ร้านอาหารดังย่านบรรทัดทอง ฟ้องหมิ่นประมาทไกด์โพสต์เล่าเหตุการณ์ขายคิวเมื่อเดือนสิงหาคม งานนี้เจ้าตัวขอพยานที่อยู่ในเหตุการณ์ช่วยแสดงตัว ส่วน อ.เจษฎา เล่าอีกมุมถึงคดีหมิ่นประมาท สิ่งที่หลายคนยังไม่ทราบ
ในช่วงเดือนสิงหาคม 2567 ได้มีข่าวดราม่าที่ร้านอาหารย่านบรรทัดทอง เมื่อมีไกด์ออกมาเล่าว่า ได้พาลูกค้าไปกินอาหารที่ร้านดังกล่าว ด้วยความที่ลูกค้าเยอะจึงมีการรับบัตรคิว รอมานานเป็นชั่วโมง แต่กลับถูกกล่าวหาว่า รับบัตรคิวไปขายให้คนอื่น จึงเกิดการถกเถียงกันขึ้น บานปลายจนทางร้านไล่ให้ไกด์และลูกค้าของไกด์ออกจากร้าน
อ่านข่าว : ลูกค้าแฉ ร้านดังบรรทัดทอง ยกมือจะตบไกด์ หาว่าขายคิว ทั้งที่รอตั้งนาน ล่าสุดเคลื่อนไหวแรง !
วันที่ 9 ตุลาคม 2567 ไกด์คนดังกล่าว มีการโพสต์อัปเดตความคืบหน้าเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า ถูกร้านอาหารย่านบรรทัดทองแจ้งความข้อหาหมิ่นประมาท จึงอยากขอความช่วยเหลือจากคนในกลุ่มพวกเราคือผู้บริโภคว่า วันนั้นมีใครอยู่ในเหตุการณ์บ้าง รบกวนติดต่อมาด้วย
ผู้มีประสบการณ์จริงมาเล่าการสู้คดี ควรไปต่อหรือถอย
"ให้คำแนะนำในฐานะที่ขึ้นศาลคดีนี้มาแล้วนะคะ
ครั้งแรกไป ยังไม่ต้องเอาหลักฐานอะไรไปมากมายค่ะ ศาลจะให้ไปเพื่อไกล่เกลี่ยก่อน คดีพวกนี้ศาลเขาก็ไม่ได้อยากจะให้มันใหญ่โตค่ะ หลักฐานต่าง ๆ จะใช้ก็ต่อเมื่อไกล่เกลี่ยไม่จบ เป็นคดี แล้วไปถึงขั้นตอนสืบพยานต่าง ๆ ค่ะ
ถ้าไกล่เกลี่ยจบ คือจบค่ะ เราตามทำเงื่อนไขเสร็จ คู่กรณีก็จะมาถอนฟ้องให้ และต่อให้เราจะพูดความจริงก็ตาม หรือ เราคิดว่าเราไม่ผิดก็ตาม ถ้าเกิดดูแล้วทนายเราสู้เขาไม่ไหวจริง ๆ หรือเราไม่ได้เป็นคนมีเวลาว่าง เงินเยอะ พอที่จะเดินทางมาศาลบ่อย ๆ เอาง่าย ๆ คือถ้าไม่มั่นใจว่าจะชนะ 100% ให้มอบไว้ค่ะ ไหว้ขอโทษอะไรไป มันอาจจะกล้ำกลืนฝืนใจ คับแค้นใจ แต่พยายามให้จบในชั้นไกล่เกลี่ย ให้มันจบ ๆ ไป เอาเวลาไปทำมาหากินต่อดีกว่าค่ะ เขาอาจจะเรียกเงิน ให้เราโพสต์ขอโทษ ตรงนี้ศาลจะดูตามความเหมาะสมให้อีกทีค่ะ
ฝากไว้สำหรับคนที่อาจจะยังไม่เข้าใจระบบศาล คือต่างกรรมต่างวาระนะคะ เช่น ถ้าคุณถูกร้านทำให้เสียหาย เสียหน้า พูดคำหยาบใส่ คุณต้องฟ้องเขา เป็น 1 คดี ส่วนกรณีคุณมาโพสว่าเขาในออนไลน์ เขามีสิทธิ์จะฟ้องคุณเหมือนกัน แยกเป็นอีกคดี ไม่ใช่ว่า เอามาหักล้างกันได้
ที่สำคัญคือปัญหาพวกเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ เช่น ซื้อของได้ไม่ครบ
ทำสัญญายืมเงินกันแล้วคืนไม่ครบ มันแทบจะเข้าข่ายคดีแพ่งหมดเลย
คดีแพ่งโทษมันเบาค่ะ
ไปศาลขึ้นมาเขาก็ให้ไกล่เกลี่ยกันว่าจะชดเชยคืนเงินแบบไหนอย่างไร
ถึงแจ้งตำรวจเค้าก็ไม่ทำคดีให้ ถ้าไม่ใช่กรณีว่า ตั้งใจจะฉ้อโกงจริง ๆ
ต้องจ้างทนายมาฟ้อง แต่การหมิ่นประมาท ประจาน pdpa มันเป็นคดีอาญาเลย
โทษมันหนักกว่า
เคสเรา เราซื้อขายของกับบุคคลบุคคลหนึ่ง ได้สินค้าไม่ครบตามตกลง เราโพสต์ประจาน เลยโดนฟ้องหมิ่นกลับค่ะ ตอนแรกก็มั่นใจมากว่าสู้ชนะ มีหลักฐาน แต่มันไม่ใช่ ของเราเต็มที่ก็เข้าข่ายแต่คดีแพ่ง ถามทนาย 3-4 คน รวมถึงพ่อเราเอง ก็เลยอยากให้มอบไกล่เกลี่ย เพราะเราประจานเขาจริง ทำจริง และจะได้จบ ๆ ไปไม่เสียเวลาชีวิตค่ะ ขอให้เรียบร้อยด้วยดีนะคะ"
อ.เจษฎา เข้ามาอธิบายเพิ่ม ให้ความรู้เกี่ยวกับคดี
ต่อมา นายเจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เข้ามาคอมเมนต์ให้คำแนะนำถึงการโพสต์วิจารณ์สิ่งต่าง ๆ ที่ทำให้แนวคิดการมองคดีหมิ่นประมาทเปลี่ยนไปว่า "อย่างหนึ่งที่หลาย ๆ คนไม่ทราบ หรือไม่เข้าใจเกี่ยวกับกฎหมายหมิ่นประมาท คือเขาไม่ได้ตัดสินกันโดยดูว่าเป็นเรื่องจริงหรือเป็นเรื่องเท็จ แต่ตัดสินกันว่า การพูดหรือแสดงความเห็นหรือโพสต์คอมพิวเตอร์ไปนั้น ทำให้เกิดความเสียหายต่อชื่อเสียงหรือเปล่า หรือที่เรียกว่าหมิ่นประมาทนั้น
ถ้าเกิดความเสียหายขึ้น และทางเจ้าทุกข์ไม่โอเคด้วย ไม่เกิดการไกล่เกลี่ยยอมความกัน ก็มักจะแพ้คดีได้ครับ แม้ว่าจะเป็นเรื่องจริงก็ตาม ดังนั้น เจออะไรมา ก็ต้องระมัดระวังในเรื่องการมาโพสต์นะครับ เพราะจะเข้าข่ายหมิ่นประมาทได้ ยังแม้แต่การซื้อสินค้ามา แล้วเกิดปัญหาขึ้น ก็ต้องระวังในการร้องเรียนผ่านสื่อโซเชียลเช่นกัน"
อย่างไรก็ตาม มีคนแย้งกับนายเจษฎาว่า แบบนี้เท่ากับว่า เราจะไม่สามารถรีวิวอะไรได้เลยหรือ ถ้าหากมันแย่จริง ๆ เรื่องนี้นายเจษฎาตอบเพิ่มเติมว่า "อยู่ที่วิธีการใช้ภาษาด้วยครับ ถ้าเขียนในเชิงด่าทอ ก็มีสิทธิ์จะแพ้คดีได้มากกว่าการเขียนวิจารณ์แบบสร้างสรรค์"
ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับเนื้่อหา
ในช่วงเดือนสิงหาคม 2567 ได้มีข่าวดราม่าที่ร้านอาหารย่านบรรทัดทอง เมื่อมีไกด์ออกมาเล่าว่า ได้พาลูกค้าไปกินอาหารที่ร้านดังกล่าว ด้วยความที่ลูกค้าเยอะจึงมีการรับบัตรคิว รอมานานเป็นชั่วโมง แต่กลับถูกกล่าวหาว่า รับบัตรคิวไปขายให้คนอื่น จึงเกิดการถกเถียงกันขึ้น บานปลายจนทางร้านไล่ให้ไกด์และลูกค้าของไกด์ออกจากร้าน
อ่านข่าว : ลูกค้าแฉ ร้านดังบรรทัดทอง ยกมือจะตบไกด์ หาว่าขายคิว ทั้งที่รอตั้งนาน ล่าสุดเคลื่อนไหวแรง !
วันที่ 9 ตุลาคม 2567 ไกด์คนดังกล่าว มีการโพสต์อัปเดตความคืบหน้าเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า ถูกร้านอาหารย่านบรรทัดทองแจ้งความข้อหาหมิ่นประมาท จึงอยากขอความช่วยเหลือจากคนในกลุ่มพวกเราคือผู้บริโภคว่า วันนั้นมีใครอยู่ในเหตุการณ์บ้าง รบกวนติดต่อมาด้วย
ผู้มีประสบการณ์จริงมาเล่าการสู้คดี ควรไปต่อหรือถอย
ส่วนคอมเมนต์ชาวเน็ตรายหนึ่งที่เคยเจอคดีฟ้องร้องหมิ่นประมาท แสดงความเห็นไว้น่าสนใจ ดังนี้
"ให้คำแนะนำในฐานะที่ขึ้นศาลคดีนี้มาแล้วนะคะ
ครั้งแรกไป ยังไม่ต้องเอาหลักฐานอะไรไปมากมายค่ะ ศาลจะให้ไปเพื่อไกล่เกลี่ยก่อน คดีพวกนี้ศาลเขาก็ไม่ได้อยากจะให้มันใหญ่โตค่ะ หลักฐานต่าง ๆ จะใช้ก็ต่อเมื่อไกล่เกลี่ยไม่จบ เป็นคดี แล้วไปถึงขั้นตอนสืบพยานต่าง ๆ ค่ะ
ถ้าไกล่เกลี่ยจบ คือจบค่ะ เราตามทำเงื่อนไขเสร็จ คู่กรณีก็จะมาถอนฟ้องให้ และต่อให้เราจะพูดความจริงก็ตาม หรือ เราคิดว่าเราไม่ผิดก็ตาม ถ้าเกิดดูแล้วทนายเราสู้เขาไม่ไหวจริง ๆ หรือเราไม่ได้เป็นคนมีเวลาว่าง เงินเยอะ พอที่จะเดินทางมาศาลบ่อย ๆ เอาง่าย ๆ คือถ้าไม่มั่นใจว่าจะชนะ 100% ให้มอบไว้ค่ะ ไหว้ขอโทษอะไรไป มันอาจจะกล้ำกลืนฝืนใจ คับแค้นใจ แต่พยายามให้จบในชั้นไกล่เกลี่ย ให้มันจบ ๆ ไป เอาเวลาไปทำมาหากินต่อดีกว่าค่ะ เขาอาจจะเรียกเงิน ให้เราโพสต์ขอโทษ ตรงนี้ศาลจะดูตามความเหมาะสมให้อีกทีค่ะ
แต่ถ้ามีทนายดี เก่ง มีเวลาว่าง เงินพร้อม สู้ไปเลยค่ะ คือต้องทราบว่า คดีหมิ่นประมาทเป็นอาญา อาญาแปลว่าถึงขั้นติดคุกได้เลย หรือถ้าแพ้มันอาจจะมีประวัติติดตัว หรืออาจจะต้องมีเงินประกันตัวในชั้นต้นก่อนรึเปล่าถ้าสมมติไกล่เกลี่ยไม่จบและดำเนินคดีจริง ๆ ขึ้นมา ตรงนี้ถามทนายผู้รู้อีกทีนะคะ เราไม่มั่นใจ เพราะของเราจบแต่ไกล่เกลี่ย
ฝากไว้สำหรับคนที่อาจจะยังไม่เข้าใจระบบศาล คือต่างกรรมต่างวาระนะคะ เช่น ถ้าคุณถูกร้านทำให้เสียหาย เสียหน้า พูดคำหยาบใส่ คุณต้องฟ้องเขา เป็น 1 คดี ส่วนกรณีคุณมาโพสว่าเขาในออนไลน์ เขามีสิทธิ์จะฟ้องคุณเหมือนกัน แยกเป็นอีกคดี ไม่ใช่ว่า เอามาหักล้างกันได้
เคสเรา เราซื้อขายของกับบุคคลบุคคลหนึ่ง ได้สินค้าไม่ครบตามตกลง เราโพสต์ประจาน เลยโดนฟ้องหมิ่นกลับค่ะ ตอนแรกก็มั่นใจมากว่าสู้ชนะ มีหลักฐาน แต่มันไม่ใช่ ของเราเต็มที่ก็เข้าข่ายแต่คดีแพ่ง ถามทนาย 3-4 คน รวมถึงพ่อเราเอง ก็เลยอยากให้มอบไกล่เกลี่ย เพราะเราประจานเขาจริง ทำจริง และจะได้จบ ๆ ไปไม่เสียเวลาชีวิตค่ะ ขอให้เรียบร้อยด้วยดีนะคะ"
อ.เจษฎา เข้ามาอธิบายเพิ่ม ให้ความรู้เกี่ยวกับคดี
ต่อมา นายเจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เข้ามาคอมเมนต์ให้คำแนะนำถึงการโพสต์วิจารณ์สิ่งต่าง ๆ ที่ทำให้แนวคิดการมองคดีหมิ่นประมาทเปลี่ยนไปว่า "อย่างหนึ่งที่หลาย ๆ คนไม่ทราบ หรือไม่เข้าใจเกี่ยวกับกฎหมายหมิ่นประมาท คือเขาไม่ได้ตัดสินกันโดยดูว่าเป็นเรื่องจริงหรือเป็นเรื่องเท็จ แต่ตัดสินกันว่า การพูดหรือแสดงความเห็นหรือโพสต์คอมพิวเตอร์ไปนั้น ทำให้เกิดความเสียหายต่อชื่อเสียงหรือเปล่า หรือที่เรียกว่าหมิ่นประมาทนั้น
ถ้าเกิดความเสียหายขึ้น และทางเจ้าทุกข์ไม่โอเคด้วย ไม่เกิดการไกล่เกลี่ยยอมความกัน ก็มักจะแพ้คดีได้ครับ แม้ว่าจะเป็นเรื่องจริงก็ตาม ดังนั้น เจออะไรมา ก็ต้องระมัดระวังในเรื่องการมาโพสต์นะครับ เพราะจะเข้าข่ายหมิ่นประมาทได้ ยังแม้แต่การซื้อสินค้ามา แล้วเกิดปัญหาขึ้น ก็ต้องระวังในการร้องเรียนผ่านสื่อโซเชียลเช่นกัน"
อย่างไรก็ตาม มีคนแย้งกับนายเจษฎาว่า แบบนี้เท่ากับว่า เราจะไม่สามารถรีวิวอะไรได้เลยหรือ ถ้าหากมันแย่จริง ๆ เรื่องนี้นายเจษฎาตอบเพิ่มเติมว่า "อยู่ที่วิธีการใช้ภาษาด้วยครับ ถ้าเขียนในเชิงด่าทอ ก็มีสิทธิ์จะแพ้คดีได้มากกว่าการเขียนวิจารณ์แบบสร้างสรรค์"