ชีวิตนี้ช่างสั้นนัก รักกันไว้ดีไหม ?

แค่อยากให้คนไทยรักกัน  


          เมื่อถึงจุดหนึ่งที่ชีวิตก่อรูปเป็นความเปลี่ยนแปลง   
          ไม่ว่าจะถูกตีตราว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่   
          หรือถูกตราหน้าว่าเป็นคนที่ไร้เกียรติในสังคม   
          แต่สุดท้ายทุกชีวิตก็จะกลับคืนสู่ดิน   
          หรือกลายเป็นธาตุธุลีเล็กๆ ที่วันหนึ่งก็จะถูกลืม   
          โดยมีความตายเป็นจุดจบของชีวิตทางร่างกายที่ได้มา


          ท่ามกลางการเกิด แก่ เจ็บ ตายที่กำลังหมุนไปอยู่ทุกขณะ  มีสิ่งหนึ่งที่น่าตกใจในชีวิตของเรา คือความไม่ไว้ใจซึ่งกันและกัน ซึ่งนับวันจะลุกลามเป็นเชื้อโรคร้ายที่ยากจะเยียวยา 

          สิ่งที่ส่งผลต่อการดำเนินชีวิตร่วมกันก็คือ เราไม่สามารถสัมผัสกับความสุขที่มอบให้แก่กันได้เลย  หน้ากากที่ไม่ต้องการจะสวมใส่ จึงเป็นสิ่งหนึ่งที่คนเราเริ่มถามหา เราจึงเรียกคนเดี๋ยวนี้ว่า "ชอบสวมหน้ากากเข้าหากัน" ซึ่งอยู่ที่ว่าใครจะมีหน้ากากที่มีรูปลักษณ์อย่างไร   

          บางคนมีใบหน้าที่สวยงาม เราก็ยอมรับว่าเขาดูดีในขณะที่สวมบทบาทนั้น แต่บางคนก็ปรากฏกายในรูปของปีศาจร้าย จึงทำให้เกิดภาพที่ติดอยู่ในความรู้สึกว่าเขาเป็นคนไม่ดี 

          แต่เมื่อสรุปที่ความเป็นหน้ากากแล้ว ก็มีคำตอบอยู่ที่ว่า ไม่ว่าจะเป็นหน้ากากที่สวยงามหรือคล้ายปีศาจร้าย  แต่ทั้งหมดที่กล่าวมาก็ไม่ใช่รูปลักษณ์ที่แท้จริงของคนเราอยู่ดี   

          เมื่อความจริงไม่ถูกเปิดเผย สิ่งที่ได้รับจากบุคคลรอบข้างก็จัดว่าเป็นความหลอกลวงเช่นเคย ซึ่งเป็นภาพของเชื้อโรคร้ายที่นับวันจะแผ่ขยาย หากเราไม่ช่วยกันทำลายให้หมดไป

          อย่างไรก็ดี ถ้ารู้จักมองในมุมที่ก่อให้เกิดคุณค่าร่วมกัน  รู้จักมองความจริงแล้วทำให้ความหยิ่งในใจลดลง   สัจธรรมของชีวิตฟ้องให้รู้ว่า ไม่ว่าเราจะเป็นใครก็ตาม หนึ่งชีวิตที่ได้มานั้นช่างสั้นนัก เป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งของสรรพสิ่งที่หมุนเวียนมาเจอกัน   

          แต่ไฉนเล่า เราจึงชอบมองคนอื่นด้วยสายตาที่เหยียดหยามหมิ่นแคลน  โดยไม่รู้จักมองด้วยความเมตตาอารีที่มีต่อกัน เพราะชีวิตช่างสั้นเกินกว่าที่จะตะโกนบอกใครว่า "เรานี่แหละจะอยู่ค้ำฟ้าได้"

          เพราะเมื่อถึงจุดหนึ่งที่ชีวิตก่อรูปเป็นความเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะถูกตีตราว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่ หรือถูกตราหน้าว่าเป็นคนที่ไร้เกียรติในสังคม แต่สุดท้ายทุกชีวิตก็จะกลับคืนสู่ดิน หรือกลายเป็นธาตุธุลีเล็กๆที่วันหนึ่งก็จะถูกลืม โดยมีความตายเป็นจุดจบของชีวิตทางร่างกายที่ได้มา 

          ด้วยเหตุนี้ เราจึงต้องกลับมาทบทวนชีวิตครั้งใหม่ของเราทุกคนว่า โลกที่อยู่อาศัยร่วมกันนี้ เราจะอยู่แบบญาติดีหรือจะข่มเหงบีฑาต่อกันอย่างไม่มีวันจบ  ?  

          เราควรถามตัวเองให้มากขึ้นว่า เบียดเบียนกันแล้วได้อะไรขึ้นมา หรือเป็นเพียงต้องการเอาชนะกันเท่านั้น ? 
แต่สุดท้ายไม่ว่าใครจะเป็นผู้แพ้หรือชนะ ทุกคนที่อยู่บนโลกใบนี้  ล้วนชื่อว่าเป็นผู้แพ้ด้วยกันทั้งสิ้น เพราะทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนกระทบถึงกัน   

          แต่ถ้าทำความเข้าใจชีวิตให้รอบด้าน เราจะเริ่มเข้าใจว่าระหว่างการทะเลาะเบาะแว้งแล้วก่อให้เกิดความขัดแย้ง และการรักษามิตรภาพที่ได้มานี้ สิ่งไหนมนุษย์ตัวน้อยๆ เช่นเราควรทำมากกว่ากัน ? เป็นการสร้างคำถาม เพื่อตอบให้กระจ่างอย่างคนที่มีเยื่อใยในชีวิตบ้าง  ก่อนที่จะต้องโบกมือลาโลกนี้ไป แม้อาจจะเต็มใจหรือไม่ก็ตาม 

          โปรดถามตัวเองให้มากว่า ทะเลาะกันแล้วเราได้อะไรเพิ่มขึ้นบ้าง นอกจากความโหดร้ายที่กลายเป็นเครื่องมือประหัตประหารพวกเราเอง ?    

          และสุดท้ายเราเหลืออะไรที่สามารถเก็บไว้เป็นที่ระลึก แล้วทำให้ชีวิตภูมิใจในการเกิดมาบ้าง ? คำตอบอยู่ที่ใจของเราทุกคน 

          มีชายวัยกลางคนคนหนึ่ง ชอบนำดอกไม้มาบูชาพระที่วัดเป็นประจำ อยู่มาวันหนึ่ง ในขณะที่เขากำลังหอบหิ้วดอกไม้และผลไม้ เพื่อมาถวายพระเช่นทุกครั้งที่ผ่านมา   

          ทันทีที่เขาเดินมาถึงประตูวิหาร ก็มีชายคนหนึ่งวิ่งมาชนเข้าอย่างจัง ทำให้ดอกไม้และผลไม้ร่วงกระจัดกระจายไปทั่วพื้น เขาจึงพูดโต้ตอบไปด้วยอารมณ์ที่ฉุนเฉียวว่า

          "ทำไมไม่ดูตาม้าตาเรือซะมั้ง  เห็นไหมดอกไม้และผลไม้ร่วงหมดแล้ว"
          "ฉันขอโทษที่ไม่ทันระวัง" ชายผู้วิ่งมาชนกล่าวคำขอโทษ
          "ขอโทษแล้วมันได้อะไรขึ้นมา"
          "ก็ฉันไม่ทันระวัง และก็ขอโทษแล้ว ถ้าไม่ให้อภัยแล้วท่านจะทำอย่างไรล่ะ"

          พอชายคนที่วิ่งมาชนพูดไม่ให้เกียรติแก่ตน ยิ่งทำให้ชายผู้ถือดอกไม้และผลไม้โมโหยิ่งขึ้น ทั้งสองจึงเกิดการต่อปากต่อคำกันด้วยอารมณ์ที่ฉุนเฉียวมากกว่าเดิม

          ในขณะที่ทั้งสองกำลังเถียงกันอยู่นั้น หลวงพ่อเจ้าอาวาสก็เดินผ่านมา เห็นต่างฝ่ายต่างก็ไม่ยอมที่จะให้อภัยหรือยอมความ จึงถามถึงเหตุที่ทำให้ทั้งสองทะเลาะกัน  พอทราบรายละเอียดทั้งหมดแล้ว จึงกล่าวเตือนสติว่า

          "การวิ่งไปชนคนอื่นนั้น เป็นเรื่องไม่สมควร ส่วนการที่คนอื่นขอโทษแล้วไม่รู้จักให้อภัย ก็เป็นเรื่องไม่สมควรเช่นเดียวกัน  การแสดงออกทั้งสองลักษณะนี้  เป็นนิสัยของคนที่ไร้สติ แต่การรู้จักยอมรับความผิดด้วยความจริงใจ   และการรู้จักให้อภัยที่มาจากใจ ทั้งสองอย่างนี้เป็นนิสัยของผู้มีปัญญา"

          เมื่อคนทั้งสองได้ฟังคำเตือนของหลวงพ่อ จึงได้ยุติการทะเลาะกัน และก้มหน้ารับฟังคำสอนจากท่าน ด้วยความรู้สึกสำนึกผิดต่อการกระทำที่ตัวเองแสดงออกไป เมื่อหลวงพ่อเห็นว่าทั้งคู่สงบสติอารมณ์ได้แล้ว จึงกล่าวให้ข้อคิดว่า

          "คนเราเกิดมาชีวิตหนึ่งนี้  มีหลายอย่างที่ต้องทำอีกเยอะ เช่นการรู้จักปฏิบัติต่อครูบาอาจารย์ พ่อแม่ ญาติพี่น้อง  และมิตรสหายผู้เป็นที่รักของเรา แม้ในด้านเศรษฐกิจ ก็ควรรู้จักระมัดระวังในการจับจ่าย  ในด้านครอบครัว   ก็ต้องรู้จักรักษาน้ำใจต่อบุคคลที่อาศัยอยู่ด้วยกัน ในด้านจิตใจ ก็ควรรู้จักอบรมจิตใจของตนให้สูงยิ่งขึ้น ต้องรู้จักสร้างอุดมการณ์ที่มีความดีเป็นเครื่องประดับชีวิต ถ้าทำได้เช่นนี้ ชีวิตที่เกิดมาจึงชื่อว่ามีคุณค่าในตัวเอง เพราะถ้าคิดดูให้ดี การที่เรามาทะเลาะกันเพียงเพราะเรื่องเล็กน้อย กลับทำลายความดีที่มีอยู่ในจิตใจของตนเองแล้ว มันเป็นสิ่งที่ไม่คุ้มค่าเลย รังแต่จะเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์เท่านั้นเอง"

          แล้วเราล่ะ... เรียนรู้ที่จะให้ชีวิตหนึ่งที่ได้มาเพียงน้อยนิดนี้อย่างคนที่เห็นคุณค่าของตัวเองหรือยัง ? ทุกอย่างเริ่มต้นได้  หากเรารู้จักทบทวนความผิดพลาดที่แล้วมา และรู้จักแก้ไขอย่างคนที่รักตัวเองมากกว่าเดิม

              คลิกอ่านความคิดเห็นของเพื่อนๆ ได้ที่นี่ค่ะ  






ขอขอบคุณข้อมูลจาก

จากหนังสือชีวิตวันนี้ที่วุ่นวายมีที่พักใจหรือยัง
โดย: ชุติปัญโญ
ภาพประกอบจาก Kapook.com

เรื่องน่าสนใจอื่นๆ
เรื่องที่คุณอาจสนใจ
ชีวิตนี้ช่างสั้นนัก รักกันไว้ดีไหม ? อัปเดตล่าสุด 9 ตุลาคม 2551 เวลา 14:45:41 34,943 อ่าน
TOP
x close