะนี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการพิสูจน์ทรัพย์ของตนเองเท่านั้น
ด้าน น.ส.พัชริดา หรือ เจ๊พัช เปิดเผยว่า ภายหลังจากได้เข้าสอบปากคำ ก็ไม่ได้รู้สึกกังวล โดยขอยืนยันคำเดิมว่า ตนขายลอตเตอรี่ให้เจ๊บ้าบิ่นจริง ส่วนข่าวที่ออกมาว่า ตนเป็นพยานให้เพราะรักเพื่อน ตนไม่ขอตอบประเด็นนี้ แต่แค่อยากยืนยันว่า มาเป็นพยานเพราะตนพูดทุกอย่างจริง และจะต้องเป็นพยานในชั้นศาลให้กับครูปรีชาอีกด้วย ตนยืนยันว่าไม่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจคนใด พูดจาข่มขู่หรือบังคับให้เซ็นสัญญารับสารภาพตามที่เป็นข่าวแต่อย่างใด
ส่วน ทางด้าน นายษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ และทนายความของ ร.ต.ท. จรูญ ระบุว่า อยากให้ทางครูปรีชา อธิบายเรื่องคลิปเสียงที่ออกมาก่อนหน้านี้ให้ชัดเจน เพราะความจริงคือ ครูปรีชา เคยเซ็นยินยอมให้เจ้าหน้าที่นำข้อมูลออกมาได้ ซึ่งมีรายงานจากวงในออกมาว่า เจ้าตัวก็เซ็นยอมรับว่าเป็นเสียงของตัวเอง เป็นการยอมรับแล้วว่าคลิปที่ถูกปล่อยออกมา ต้องเป็นเสียงของตัวเองเช่นกัน เนื่องจากเป็นคลิปเสียงเดียวกันที่ตัดออกมาเฉพาะบางท่อนเท่านั้น
ทนายษิทรา ระบุว่า ความจริงหลักฐานต่าง ๆ กองปราบฯ สามารถสรุปคดีได้แล้ว แต่ยังสอบสวนพยานอีกครั้งเพื่อมัดให้ดิ้นไม่หลุด ส่วนที่เจ้าหน้าที่ตำรวจคาดว่า จะออกหมายจับ 2 คนในเร็ว ๆ นี้ เชื่อว่า คนแรกน่าจะเป็นคนที่แจ้งข้อหาให้ผู้อื่นได้รับโทษทางอาญา ซึ่งก็มีเพียงคนเดียวที่ไปแจ้งความไว้ โดยอีกคน คือคนที่เจ้าหน้าที่ให้โอกาส แต่ยังไม่ยอมกลับตัว ทั้งยังไปกล่าวหาว่าเจ้าหน้าที่บังคับให้รับสารภาพ หรืออาจจะมีเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เกี่ยวข้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวในคดี