ความรักของหญิงชรา กับหมาแมวกว่า 300 ตัว

ยายติ๋ม

สุนัข


เรียบเรียงโดยกระปุกดอทคอม
ภาพประกอบจากหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

          เสียงเห่าหอนของเหล่าบรรดาสุนัขนับร้อยๆ ตัว ดังโหยหวนออกมาจากบ้านหลังเก่าแลดูทรุดโทรมหลังหนึ่งมานานกว่า 35 ปีแล้ว บ้านหลังที่ว่านี้ตั้งอยู่ภายในซอยแคบๆ ข้างกำแพงวัดประยูรธรรมาราม จังหวัดปทุมธานี ซึ่งถ้ามองแค่เพียงผิวเผิน ก็คงไม่มีอะไรแตกต่างไปจากบ้านหลังอื่นๆ แต่ภายใต้ความเสื่อมโทรม อึดอัด คับแคบ กลับมีพื้นที่เล็กๆ ให้สิ่งมีชีวิตอีก 335 ชีวิตอาศัยอยู่

          "บ้านนี้มีหมา 303 ตัว แมว 30 ตัว ห่าน 1 ตัว และฉันอีก 1 คน รวมแล้ว 335 ชีวิต หมาแมวส่วนใหญ่เป็นหมาแมวจรจัดพลัดหลงเข้ามา หลายตัวเจ้าของก็เอามาปล่อยทิ้งไว้จนหิวโซใกล้จะอดตาย บางตัวก็เจ็บป่วยพิการไม่สมประกอบ ฉันจึงเก็บมาเลี้ยงไว้ทั้งหมด" คำบอกเล่าของเจ้าของบ้านหรือ มณี แสงจันทร์ หรือที่ชาวบ้านเรียกกันคุ้นเคย ว่า ยายติ๋ม หญิงชราร่างเล็กหลังงองุ้ม ใบหน้าเหี่ยวย่นและฟันฟางหักจนเกือบหมดปาก แต่ท่าทางการเคลื่อนไหวยังคงดูกระฉับกระเฉงและแข็งแรงในวัย 73 ปี

          ทุกๆ เช้าตรู่ ยายติ๋มจะเดินตรวจตราสมาชิกหมาและแมวทั้งหมดทีละตัวๆ ว่ามีสุขภาพอาการเป็นอย่างไรบ้าง ก่อนจะเดินทางไปตลาดสดเพื่อหาซื้อข้าวสารเป็นกระสอบ ซี่โครงไก่อีกหลายตัว อาหารเม็ดสำหรับสุนัขถุงใหญ่ พร้อมกับเอ่ยปากขอเศษผักเศษหมูข้างเขียงที่เขาเหลือ แล้วกลับบ้านมาปรุงเป็นอาหารให้แก่เพื่อนร่วมชายคา ที่ต่างรอคอยด้วยความหิวโหย ชีวิตของยายติ๋มดำเนินไปเช่นนี้มานาน 40 ปีแล้ว 

          ยายติ๋มรำลึกถึงอดีตให้ฟังว่า ด้วยความที่เป็นคนรักสัตว์ ทำให้เวลาที่ไปเจอหมาจรจัดผอมโซจนเห็นซี่โครง ก็จำต้องควักเงินซื้อกับข้าวกับปลาให้กิน หรือเวลาที่มีหมาแมวบาดเจ็บพิการพลัดหลงเข้ามาในบ้าน ก็ต้องพาไปหาหมอรักษาแล้วให้ที่พักให้อาหารจนหายป่วยแข็งแรงดี ก่อนจะปล่อยไปตามยถากรรม แต่พวกเขาก็ไม่เคยไปไหนไกล ยังกลับมาวนเวียนป้วนเปี้ยนอยู่หน้าบ้านจนต้องรับเลี้ยงไว้ มันเหมือนกับคนที่อยู่บนหลังเสือ อยากจะลงก็ลงไม่ได้ ลำบาก เพราะจากที่แรกๆ ที่มีแค่ 4-5 ตัว ก็เพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ กลายเป็น 20 ตัว เวลาผ่านไปก็มีทั้งคนมาปล่อยทิ้งไว้บ้าง เราสงสารไปเก็บมาเลี้ยงไว้บ้าง จนกลายมาเป็นหลาย 100 ตัวอย่างทุกวันนี้ ลูกๆ หลานๆ ก็บ่นจนไม่รู้จะบ่นยังไงแล้ว เขาก็เข้าใจว่าแม่ทำอย่างนี้แล้วมีความสุข จะให้ทิ้งก็ทิ้งไม่ได้ ชีวิตทั้งชีวิตนะคุณ เราก็ปล่อยทิ้งเขาให้อดตายไม่ได้หรอก  

ยายติ๋ม


          ลูกๆ ทั้งสามของยายติ๋มแยกย้ายไปมีครอบครัวกันหมดแล้ว แม้ยายติ๋มจะใช้ชีวิตอยู่ในบ้านหลังนี้เพียงลำพัง หลังจากที่สามีคู่ชีวิตตายจากไป สิ่งที่แกเรียกว่าห้องนอนนั้นต่อเติมไว้อยู่เหนือที่อยู่อาศัยของบรรดาหมาและแมวทั้งหมด เป็นเพียงพื้นที่แคบๆ ที่ยกสูงไว้สำหรับพักผ่อนนอนหลับ และในแต่ละเดือนแกจะได้รับเงินใช้จ่ายต่างๆ จากลูกๆ ตกเดือนละประมาณ 1.2 หมื่นบาท เงินจำนวนดังกล่าว อาจทำให้หญิงชราอยู่ได้อย่างสบายๆ ในช่วงบั้นปลายชีวิต ถ้าไม่ต้องมานั่งแบกรับภาระอันหนักอึ้งอย่างทุกวันนี้ 

          "ฉันต้องเสียค่าใช้จ่ายเรื่องอาหารการกินของพวกนี้ ตกวันละประมาณ 1,800 บาท ทั้งค่าข้าวสารวันละ 60 กิโลกรัม ก็ประมาณครึ่งกระสอบ 900 กว่าบาท รวมถึงค่าจ้างคนงาน 2 คน คนละ 200 บาทต่อวัน นี่คือค่าใช้จ่ายหลักๆ ที่ต้องเสียไปในแต่ละวัน และต้องเสียค่าเช่าบ้านอีกเดือนละ 4,000 บาท รวมค่าน้ำค่าไฟแล้วก็ร่วมๆ 1 หมื่นบาท มีหลายคนสงสัยว่า ฉันไปเอาเงินมากมายขนาดนั้นมาจากไหน ก่อนหน้านี้ฉันขายบ้านที่สุพรรณไปแล้ว 2 หลัง ที่ไร่ที่นาซึ่งเป็นมรดกตกทอดก็ต้องไปขายให้ญาติน้อง แบ่งเงินจากส่วนนั้นมาเดือนละ 3 หมื่น เอามาจุนเจือตรงนี้ นี่ก็ยังไม่รู้เลยว่า ถ้าส่วนแบ่งของฉันหมด จะเอาเงินจากที่ไหนมาเลี้ยงดูพวกมัน แรกๆ ก็มีแต่คนด่าหาว่าบ้า เอาหมาเอาแมวจรจัดมาเลี้ยงไว้ทำไมตั้งเยอะแยะ บางคนก็บอกให้เอาไปทิ้งหรือเอาไปขาย แต่ฉันก็ไม่ทำ อยู่ด้วยกันมาเป็นสิบๆ ปี ใครจะกล้าทอดทิ้งได้ลงคอ" ยายติ๋ม เล่า

          ทั้งนี้ ยายติ๋มเคยไปขอความช่วยเหลือจากองค์กร สมาคม หรือแม้แต่มูลนิธิต่างๆ ที่เกี่ยวกับสัตว์ถูกทอดทิ้งมาหลายต่อหลายครั้ง แต่ก็ไม่ได้รับความช่วยเหลือใดๆ เลย และเมื่อหลายปีก่อนเรื่องราวของยายติ๋มเคยมีรายการโทรทัศน์ชื่อดังรายการหนึ่ง นำไปถ่ายทอดออกสู่สายตาสาธารณชน พร้อมๆ กับช่องทางความช่วยเหลือโดยลงหมายเลขบัญชีของแกไปด้วย ทำให้คนไทยทั้งประเทศที่ได้ชมต่างก็รู้สึกเวทนาสงสาร และนับถือหัวจิตหัวใจของหญิงชราใจบุญตัวเล็กๆ คนนี้ 

          ยายติ๋ม เปิดใจอีกว่า ช่วงนั้นก็มีหลายคนเดินทางมาดู มาเยี่ยมชมให้กำลังใจ แล้วก็ให้ความช่วยเหลือเล็กๆ น้อยๆ อย่างเช่น เงินจำนวนไม่มาก เอาข้าวสาร เอาอาหารเม็ดสำหรับหมาแมวมาให้ แต่ก็เป็นแค่ช่วงแรกๆ เท่านั้น หลังจากนั้นก็มีแต่คนเอาหมาและแมวมาปล่อยทิ้งไว้หน้าบ้าน แม้กระทั่งหลอกถามที่อยู่เพื่อจะเอาพวกมันมาทิ้งไว้ เช่น มีคนโทรมาถามว่าบ้านยายอยู่ไหน จะไปเยี่ยมไปช่วยเหลือ ฉันก็บอกทางเขาเสร็จสรรพ รอเท่าไรเขาก็ไม่มา แต่พอตกกลางคืนได้ยินเสียงรถ กระบะมาจอดเอี๊ยดดังสนั่น หมาแมวในบ้านก็เห่าหอนกันลั่นซอย พอออกไปดู ก็เจอหมาเกือบ 10 ตัวถูกใส่กล่องมาปล่อยทิ้งไว้หน้าบ้าน

ยายติ๋ม


          "ฉันขอร้องไว้ตรงนี้เลย ให้ฉันกราบให้ฉันไหว้ยังไงก็ได้ ขอเถอะนะ อย่าเอาหมาเอาแมวมาปล่อยที่นี่อีก แค่นี้ฉันก็จะเลี้ยงไม่ไหวอีกแล้ว จะตายกันหมดทั้งบ้านแล้ว ทุกวันนี้ฉันมีปัญญาเลี้ยงมันแค่วันละมื้อเท่านั้น ฉันอดได้ไม่เป็นไรหรอก ทุกวันนี้ฉันก็กินวันละเล็กน้อยเท่านั้น อาศัยข้าวก้นบาตรวัดกินประทังชีวิตให้พออิ่มไปวันๆ แต่หมาแมวพวกนี้สิ ต้องหาเงินมาซื้อข้าวสารให้มันกิน เมื่อก่อนมีคนใจบุญเอาข้าวสารมาให้เป็นถุง ถุงใหญ่ๆ แต่สองสามปีนี้ก็หายหน้าหายตาไป เพราะเขาบอกว่าเขาก็ลำบากเหมือนกัน" เสียงของยายติ๋มบ่งบอกความรู้สึกอัดอั้นตันใจ และน้ำตาของยายเริ่มไหลออกมา 

          ตลอดระยะเวลา 40 ปีที่ผ่านมา อาจเรียกได้ว่าชีวิตของยายติ๋ม-มณี แสงจันทร์ วัย 73 ปี คนนี้กำลังเผชิญกับปัญหาที่ไม่อาจแบกรับมันได้อีกต่อไป "ถ้าฉันตาย ใครจะดูแลพวกมัน" นี่คือสิ่งที่แกถามตัวเองอยู่ทุกค่ำคืน ก่อนจะปิดตาหลับลงด้วยความเหน็ดเหนื่อยใจ 

          ณ เวลานี้ หมาแมวจรจัดพิการทั้ง 333 ตัว ต่างก็ไม่รู้ว่าหญิงชราตัวเล็กๆ ที่คอยหาข้าวหาน้ำ คอยปรนนิบัติพวกมันยามเจ็บไข้ได้ป่วยคนนี้ จะอยู่ดูแลพวกมันได้อีกนานเท่าไหร่ เช่นเดียวกับหญิงชราเจ้าของบ้านที่ไม่รู้ตัวเองเหมือนกันว่า วันพรุ่งนี้และวันต่อๆ ไป จะมีปัญญาหาเงินมาเลี้ยงพวกมันได้อีกนานแค่ไหน…ใครเล่าจะไปรู้


ข้อมูลจาก

อินทรชัย พาณิชกุล

เรื่องน่าสนใจอื่นๆ
เรื่องที่คุณอาจสนใจ
ความรักของหญิงชรา กับหมาแมวกว่า 300 ตัว อัปเดตล่าสุด 6 กรกฎาคม 2551 เวลา 16:21:05 26,479 อ่าน
TOP
x close