

เมื่อเวลา 17.10 น. วันที่ 20 ตุลาคม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาฯ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา และพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ ยังพระที่นั่งทรงธรรม พระเมรุท้องสนามหลวง เพื่อทรงประกอบพิธียกสัปตปฎลเศวตฉัตรยอดพระเมรุ พระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยานิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ โดยมีนายสมชาย วงศสวัสดิ์ นายกรัฐมนตรีและประธานคณะกรรมการอำนวยการจัดงานพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ นายเกรียงไกร สัมปัชชลิต อธิบดีกรมศิลปากร และคณะกรรมการฯ เฝ้าฯ รับเสด็จ
เมื่อเสด็จฯ ถึง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จฯ ประทับพระราชอาสน์ ที่มุขพระที่นั่งทรงธรรม นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี กราบบังคมทูลรายงานเบิกคณะกรรมการสร้างพระเมรุ จากนั้นโหรหลวงทำพิธีบูชาฤกษ์ที่ศาลบูชาเทวดา เสร็จแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ ไปยังที่ประดิษฐานสัปตปฎลเศวตฉัตร ทรงเจิมสัปตปฎลเศวตฉัตร นายเกรียงไกร สัมปัชชลิต อธิบดีกรมศิลปากร ถวายสายสูตร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินาถ ทรงถือสายสูตรยกยอดสัปตปฎลเศวตฉัตร ชาวพนักงานลั่นฆ้องชัย ประโคมสังข์ แตรและดุริยางค์ เจ้าหน้าที่ยกเชิญเศวตฉัตรสวมบนปลียอด พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทาน สายสูตรให้อธิบดีกรมศิลปากร รับไปผูกไว้ที่เสาบัวกลุ่ม
เมื่อเสร็จพิธี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พร้อมพระบรมวงศานุวงศ์ เสด็จฯ ประทับรถยนต์พระที่นั่งไฟฟ้า ทอดพระเนตรพระเมรุบริเวณด้านนอก จากนั้นเสด็จฯ ประทับลิฟต์ทางเสด็จฯ เพื่อขึ้นทอดพระเนตรพระเมรุด้านในอย่างละเอียด ใช้เวลากว่า 30 นาที ก่อนเสด็จพระราชดำเนินกลับ
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า เมื่อเวลา 15.30 น. ก่อนที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ จะเสด็จฯมาถึงมณฑลพิธีท้องสนามหลวง ได้เกิดฝนตกลงมาอย่างหนัก แต่ประชาชนที่มาเฝ้ารอรับเสด็จฯ ยังคงปักหลักกางร่มรอเฝ้าฯ จนกระทั่งใกล้เวลาเสด็จ ฝนที่ตกลงมาอย่างหนักก็ค่อยๆเบาลงและหายไปในที่สุด
นอกจากนี้ ตลอดเส้นทางเสด็จฯ มีประชาชนนั่งรอเฝ้ารับเสด็จ และร่วมใจกันโบกธงชาติ ธงสัญลักษณ์พระปรมาภิไธย พร้อมส่งเสียงแซ่ซร้อง "ทรงพระเจริญ"
นาวาอากาศเอกอาวุธ เงินชูกลิ่น ประธานคณะทำงานจัดงานพระเมรุฯ ให้สัมภาษณ์ว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงรับสั่งว่า พระเมรุมีความสวยงาม และเรียบร้อยดี และยังรับสั่งด้วยว่า สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ ทรงประสูติวันอาทิตย์ แต่สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ ทรงชื่นชอบสีฟ้า ซึ่งต่างกับพระองค์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล และสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ที่ประสูติวันอาทิตย์เหมือนกัน แต่จะชอบสีแดง พร้อมทั้งยังรับสั่งอีกว่า พระจิตกาธานมีความสวยงามและใหญ่ดี
สำหรับสัปตปฎลเศวตฉัตรยอดพระเมรุของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยานิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ มีลักษณะเป็นฉัตรผ้าทรงกลม 7 ชั้น สูง 4.55 เมตร คันฉัตรทำด้วยสแตนเลสทาสีทอง เมื่อนำมาสวมกับโครงปลียอดจะยึดด้วยน็อตสลักยาว 3 นิ้ว กำพูฉัตรเป็นไม้กลึงแกะสลักปิดทอง เพดานฉัตรดาดด้วยผ้าลินินสีขาว ระบายฉัตรแต่ละชิ้นเป็นผ้าลินินสีขาวซ้อนทับกัน 3 ชั้น ไล่ระดับ ที่ชายผ้าทุกชั้นขลิบแถบดิ้นสีทองโดยรอบ ที่โครงระบายฉัตรชั้นที่ 1 ห้อยดอกจำปาสีทอง 8 สาย สายละ 8 ดอก ฉัตรชั้นที่ 1 มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 0.855 เมตร สูง 0.375 เมตร
ฉัตรชั้นที่ 2 มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 0.625 เมตร สูง 0.32 เมตร ฉัตรชั้นที่ 3 มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 0.475 เมตร สูง 0.27 เมตร ฉัตรชั้นที่4 มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 0.375 เมตร สูง 0.25 เมตร ฉัตรชั้นที่ 5 มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 0.29 เมตร สูง 0.235 เมตร ฉัตรชั้นที่ 6 มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 0.225 เมตร สูง 0.22 เมตร ฉัตรชั้นที่ 7 มีเส้นผ่าศูนย์กลาง0.19 เมตร สูง 0.21 เมตร ยอดฉัตรเป็นไม้กลึงปิดทองสูง 1.16 เมตร ส่วนบนสุดของยอดฉัตรเมื่อประดิษฐานแล้วจะได้ติดสายล่อฟ้า ขนาด 9 มิลลิเมตร ร้อยซ่อนภายในแกนจากยอดฉัตรผ่านคันฉัตรสู่พื้นดิน
วันเดียวกัน เวลา 09.09 น. ที่มณฑลพิธีท้องสนามหลวง บริเวณพระเมรุสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ ได้มีพิธีบวงสรวง และอ่านโองการสักการะสดุดีครูช่าง โดยพระราชครูวามเทพมุนี หัวหน้าพราหมณ์เทวสถานโบสถ์พราหมณ์ เพื่อบอกกล่าวเทพยดา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ และขอพรครูช่าง หลังจากการจัดสร้างพระเมรุได้สำเร็จลุล่วงอย่างราบรื่น และสมพระเกียรติ โดยมี น.อ.อาวุธ เงินชูกลิ่น ประธานคณะทำงานออกแบบ และจัดสร้างพระเมรุ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วยนายเกรียงไกร สัมปัชชลิต อธิบดีกรมศิลปากร และผู้บริหารกรมศิลปากรเข้าร่วม
พระราชครูวามเทพมุนี เปิดเผยว่า การบวงสรวงครั้งนี้ ถือฤกษ์ศุภฤกษ์มงคลการ จันทรวาร เดือนสิบเอ็ด แรม 6 ค่ำ ฉนำพุทธศักราช 2551 ทั้งนี้ การประกอบพิธีสดุดีครูช่าง ถือฤกษ์ตามโบราณราชประเพณี ซึ่งตรงกับวันที่ 20 ตุลาคม นับเป็นวันประเสริฐของเหล่าคณะช่างผู้สร้างพระเมรุ ก่อนจะมีพิธียกสัปตปฎลเศวตฉัตรยอดพระเมรุ อันถือเป็นการสิ้นสุดการก่อสร้าง เพื่อขอบคุณครูช่างที่อำนวยให้การจัดสร้างพระเมรุ และอาคารประกอบสำเร็จลุล่วงด้วยดี และงดงามอย่างสมพระเกียรติ อีกทั้ง ยังเป็นการขอบคุณครูช่างที่ให้วิทยาการสืบทอดศิลปะของไทย และประการสุดท้ายถือ เป็นการส่งเสด็จสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ สู่สวรรคาลัย
ที่โรงแรมตรัง กรุงเทพมหานคร ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสด แดงเอียด อธิบดีกรมการศาสนา (ศน.) เป็นประธานการฝึกอบรมให้ความรู้แนวทางการจัดงานพระราชพิธีถวายดอกไม้จันทน์ ในงานพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ แก่เจ้าหน้าที่วัฒนธรรมจังหวัด 75 จังหวัด เพื่อชี้แจงแนวทางการปฎิบัติ และขั้นตอนการถวายดอกไม้จันทน์ รวมทั้ง มอบพระฉายาลักษณ์สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ เพื่อนำไปใช้ประกอบในพิธีถวายดอกไม้จันทน์ในแต่ละจังหวัดทั่วประเทศ
ด้านนายจำลอง ยิ่งนึก หัวหน้าฝ่ายพิธีการ กองพระราชพิธี สำนักพระราชวัง กล่าวว่า ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าถวายดอกไม้จันทน์ได้ตามซุ้มที่กรุงเทพมหานคร (กทม.) ซึ่งเบื้องต้นเตรียมไว้ 4 ซุ้ม บริเวณทิศเหนือของพระเมรุ รวมทั้งจุดต่างๆ ที่กทม.จัดไว้ ส่วนในภูมิภาคนั้น ได้มอบหมายให้ทุกจังหวัดทั่วประเทศ ประกอบพิธีโดยยึดตามพระราชพิธีในส่วนกลาง โดยแต่ละจังหวัดจะเลือกวัด หรือสถานที่ที่เป็นศูนย์กลางของประชาชน สำหรับจัดพิธีบำเพ็ญพระกุศล และถวายดอกไม้จันทน์ ทั้งนี้ พิธีถวายดอกไม้จันทน์จะเริ่มพร้อมกับมณฑลพิธีท้องสนามหลวง และให้แต่ละจังหวัดยึดตามพิธีการจากการถ่ายทอดสดทางสถานีโทรทัศน์ โดยประชาชนที่เข้าพิธีบำเพ็ญกุศล และถวายดอกไม้จันทน์ให้แต่งกายชุดดำสุภาพ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก มติชนออนไลน์
ภาพโดย คุณ วรพงษ์ เจริญผล และ คุณ ภาณุมาศ สงวนวงษ์






