ประชาชาติธุรกิจ จัดงานสัมมนาใหญ่ Prachachat Outlook : Thailand 2026 ปรับ-เปลี่ยน-ไปต่อ โดยมีนายกรัฐมนตรีร่วมเสวนาพร้อมผู้บริหารรุ่นใหม่ NextGen และทายาทธุรกิจ GEN 2 แชร์ประสบการณ์การปรับตัวและบทเรียนธุรกิจท่ามกลางความเปลี่ยนแปลง
เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2568 ประชาชาติธุรกิจ จัดงานสัมมนาส่งท้ายปี Prachachat Outlook : Thailand 2026 ปรับ-เปลี่ยน-ไปต่อ ณ ห้องฉัตราบอลรูม 1-2 โรงแรมสยาม เคมปินสกี้ โดยมีนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ปาฐกถาพิเศษร่วมกับผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจและธุรกิจ ขณะที่ผู้บริหารและนักธุรกิจรุ่นใหม่มาแชร์ประสบการณ์จริง ถอดบทเรียนการสร้างความภักดีของลูกค้า และการปรับตัวธุรกิจให้รอดในยุคการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เวทีสัมมนาครั้งนี้เป็นพื้นที่สำหรับมองโจทย์และแนวทางปรับตัว เมื่อประเทศไทยเผชิญทั้งความท้าทายจากปัจจัยภายนอกและความอ่อนแอจากปัจจัยภายใน เศรษฐกิจไทยจึงจำเป็นต้องยกเครื่องและปฏิรูปโครงสร้างเพื่อเตรียมความพร้อมไปต่ออย่างมั่นคง
Prachachat Outlook : Thailand 2026
ปรับ-เปลี่ยน-ไปต่อ
งานสัมมนาครั้งนี้ได้รับเกียรติจาก ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวเปิดงานและบรรยายพิเศษหัวข้อ Thailand 2026: ปรับ-เปลี่ยน-ไปต่อ ว่า การปรับและเปลี่ยนเศรษฐกิจไทยเป็นเรื่องสำคัญ ต้องคิดไกลและยอมรับความจริงของปัญหา เช่น ผู้สูงอายุ กำลังแรงงานลดลง หนี้ครัวเรือนสูง และขีดความสามารถการแข่งขันลดลง โดยเน้นสร้าง Quick Big Win ฟื้นเศรษฐกิจระยะสั้น เช่น โครงการคนละครึ่งพลัส ส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรอง และเพิ่มทักษะแรงงานผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล
ส่วนในระยะยาว นายเอกนิติเน้นแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง เช่น การปรับโครงสร้างหนี้ครัวเรือน SMEs สนับสนุน Soft Loan และมาตรการภาษี พร้อมลงทุนในทรัพยากรมนุษย์ รีสกิล/อัพสกิลแรงงาน และโครงสร้างพื้นฐานใหม่ เช่น พลังงานสะอาด EV Data Center และ AI ผ่านกลไก PPP (Public-Private Partnership) และกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานไทย เพื่อฟื้นเศรษฐกิจระยะสั้นและสร้างรากฐานการแข่งขันระยะยาว ทำให้ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืน
จากนั้นเป็นการเสวนาในหัวข้อ Geoeconomics - AI Turning Point กับ ดร.สันติธาร เสถียรไทย กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ของคณะกรรมการนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย และ ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย กรรมการผู้จัดการ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร
ดร.สันติธาร เน้นย้ำว่า ประเทศไทยต้องปรับตัวให้ทันโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ไม่ใช่เพียงพัฒนาความสามารถเดิม แต่ต้องออกแบบ Position ของประเทศในอนาคตให้ชัดเจน เพื่อก้าวเข้าสู่ศูนย์กลางด้าน Well-Being ทั้ง Longevity และ Healthcare ผสานเทคโนโลยีดิจิทัลและ AI กับอุตสาหกรรมเกษตร อาหาร และอุปกรณ์ทางการแพทย์ พร้อมสร้างแรงงานที่มีทักษะใหม่ผ่าน Reskill และ Upskill สู่การเติบโตที่ทั่วถึงและยั่งยืน โดยเสนอแนวทางเศรษฐกิจใหม่ผ่าน 4 เสา ได้แก่ New Economies ที่เน้น AI Green และ Longevity Economy, New Good Jobs มุ่งสร้างงานคุณภาพและดึงดูดคนเก่ง, New Markets เพื่อสร้างตลาดใหม่และเพิ่มมูลค่าสินค้า และ New Safety Nets สำหรับปกป้องธุรกิจและประชาชนให้ปรับตัวในยุคโลกาภิวัตน์ได้อย่างมั่นคง
ทางด้าน ดร.พิพัฒน์ ชี้ว่า เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญความท้าทายหลายด้าน ทั้งการเติบโตชะลอตัวจากปัญหาเชิงโครงสร้าง การชะลอตัวของภาคการท่องเที่ยว และแรงกดดันจากสงครามการค้าและนโยบายเศรษฐกิจโลก ทำให้การส่งออกและภาคการผลิตไม่ได้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจอย่างเต็มที่ อีกทั้งกระแสโลกใหม่ 4D ได้แก่ Demographic, Deglobalization, Digital Technology และ Decarbonization กำลังบีบให้ประเทศต้องปรับตัวอย่างเร่งด่วน โจทย์สำคัญคือการยกระดับคุณภาพแรงงาน การเพิ่มการลงทุนที่มีประโยชน์ต่อเศรษฐกิจภายใน และการพัฒนา Productivity Growth เพื่อเพิ่มค่าจ้างจริงและสร้างชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ประเทศไทยมีศักยภาพสูง หากทุกภาคส่วนร่วมมือกัน สามารถสร้างเศรษฐกิจแห่งโอกาสที่ประชาชนทุกคนเข้าถึงและเติบโตได้อย่างแท้จริง
ตามด้วยการพูดคุยกับ นายกวิน ตั้งอุทัยศักดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เดอะวันเซ็นทรัล จำกัด ในหัวข้อ Customer Loyalty in the Age of AI and Economic Uncertainty
“เดอะวัน เป็น Loyalty Program ของเครือเซ็นทรัล มีสมาชิกกว่า 22 ล้านคน และสามารถแบ่งเซ็กเมนต์ลูกค้าตามพฤติกรรมได้หลากหลาย เช่น ครอบครัว Gen Y & Z ผู้สูงอายุ และกลุ่ม Mainstream โดยกลุ่ม Active Lifestyle เติบโตต่อเนื่องสะท้อนเทรนด์ Well-Being แม้อีโคซิสเต็มใหญ่แต่ยังไม่ครอบคลุมทุกมิติ จึงร่วมมือกับพาร์ตเนอร์อื่น ๆ เช่น ไลน์แมนและโตโยต้า เพื่อตอบโจทย์ลูกค้า พร้อมเน้นการใช้ Small Data ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับพฤติกรรมและช่องทางชำระเงินของลูกค้าเดิม เพราะมีประสิทธิภาพต่อธุรกิจสูงกว่า Big Data และช่วยต่อยอดร่วมกับ AI ในอนาคต โดยเฉพาะในช่วงเศรษฐกิจท้าทายที่การรักษาลูกค้าเดิมมีต้นทุนต่ำกว่าการหาลูกค้าใหม่ถึง 7 เท่า”
ต่อด้วยการเสวนาพิเศษ ถอดบทเรียน...จุดเปลี่ยนธุรกิจ NextGen จาก นายอชิระ บุญสงเคราะห์ ผู้อํานวยการอาวุโส ฝ่ายจัดหาและพัฒนาผลิตภัณฑ์ บริษัท โมชิ โมชิ รีเทล คอร์ปอเรชั่น จํากัด (มหาชน) และ นายพีรวัส เจนตระกูลโรจน์ ผู้บริหารและทายาทรุ่น 2 ศรีฟ้าเบเกอรี่
โดย นายอชิระ เล่าจุดเปลี่ยนสำคัญของโมชิ โมชิ ว่า เริ่มจากการปรับโมเดลธุรกิจครอบครัวจากค้าส่งเครื่องเขียนและกระเป๋านักเรียนเป็นร้านสินค้าไลฟ์สไตล์คุณภาพดี ราคาจับต้องได้ ซึ่งได้รับการตอบรับดี ต่อมาขยายสาขาเข้าสู่ห้างสรรพสินค้าในต่างจังหวัดและประสบความสำเร็จสูง นำไปสู่การขยายสาขาทั้งกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดรวม 190 สาขาในปัจจุบัน แม้ธุรกิจเติบโตต่อเนื่อง แต่ต้องปรับตัวตลอดเวลา ทั้งการพัฒนาโมเดลร้านขนาดต่าง ๆ ปรับสปีดการวางสินค้าใหม่ และใช้ข้อมูลผู้บริโภคคัดเลือกสินค้าและตั้งราคาให้เหมาะสม การปรับตัวอย่างต่อเนื่องนี้ช่วยให้โมชิ โมชิ แข่งขันและเติบโตได้อย่างยั่งยืนแม้ในสภาพเศรษฐกิจที่ท้าทาย
ขณะที่ นายพีรวัส เล่าถึงจุดเปลี่ยนสำคัญของธุรกิจเบเกอรี่ของครอบครัวว่า เริ่มจากการตั้งโรงงานมาตรฐานสูงส่งเค้กฝอยทองเข้าสู่เซเว่นฯ ในปี 2552 ทำให้ยอดขายเติบโตจาก 100 ล้านบาท เป็น 500 ล้านบาท ภายในไม่ถึง 10 ปี และต่อมาได้ร่วมทุนกับเดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป ตั้ง Art of Baking ผลิตแป้งโดว์มูลค่า 700 ล้านบาท พร้อมพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ เช่น ชีสเค้กราคา 39 บาท และชิโอะปัง ราคา 19 บาท ที่ขายดีเป็นกระแสในตลาด นอกจากนี้ยังขยายแฟรนไชส์อย่างต่อเนื่อง เปิดสาขา 75 แห่งในปี 2568 สิ่งที่ทำให้ธุรกิจอยู่รอดและเติบโตคือการตระหนักและปรับตัวต่อความเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ
ก่อนที่ นายสมานชัย อธิพันธุ์อำไพ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท ลีโอวูด จำกัด (มหาชน) จะถ่ายทอดมุมมองการปรับตัวธุรกิจตั้งแต่วิกฤตต้มยำกุ้งจนถึงยุคออนไลน์ เขาเล่าว่าบทเรียนจากความผิดพลาดทางการเงินทำให้รู้จักระมัดระวังและมองสัญญาณความเสี่ยงอย่างเฉียบคม ก่อนนำพาธุรกิจเข้าสู่ดิจิทัลด้วยการขายวัสดุก่อสร้างออนไลน์เป็นกลุ่มแรก ๆ พร้อมสร้างแบรนด์ผ่านช่อง “ช่างเถอะ by พี่ปี้” มีผู้ติดตามจำนวนมาก ดันยอดโต 40% และขยายเป็น 30 สาขา ใช้ Localized Marketing เจาะต่างจังหวัดอย่างได้ผล ประสบการณ์ที่ผ่านยุคเปลี่ยนหลายรอบทำให้เขาให้ความสำคัญกับการทำงานร่วมกับคนรุ่นใหม่ เปิดพื้นที่ให้แสดงศักยภาพ ใช้เทคโนโลยีและ AI เพิ่มประสิทธิภาพ ลดงานส่วนเกิน และทิ้งท้ายว่า การส่งต่อธุรกิจควรเป็นมรดกไม่ใช่ภาระ ต้องเคลียร์ปัญหาองค์กรให้จบก่อนส่งไม้ต่อสู่รุ่นถัดไป
และปิดท้ายเวทีด้วยปาฐกถาพิเศษ ภายใต้หัวข้อ Change for the Future จาก
นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ว่า โลกปัจจุบันเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วทั้งเศรษฐกิจ สังคม การเมือง และภูมิรัฐศาสตร์ ทำให้ไทยต้อง “ปรับ เปลี่ยน ไปต่อ ทุกวัน” ไม่สามารถอยู่เฉยได้ หากต้องการให้ประเทศเดินหน้า
“อยู่เฉย ๆ ฟันเฟืองจะติดขัด แต่ถ้าเดินไปเรื่อย ๆ ทุกวันปรับ ทุกวันเปลี่ยน ก็จะไปต่อ” นายกรัฐมนตรี กล่าว
พร้อมเน้นว่าประเทศไทยต้องสร้างความได้เปรียบในเวทีโลก ผ่านความร่วมมือระหว่างประเทศและจุดแข็งด้าน สุขภาพ การแพทย์ และการท่องเที่ยว ส่วนด้านเศรษฐกิจและสังคม เน้นการปรับตัวสู่ยุค AI และสังคมผู้สูงอายุ โดยให้ความสำคัญกับ upskill/reskill ของประชาชนและแรงงานสูงวัย พร้อมปรับโครงสร้างสาธารณสุขเพื่อรองรับผู้สูงอายุและผู้ป่วยเรื้อรัง
นอกจากนี้ นายอนุทิน ยังบอกว่า การพัฒนาประเทศต้องใช้ยุทธศาสตร์แบบ win-win เพื่อให้ทุกฝ่ายได้ประโยชน์ และย้ำด้วยคำพูดเด็ด ๆ ว่า คำว่าปรับ เปลี่ยน ไปต่อ เป็นสัจธรรมของชีวิตและการบริหารบ้านเมือง ทุกนโยบายจึงต้องปรับ เปลี่ยน และไปต่อ เพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศและประชาชน
ทั้งนี้ สามารถรับชม Live งานสัมมนาย้อนหลังได้ที่
Prachachat - ประชาชาติ