คุณหมอเจ้าของเพจเลี้ยงลูกตามใจหมอ แนะวิธีแก้ปัญหาการสอนการบ้านลูก พ่อแม่จำเป็นต้องทำถึงขั้นไหน และควรจะต้องทำอย่างไร หลังข่าวสลด พ่อด่าลั่น-ทำร้ายลูก หลังสอนการบ้านไม่ได้ดั่งใจ
จากกรณีผู้เป็นแม่นำคลิปเข้าแจ้งความกับตำรวจ และต้องการหย่าขาดจากสามี หลังสามีทำร้ายและด่าทอลูกสาว 2 คน อายุ 2 ขวบ และ 9 ขวบ เนื่องจากสอนการบ้านแล้วลูกทำไม่ได้ดั่งใจ มีการด่าทอว่าลูก ว่าพิการ อ่อนแอ ขู่จะให้ลาออก และตะโกนไล่ให้ลูกออกไปจากบ้าน ซึ่งคลิปดังกล่าวสร้างความสลดใจแก่ผู้ชมอย่างมากนั้น
อ่านข่าว : เมียสุดทน แฉคลิป อาจารย์ ม. ดัง สอนการบ้านโหด ลูกหน้ายับ ทำการบ้านไม่ได้ดั่งใจ ?
เกี่ยวกับเรื่องนี้ (16 กุมภาพันธ์ 2564) เพจเฟซบุ๊ก เลี้ยงลูกตามใจหมอ ได้มีการโพสต์ข้อความกล่าวถึงเหตุการณ์ดังกล่าว พร้อมให้ความรู้และแนวทางแก่ผู้ปกครองว่า การสอนการบ้านลูกนั้น ควรทำอย่างไร ทำได้แค่ไหน เพราะเหตุการณ์ดังกล่าวนั้น การด่าทอ การขู่เด็ก เพราะเด็กทำการบ้านไม่ถูก ไม่ใช่วิธีที่ถูกต้อง ซ้ำยังจะทำให้เด็กกลายเป็นคนไม่อยากเรียนหนังสือไปเลยก็ได้
คำถามคือ พ่อแม่ต้องเข้าไปจัดการกับการบ้านลูกแค่ไหน ความหมายคำว่า การบ้าน คือ งานที่ครูมอบหมายให้นักเรียนทำให้สำเร็จนอกห้องเรียน การบ้านก็เท่ากับความรับผิดชอบของลูก ไม่ใช่ของพ่อแม่
ทั้งนี้ หน้าที่ของพ่อแม่คือ ให้ลูกสามารถทำการบ้านได้ตลอดรอดฝั่ง โดยที่ไม่ไปวิจารณ์ จับผิด หรือจับจดกับความถูกต้องของการทำการบ้านของลูก เพราะหากเขาได้ครูที่ดี ครูจะเป็นคนฟีดแบ็กวิธีคิดที่ทำให้ผลลัพธ์มันผิด รวมถึงเพื่อนที่ร่วมห้องเรียนที่ดีก็เป็นอีกหนึ่งตัวแปรที่ขับเคลื่อนให้วิธีคิดมันถูกต้อง
เด็กเล็ก EF หรือทักษะการบริหารจัดการตนเองขั้นสูง กระบวนการทางความคิดยังมาไม่เต็ม คุมตัวเองให้ทำการบ้านอาจจะยังไม่ดีนัก สิ่งที่พ่อแม่ทำได้คือการเบรก และเป็นสมองส่วน EF ให้ลูกด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น
- ตั้งข้อตกลงของบ้านให้ชัดว่า ทำการบ้านก่อนแล้วค่อยเล่น ทำตารางเวลา คือเรื่องสำคัญ
- จัดมุมทำการบ้านที่สงบเงียบ เพื่อตัดสิ่งเย้ายวนและทำให้วอกแวก
โดยการฝึกให้ลูกมีความรับผิดชอบกับชีวิตตัวเองสำคัญที่สุด สำคัญกว่าผลลัพธ์ของการทำการบ้าน และที่สำคัญกว่านั้น คือการสร้างให้เป็นนักใฝ่รู้ ใฝ่เรียน ใฝ่รู้ คือทำผิดแล้วอยากรู้ว่าที่ถูกคืออะไร นี่สิคือเป้าหมายของการไปโรงเรียน
คุณหมอยืนยันว่า การด่าว่าอ่อนแอ หรือ ปัญญาอ่อน การดุด่า การทำร้ายร่างกาย การตีตราว่าทำไมโง่อย่างนี้ หรือการขู่ให้ออกจากโรงเรียน อาจทำให้เด็กยิ่งเกลียดการเรียน เพราะการเรียนนำมาซึ่งความเจ็บช้ำทั้งกายและใจ
การสอนการบ้านลูกต้องดูจุดที่เหมาะสมกับลูกแต่ละคน ถ้าเริ่มทำการบ้านไป 10 นาทีแล้วแต่ลูกยังไม่รู้จะเริ่มอย่างไร ทำอย่างไร พ่อแม่ควรคิดต่อว่าที่โรงเรียนลูกเป็นแบบนี้หรือไม่ การบ้านนี้มันคืออะไร สอดคล้องกับบทเรียนหรือไม่ ถ้าลูกเป็นแบบนี้บ่อยควรไปคุยกับครูลูกที่มีปัญหากับวิชานั้น ๆ หรือไม่
ส่วนการที่จะช่วยเหลือลูกให้เริ่มทำการบ้านได้ ทำได้เช่น ทำให้ดูเป็นตัวอย่างสักข้อพร้อมกับพูดคุยแลกเปลี่ยนสิ่งที่ลูกรู้ แล้วค่อยให้ลูกลงมือทำต่อเอง หรือลองชี้โจทย์ที่มันน่าจะคล้าย ๆ กัน ให้ลูกลองสังเกตและไปต่อด้วยตัวเองก็ได้
คุณหมอทิ้งท้ายว่า "ถ้ามนุษย์ต้องถูกตี ถูกทำร้าย เพื่อให้เป็นคนที่ดี ทำตามสั่ง ตีเพื่อให้เก่งขึ้น เรียนรู้ดีขึ้น และได้ดั่งใจผู้เป็นพ่อแม่ มนุษย์เราก็อาจจะไม่ต่างอะไรกับช้าง ม้า วัว ควาย ที่เป็นสัตว์เดียรัจฉานหรอกครับ #ฝากไว้ให้คิด"
ขอบคุณข้อมูลจาก เฟซบุ๊ก เลี้ยงลูกตามใจหมอ
จากกรณีผู้เป็นแม่นำคลิปเข้าแจ้งความกับตำรวจ และต้องการหย่าขาดจากสามี หลังสามีทำร้ายและด่าทอลูกสาว 2 คน อายุ 2 ขวบ และ 9 ขวบ เนื่องจากสอนการบ้านแล้วลูกทำไม่ได้ดั่งใจ มีการด่าทอว่าลูก ว่าพิการ อ่อนแอ ขู่จะให้ลาออก และตะโกนไล่ให้ลูกออกไปจากบ้าน ซึ่งคลิปดังกล่าวสร้างความสลดใจแก่ผู้ชมอย่างมากนั้น
อ่านข่าว : เมียสุดทน แฉคลิป อาจารย์ ม. ดัง สอนการบ้านโหด ลูกหน้ายับ ทำการบ้านไม่ได้ดั่งใจ ?
เกี่ยวกับเรื่องนี้ (16 กุมภาพันธ์ 2564) เพจเฟซบุ๊ก เลี้ยงลูกตามใจหมอ ได้มีการโพสต์ข้อความกล่าวถึงเหตุการณ์ดังกล่าว พร้อมให้ความรู้และแนวทางแก่ผู้ปกครองว่า การสอนการบ้านลูกนั้น ควรทำอย่างไร ทำได้แค่ไหน เพราะเหตุการณ์ดังกล่าวนั้น การด่าทอ การขู่เด็ก เพราะเด็กทำการบ้านไม่ถูก ไม่ใช่วิธีที่ถูกต้อง ซ้ำยังจะทำให้เด็กกลายเป็นคนไม่อยากเรียนหนังสือไปเลยก็ได้
คำถามคือ พ่อแม่ต้องเข้าไปจัดการกับการบ้านลูกแค่ไหน ความหมายคำว่า การบ้าน คือ งานที่ครูมอบหมายให้นักเรียนทำให้สำเร็จนอกห้องเรียน การบ้านก็เท่ากับความรับผิดชอบของลูก ไม่ใช่ของพ่อแม่
ทั้งนี้ หน้าที่ของพ่อแม่คือ ให้ลูกสามารถทำการบ้านได้ตลอดรอดฝั่ง โดยที่ไม่ไปวิจารณ์ จับผิด หรือจับจดกับความถูกต้องของการทำการบ้านของลูก เพราะหากเขาได้ครูที่ดี ครูจะเป็นคนฟีดแบ็กวิธีคิดที่ทำให้ผลลัพธ์มันผิด รวมถึงเพื่อนที่ร่วมห้องเรียนที่ดีก็เป็นอีกหนึ่งตัวแปรที่ขับเคลื่อนให้วิธีคิดมันถูกต้อง
เด็กเล็ก EF หรือทักษะการบริหารจัดการตนเองขั้นสูง กระบวนการทางความคิดยังมาไม่เต็ม คุมตัวเองให้ทำการบ้านอาจจะยังไม่ดีนัก สิ่งที่พ่อแม่ทำได้คือการเบรก และเป็นสมองส่วน EF ให้ลูกด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น
- ตั้งข้อตกลงของบ้านให้ชัดว่า ทำการบ้านก่อนแล้วค่อยเล่น ทำตารางเวลา คือเรื่องสำคัญ
- จัดมุมทำการบ้านที่สงบเงียบ เพื่อตัดสิ่งเย้ายวนและทำให้วอกแวก
โดยการฝึกให้ลูกมีความรับผิดชอบกับชีวิตตัวเองสำคัญที่สุด สำคัญกว่าผลลัพธ์ของการทำการบ้าน และที่สำคัญกว่านั้น คือการสร้างให้เป็นนักใฝ่รู้ ใฝ่เรียน ใฝ่รู้ คือทำผิดแล้วอยากรู้ว่าที่ถูกคืออะไร นี่สิคือเป้าหมายของการไปโรงเรียน
คุณหมอยืนยันว่า การด่าว่าอ่อนแอ หรือ ปัญญาอ่อน การดุด่า การทำร้ายร่างกาย การตีตราว่าทำไมโง่อย่างนี้ หรือการขู่ให้ออกจากโรงเรียน อาจทำให้เด็กยิ่งเกลียดการเรียน เพราะการเรียนนำมาซึ่งความเจ็บช้ำทั้งกายและใจ
การสอนการบ้านลูกต้องดูจุดที่เหมาะสมกับลูกแต่ละคน ถ้าเริ่มทำการบ้านไป 10 นาทีแล้วแต่ลูกยังไม่รู้จะเริ่มอย่างไร ทำอย่างไร พ่อแม่ควรคิดต่อว่าที่โรงเรียนลูกเป็นแบบนี้หรือไม่ การบ้านนี้มันคืออะไร สอดคล้องกับบทเรียนหรือไม่ ถ้าลูกเป็นแบบนี้บ่อยควรไปคุยกับครูลูกที่มีปัญหากับวิชานั้น ๆ หรือไม่
ส่วนการที่จะช่วยเหลือลูกให้เริ่มทำการบ้านได้ ทำได้เช่น ทำให้ดูเป็นตัวอย่างสักข้อพร้อมกับพูดคุยแลกเปลี่ยนสิ่งที่ลูกรู้ แล้วค่อยให้ลูกลงมือทำต่อเอง หรือลองชี้โจทย์ที่มันน่าจะคล้าย ๆ กัน ให้ลูกลองสังเกตและไปต่อด้วยตัวเองก็ได้
คุณหมอทิ้งท้ายว่า "ถ้ามนุษย์ต้องถูกตี ถูกทำร้าย เพื่อให้เป็นคนที่ดี ทำตามสั่ง ตีเพื่อให้เก่งขึ้น เรียนรู้ดีขึ้น และได้ดั่งใจผู้เป็นพ่อแม่ มนุษย์เราก็อาจจะไม่ต่างอะไรกับช้าง ม้า วัว ควาย ที่เป็นสัตว์เดียรัจฉานหรอกครับ #ฝากไว้ให้คิด"









