โดยล่าสุด ดร.สมคิด สมศรี อธิบดีกรมกิจการเด็กและเยาวชน ได้ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับรายละเอียดของโครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดกับทีมข่าวกระปุกดอทคอม ดังนี้
1. ภาพรวมและที่มาโครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด ตั้งแต่ดำเนินการมาเป็นอย่างไรบ้าง
โครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด เกิดขึ้นจากรัฐบาลต้องการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำที่เกิดขึ้น โดยกำหนดยุทธศาสตร์ชาติมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง โดยเฉพาะในส่วนของเด็กแรกเกิดที่นับว่ามีความสำคัญกับประเทศในอนาคตอย่างมาก เนื่องจากในอนาคตจำนวนผู้สูงอายุจะมีเพิ่มขึ้นจนมีจำนวนเท่ากับเด็กแรกเกิดในปี 2564 จึงต้องเร่งพัฒนาเด็กยุคใหม่ให้เติบโตอย่างมีคุณภาพ
รัฐบาลจึงเริ่มเดินหน้าพัฒนาเด็กตั้งแต่ช่วงปฐมวัย โดยอ้างอิงจากผลการศึกษา เกี่ยวกับการประเมินผลกระทบโครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดของประเทศไทยปี 2561 โดยทางกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ได้รับความร่วมมือจากองค์การยูนิเซฟและสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ร่วมกับ Economic Policy Research Institute (EPRI) และมหาวิทยาลัยขอนแก่น ปี 2561 พบว่า การลงทุนพัฒนาเด็กที่คุ้มค่าที่สุด ต้องเริ่มตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 6 ขวบ ดังนั้น รัฐบาลจึงเริ่มโครงการมอบเงินอุดหนุนให้กับเด็กแรกเกิดคนละ 400 บาท ในปี 2558 จำนวน 1 ปี
และผลวิจัยเมื่อเสร็จสิ้นโครงการในระยะแรกพบว่าจำนวนเงิน 400 บาท อาจไม่เพียงพอต่อการพัฒนาเด็กแรกเกิดได้อย่างเต็มที่ จึงเริ่มโครงการในระยะที่ 2 โดยเพิ่มเงินอุดหนุนเป็น 600 บาทต่อคน นาน 3 ปี จนกระทั่งล่าสุดในปีงบประมาณ 2562 ทางรัฐบาลจึงอนุมัติเงินอุดหนุนเพื่อเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด จำนวน 600 บาทต่อคน และเพิ่มระยะเวลาเป็น 0 ถึง 6 ขวบ พร้อมขยายฐานรายได้ผู้มีสิทธิ์รับเงินเป็นไม่เกิน 100 บาทต่อคนต่อปี
2. มีหลักเกณฑ์การรับรองสถานะครัวเรือนว่าอยู่ในเกณฑ์ไม่ต่ำกว่า 100,000 บาทต่อคนต่อปีอย่างไร
ในปี 2562 โครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดจะเชื่อมโยงกับโครงการสวัสดิการแห่งรัฐผู้มีรายได้น้อย หากบิดา มารดา เป็นผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ สามารถนำบัตรไปลงทะเบียนรับสิทธิ์ได้ทันที ส่วนอีกกลุ่มเป็นคุณแม่วัยรุ่นที่มีอายุไม่ถึงเกณฑ์ทำบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จะต้องใช้การรับรองโดยเฉพาะ
ส่วนกรณีที่ไม่มีบัตรก็จะต้องใช้การรับรองโดยประเมินรายได้ของครอบครัวว่าจะต้องไม่เกิน 100,000 บาทต่อคนต่อปี โดยนำรายได้ทั้งหมดของครอบครัวมาหารกับจำนวนสมาชิก หากไม่เกิน 100,000 บาทต่อคนต่อปี ก็จะได้รับสิทธิ์
3. แนวทางการให้เงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดเป็นอย่างไรบ้าง
เป้าหมายของโครงการดังกล่าวเพื่อให้เกิดการเชื่อมโยงกับแนวนโยบายรัฐบาล ตามแผนยุทธศาสตร์ส่งเสริมเด็กครอบครัวยากจนขาดแคลน และประสบปัญหาสังคม ให้มีความพร้อมในการพัฒนาอย่างเหมาะสมตามวัยก่อนเข้าสู่ศูนย์เด็กเล็กหรือโรงเรียนระดับอนุบาลต่อไป โดยหลังจากเริ่มโครงการปรากฏว่าได้ผลตอบรับอย่างถล่มทลาย ที่ผ่านมาได้มีการใช้งบประมาณไปแล้วกว่าหมื่นล้านบาท และในปีงบประมาณ 2562 ทางโครงการตั้งเป้าว่าจะเพิ่มจำนวนผู้รับสิทธิ์ได้มากถึง 1.5 ล้านคน
4. เงินอุดหนุนเด็กแรกเกิด กับ เงินสงเคราะห์บุตร มีข้อแตกต่างกันอย่างไร
โครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด เป็นโครงการที่ช่วยให้เด็กแรกเกิดที่อยู่ในครัวเรือนยากจน และครัวเรือนที่เสี่ยงต่อความยากจนที่มีรายได้ของครอบครัวไม่เกิน 100,000 บาทต่อคนต่อปี ได้รับการเลี้ยงดูที่มีคุณภาพ และมีพัฒนาการเหมาะสมตามวัย เพื่อเติบโตเป็นประชากรที่มีคุณภาพ ซึ่งเป็นคนละส่วนของกรณีสงเคราะห์บุตรตามสิทธิประกันสังคม ที่จะจ่ายให้ผู้ประกันตนที่มีสิทธิ์รับเงินสำหรับบุตรซึ่งมีอายุไม่เกิน 6 ปีบริบูรณ์
5. มาลงทะเบียนแล้วจะได้รับเงินภายในกี่วัน
ที่ผ่านมามีผู้ใช้สิทธิ์ในระยะที่ 2 ตกค้างอยู่ ซึ่งขณะนี้สามารถเคลียร์จำนวนที่ตกค้างได้แล้วมากกว่า 1 แสนคน คาดว่าจะได้รับเงินภายใน 1-2 เดือนนี้ ส่วนผู้ที่ลงทะเบียนใหม่ในโครงการระยะที่ 3 น่าจะได้รับเงินภายในเดือนสิงหาคม 2562
6. ทางกรมมีแผนการต่อยอดโครงการเงินอุดหนุนเด็กแรกเกิดอย่างไรบ้าง
หลังจากนี้จะพัฒนาในประเด็นผู้สูงอายุ และเด็ก ที่คาดว่ามีจำนวนเท่ากันในปี 2564 ทำให้จะต้องมีการพิจารณางานวิจัยจากหน่วยงานชั้นนำต่าง ๆ ที่เข้ามาร่วมทำงาน เพื่อวิเคราะห์อีกครั้งว่าจะมีการดำเนินงานหรือขยายฐานจำนวนเงินในส่วนใดให้สามารถใช้ประโยชน์อย่างคุ้มค่าสูงสุด
7. สามารถลงทะเบียนได้ที่ไหน เมื่อไร ช่องทางการติดต่อ
ผู้ปกครองของเด็กแรกเกิดที่มีคุณสมบัติที่มีสิทธิ์ขอรับเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด สามารถยื่นคำร้องขอลงทะเบียนได้ที่ที่ทำการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในพื้นที่ที่เด็กแรกเกิดอาศัยอยู่ปัจจุบัน ซึ่งขณะนี้ได้เตรียมความพร้อมเจ้าหน้าที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั่วประเทศ ทั้งการอบรม และการแจกเอกสารคู่มือการลงทะเบียนรับสิทธิ์ ซึ่งหลังจากเปิดรับลงทะเบียนในวันที่ 31 พฤษภาคม นี้ เจ้าหน้าที่จะมีความพร้อมในการบริการประชาชนที่มาลงทะเบียนขอรับสิทธิ์ได้อย่างเต็มที่