เปิดเคสแปลก สาวอเมริกัน ใช้ยาชาบางอย่างแปรงฟัน แก้ปวดฟัน ตื่นขึ้นมาไร้เรี่ยวแรง ตัวซีดเป็นศพ เลือดกลายเป็นสีน้ำเงิน ทำเอาหมอตะลึงกันทั้งโรงพยาบาล อะไรแบบนี้ไม่ได้เจอกันบ่อย ๆ
วันที่ 20 กันยายน 2562 สำนักข่าวซีเอ็นเอ็น รายงานข้อมูลอ้างอิงจากวารสารการแพทย์ New England Journal of Medicine ระบุว่า หญิงสาวชาวอเมริกัน วัย 25 ปี (ไม่เปิดเผยนาม) ป่วยประหลาด สภาพผิวหนังเป็นสีน้ำเงิน และมีเลือดเป็นสีน้ำเงิน หลังจากที่เธอแปรงฟันด้วยยาเบนโซเคน (Benzocaine) จำนวนมาก แทนยาสีฟัน อาการของเธอสร้างความตกตะลึงแก่แพทย์และพยาบาลไม่น้อย เพราะอะไรแบบนี้ไม่ใช่สิ่งที่พบเจอกันได้บ่อย
หญิงสาวคนดังกล่าวเดินทางขอรับการรักษาตัวที่ห้องฉุกเฉินประจำโรงพยาบาลมิเรียม ในเมืองโพรวิเดนซ์ รัฐโรดไอแลนด์ ทางตะวันออกเฉียงเหนือของสหรัฐอเมริกา หลังจากมีอาการอ่อนเพลียผิดปกติ แขนขาอ่อนแรง และหายใจติดขัด ซึ่งก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้ทำอะไร นอกจากใช้ยาชาแก้ปวดฟันมาแปรงฟันก่อนนอน
ดร.ออทิส วอร์เรน และ ดร.เบนจามิน แบล็กวูด นายแพทย์ประจำโรงพยาบาลดังกล่าว เปิดเผยว่า คนไข้สาวรายนี้มีเนื้อตัวเป็นสีน้ำเงินมากผิดปกติ ซึ่งเคราะห์ดีเป็นอย่างยิ่งที่หมอวอร์เรนเคยพบเจอคนไข้ลักษณะนี้มาก่อนแล้ว 1 ครั้ง เขาจึงสามารถวินิจฉัยได้ว่าเธอน่าจะป่วยเป็นอะไร
วิธีการรักษาก็อาจเรียกได้ว่า "เกลือจิ้มเกลือ" เพราะแพทย์ได้หายา Methylene blue ซึ่งมีสีน้ำเงินเข้มเช่นเดียวกับเลือดของผู้ป่วย ในการรักษา ซึ่งยาชนิดนี้จะทำให้อิเล็กตรอนที่หายไปย้อนกลับมาสู่โมเลกุลของฮีโมโกลบินอีกครั้ง ทำให้ระดับออกซิเจนในเลือดสูงขึ้น จนกระทั่งทำให้เลือดมีออกซิเจนมากพอที่จะไปเลี้ยงเนื้อเยื่อได้ในที่สุด ซึ่งเลือดที่มีระดับออกซิเจนสูงก็จะมีสีแดงตามปกติ
คนไข้สาวได้รับยาดังกล่าวไป 2 หลอด และนอนพักดูอาการที่โรงพยาบาล 1 คืน ซึ่งก็นับว่าโชคดีที่อาการของเธอไม่ได้รุนแรงมาก แต่ถ้าหากว่าระดับเลือดสีน้ำเงินที่ผิดปกติมีปริมาณ 50 เปอร์เซ็นต์ แล้วละก็ อาการของเธออาจเข้าขั้นวิกฤตเป็นระดับโคม่า หัวใจกับสมองอาจสูญเสียประสิทธิภาพในการทำงาน เนื่องจากขาดเลือดไปเลี้ยงเนื้อเยื่อ และถ้าหากเลือดสีน้ำเงินมีปริมาณ 60 เปอร์เซ็นต์ สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือ เสียชีวิต
สำหรับตัวยา เบนโซเคน (Benzocaine) นั้น เป็นยาชาที่พบเป็นส่วนประกอบในยารักษาอาการปวดฟัน หรือเริม และสามารถพบได้ทั่วไป ซึ่งหลังจากเคสของหญิงสาวรายนี้ปรากฏเป็นข่าว ทางองค์การอาหารและยาของสหรัฐฯ ก็ได้ออกประกาศควบคุมการใช้ตัวยาชนิดนี้ และสั่งห้ามใช้ในเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 2 ขวบ
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก The New England Journal of Medicine