สมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ ค้าน แบน 3 สารเคมี ชี้กระทบการส่งออก จากผู้ผลิต ต้องกลายเป็นผู้รับ-ห่วงโซ่อาหารพังพินาศ เผย สต็อกวัตถุดิบทำอาหารสัตว์ในประเทศไทย อยู่ได้แค่ 2 เดือน
อ่านข่าว : สหรัฐฯ ส่งหนังสือถึงนายกฯ คัดค้านแบนสารไกลโฟเซต กังวลกระทบการนำเข้าสินค้าเกษตร
วันที่ 6 พฤศจิกายน 2562 สำนักข่าวไทย รายงานว่า นายพรศิลป์ พัชรินทร์ตะนะกุล นายกสมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย
เปิดเผยว่า ได้ทำหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อนำเสนอผลกระทบของการแบน 3 สารเคมีแล้ว
โดยเนื้อหาระบุว่า ปัจจุบันไทยนำเข้าถั่วเหลือง กากถั่วเหลือง
และข้าวสาลีปีละกว่า 7 ล้านตัน
โดยนำเข้าจากประเทศที่ใช้สารไกลโฟเซตทั้งสิ้น
ดังนั้นการแบนสารเคมี 3 ชนิดจะส่งผลกระทบต่อการนำเข้าวัตถุดิบทันที จึงขอทราบแนวทางปฏิบัติในการนำเข้า และมาตรการรองรับ เนื่องจากธุรกิจอาหารสัตว์ ปศุสัตว์ และอุสาหกรรมอาหารทั้งระบบจะเสียหายอย่างมหาศาล คิดเป็นมูลค่ากว่า 800,000 ล้านบาท เป็นมูลค่าการส่งออกกว่า 200,000 ล้านบาท อีกทั้งจะทำให้เกิดปัญหาการเลิกจ้างงานและปัญหาสังคมอื่น ๆ ตามมา โดยส่งหนังสือไปตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน แต่ยังไม่ได้รับคำตอบใด ๆ
การตัดสินใจแบน
3 สารเคมีของรัฐบาล ไม่ได้พิจารณาถึงผลกระทบทางเศรษฐกิจอย่างถี่ถ้วน
เนื่องจากไม่ได้เป็นเพียงเรื่องในประเทศ
แต่เกี่ยวข้องกับการค้าระหว่างประเทศ
ล่าสุดสมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทยแจ้งให้ประเทศบราซิลขอใบรับรองค่ามาตรฐานสารตกค้างของไกลโฟเซตในถั่วเหลืองนำเข้าที่จะต้องเป็น
0% ตามกฎหมายไทย
ซึ่งทูตเกษตรประจำสถานทูตบราซิลระบุว่าไม่สามารถทำตามเงื่อนไขของสมาคมฯ ได้
เนื่องจากเมล็ดถั่วเหลืองของบราซิลมีปริมาณไกลโฟเซตตกค้างอยู่ที่ 10 ppb
(ส่วนในพันล้านส่วน)
ซึ่งต่ำกว่าค่าความปลอดภัยทางด้านอาหารตามคณะกรรมาธิการโครงการมาตรฐานอาหารระหว่างประเทศ
(Codex) กำหนดไว้ที่ 20 ppb
ดังนั้น บราซิลจะนำเรื่องนี้ไปหารือในองค์การการค้าโลก (WTO) ว่า เป็นประเด็นกีดกันทางการค้าหรือไม่ คาดว่าสหรัฐอเมริกาและแคนาดาส่งออกถั่วเหลืองและข้าวสาลีมายังไทยจะหยิบยกเรื่องนี้มาหารือด้วย นอกจากนี้ ไทยยังนำเข้าข้าวสาลีจากออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และยูเครน ซึ่งต้องติดตามท่าทีของประเทศเหล่านี้ต่อไป สำหรับแนวทางการหารือ WTO นั้น ประเทศคู่ค้าจะเสนอให้ไทยนำผลพิสูจน์ทางด้านวิทยาศาสตร์ที่ไทยวิเคราะห์เองมายืนยันว่าปริมาณสารตกค้างไกลโฟเซตในปริมาณ 10-20 ppb ตามที่ Codex กำหนด มีอันตรายต่อการบริโภคอย่างไร ซึ่งเป็นหน้าที่ของ อย. กระทรวงสาธารณสุข ที่ต้องเร่งดำเนินการในเรื่องนี้อย่างเร่งด่วนและชัดเจน
จากกรณีที่คณะกรรมการวัตถุอันตราย
เผยผลการประชุมมีมติยกเลิกใช้วัตถุอันตราย พาราควอต, คลอร์ไพริฟอส
และไกลโฟเซต ภายในวันที่ 1 ธันวาคม 2562 ต่อมา กระทรวงเกษตรสหรัฐฯ
ส่งหนังสือทักท้วงถึง พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
คัดค้านการแบนสารไกลโฟเซต
ชี้อาจกระทบการนำเข้าถั่วเหลืองและข้าวสาลีของไทยหลายหมื่นล้านตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น
อ่านข่าว : สหรัฐฯ ส่งหนังสือถึงนายกฯ คัดค้านแบนสารไกลโฟเซต กังวลกระทบการนำเข้าสินค้าเกษตร
ดังนั้นการแบนสารเคมี 3 ชนิดจะส่งผลกระทบต่อการนำเข้าวัตถุดิบทันที จึงขอทราบแนวทางปฏิบัติในการนำเข้า และมาตรการรองรับ เนื่องจากธุรกิจอาหารสัตว์ ปศุสัตว์ และอุสาหกรรมอาหารทั้งระบบจะเสียหายอย่างมหาศาล คิดเป็นมูลค่ากว่า 800,000 ล้านบาท เป็นมูลค่าการส่งออกกว่า 200,000 ล้านบาท อีกทั้งจะทำให้เกิดปัญหาการเลิกจ้างงานและปัญหาสังคมอื่น ๆ ตามมา โดยส่งหนังสือไปตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน แต่ยังไม่ได้รับคำตอบใด ๆ
นายพรศิลป์
กล่าวว่า
จากสต๊อกวัตุถดิบผลิตอาหารสัตว์ที่มีอยู่ในประเทศจะรองรับการเลี้ยงไก่เนื้อ
ไก่ไข่ สุกร และกุ้งได้เพียง 2-3 เดือนเท่านั้น หากรัฐบาลไม่มีแผนรับมือ
ธุรกิจเหล่านี้จะล่มสลาย จากที่เป็นผู้ผลิต ไทยต้องเปลี่ยนเป็นผู้นำเข้า
อีกทั้งการนำเข้าต้องมีใบรับรองว่า
เนื้อสัตว์เหล่านั้นไม่ได้เลี้ยงด้วยอาหารที่ผลิตจากวัตถุดิบที่ใช้ไกลโฟเซต
อุตสาหกรรมอาหารสัตว์ของไทยใช้กากถั่วเหลืองเป็นโปรตีน 24-25 %
แต่ถั่วเหลืองที่นำเข้าใช้ผลิตน้ำมันถั่วเหลืองและบริโภคด้วย
ส่วนข้าวสาลีส่วนหนึ่งเป็นอาหารสัตว์
แต่อีกส่วนหนึ่งใช้ในอุตสาหกรรมอาหารคน เช่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ขนมปัง
เบเกอรี่ต่าง ๆ เป็นต้น จึงกระทบต่อระบบห่วงโซ่อาหาร
ตลอดจนเกิดปัญหาการเลิกจ้างงาน และปัญหาสังคมอื่น ๆ ตามมาแน่นอน
ดังนั้น บราซิลจะนำเรื่องนี้ไปหารือในองค์การการค้าโลก (WTO) ว่า เป็นประเด็นกีดกันทางการค้าหรือไม่ คาดว่าสหรัฐอเมริกาและแคนาดาส่งออกถั่วเหลืองและข้าวสาลีมายังไทยจะหยิบยกเรื่องนี้มาหารือด้วย นอกจากนี้ ไทยยังนำเข้าข้าวสาลีจากออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และยูเครน ซึ่งต้องติดตามท่าทีของประเทศเหล่านี้ต่อไป สำหรับแนวทางการหารือ WTO นั้น ประเทศคู่ค้าจะเสนอให้ไทยนำผลพิสูจน์ทางด้านวิทยาศาสตร์ที่ไทยวิเคราะห์เองมายืนยันว่าปริมาณสารตกค้างไกลโฟเซตในปริมาณ 10-20 ppb ตามที่ Codex กำหนด มีอันตรายต่อการบริโภคอย่างไร ซึ่งเป็นหน้าที่ของ อย. กระทรวงสาธารณสุข ที่ต้องเร่งดำเนินการในเรื่องนี้อย่างเร่งด่วนและชัดเจน
นายพรศิลป์
กล่าวว่า ทันที่ที่การยกเลิก 3 สารเคมี มีผลบังคับใช้
ต้องห้ามนำเข้าสินค้าเกษตรจากประเทศที่ใช้สารเคมี 3 ชนิดนี้แน่นอน
ไม่เช่นนั้นจะไม่เป็นธรรมต่อเกษตรกรไทย
อีกทั้งผู้บริโภคจะไม่ได้รับประโยชน์อะไรหากยังนำเข้าสินค้าที่ใช้สารเคมีที่ไทยยกเลิก
เห็นชัดเจนว่าการตัดสินใจด้านนโยบายยกเลิกสารเคมี 3 ชนิดนี้
รัฐไม่ได้มองผลกระทบที่จะเกิดขึ้นตามมาให้รอบด้าน
หากผู้บริหารประเทศรับข้อมูลที่ผิด ไม่มีทางที่จะตัดสินใจได้ถูกต้อง
ภาพจาก เฟซบุ๊ก เรื่องเล่า ข่าวเกษตร
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก