"พงษ์เทพ"
หนักกว่านั้นก็คือมีใครไม่รู้มานอนลืมตาโพลงอยู่ข้างๆ เล่นเอาเกือบช็อกตายคาที่
ผมเองเคยมีประสบการณ์ในโรงแรมหรูหราชายทะเลที่จังหวัดระยอง แต่มั่นใจว่าเป็นเรื่องแปลกประหลาด น่ามหัศจรรย์และหาเหตุผลมาอธิบายตามหลักวิทยาศาสตร์ไม่ได้ นอกจากจะคิดว่าเป็นพลังจิต หรือไม่ก็ซัดไปที่ความบังเอิญเหลือเชื่อก็แล้วกัน
สาเหตุมาจากผมกับลูกเมียไปเที่ยวภาคตะวันออกกับบริษัททัวร์แห่งหนึ่ง จะเรียกว่าเป็นขาประจำก็ได้ เพราะเคยไปจังหวัดใกล้ๆ กับเขามาแล้วจนรู้จักคุ้นเคยกันดี
คราวนี้ไปเที่ยวระยองโดยรถทัวร์สองชั้นปรับอากาศ คนขับวัยสี่สิบเศษก็ขับรถดีไม่ผาดโผนเหมือนหนุ่มๆ ส่วนใหญ่ ลูกชายผมเพิ่งอายุได้ 7 ขวบค่อนข้างตื่นเต้นกับวิวสวยๆ ที่มีภูเขาและทะเล...ต้องยอมรับว่าไปกับทัวร์ดีๆ จะสะดวกสบายกว่าขับรถไปเองแน่นอน
มีรายการนำชมสวนสมุนไพรของสมเด็จพระเทพฯ แถมไม่ต้องเดินให้เมื่อยน่อง แต่นั่งรถพ่วงไปเรื่อยๆ มีไกด์อธิบายผ่านเครื่องขยายเสียงแจ้วๆ ให้ความรู้ตั้งแต่ต้นจนจบ
ไปไหว้พระและอนุสรณ์ของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เมื่อคราวยั้งทัพอยู่ที่ระยอง ก่อนจะเข้าตีจันทบุรี มีโบสถ์เก่าแก่ที่ครอบคลุมด้วยต้นไม้ใหญ่ 4 ชนิด คือ โพธิ์, ไทร, ไกร, กร่าง... หลังโบสถ์มีน้ำยาสมุนไพรรักษาโรคสารพัด โดยเฉพาะเบาหวาน กับเป็นยาอายุวัฒนะ ใครอยากทำบุญก็หย่อนเงินใส่ตู้ที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ จะมากน้อยก็ได้ตามศรัทธา ขอเข้าประเด็นเรื่องขนหัวลุก เมื่อเข้าไปพักโรงแรมระดับห้าดาวเลยนะครับ!
ถ้าเอ่ยชื่อรับรองว่ามีคนรู้จักเป็นส่วนใหญ่ เพราะความหรูหราไม่แพ้โรงแรมชั้นหนึ่งในกรุงเทพฯ ทุกห้องจะเปิดม่านออกไปเห็นวิวทะเลสีคราม หรือเขียวใสก็แล้วแต่จะมอง ห้องหับกว้างขวางเหลือเชื่อ มีโต๊ะรับแขกทั้งแบบฝรั่งและจีนอย่างละ 1 ชุด มีโต๊ะทำงานพร้อมคอมพิวเตอร์ ไม่นับโต๊ะเครื่องแป้ง ทีวีจอใหญ่ ตู้เสื้อผ้า เตียงขนาดคิงไซซ์...ห้องน้ำสะอาดและหอมกรุ่นจนน่านอนเล่นด้วยซ้ำ
หลังจากดื่มกินอาหารค่ำที่มีดนตรีขับกล่อมที่ห้องโถงชั้นล่าง พวกเราที่เริ่มรู้จักกันมาแต่แรกก็เริ่มสนิทสนมกันมากขึ้นทุกที...ราวสามทุ่มเศษก็แยกย้ายกันกลับเข้าห้อง โดยมีนัดวันรุ่งขึ้นคือ 6-7-8 หมายถึงตอนตื่นนอน-กินอาหารเช้าแบบบุฟเฟต์-และออกเดินทาง ประมาณสี่ทุ่มเศษ เราก็ปิดทีวีนอนโดยเปิดไฟไว้ในห้องน้ำดวงเดียว!
สรรพสิ่งเงียบและมืด ขณะที่ผมจมดิ่งลงสู่ห้วงภวังค์หนักอึ้ง ปล่อยให้ความรู้สึกว่างโหวง...จมลงไปทุกที...ทุกที...จนกระทั่ง ภาพต่างๆ ปรากฏขึ้นในสมองอย่างเงียบเชียบและเยือกเย็น...
ผมฝันเห็นคณะทัวร์กำลังนั่งรถที่แล่นไปท่ามกลางต้นไม้ใหญ่น้อยสองข้างทาง...จู่ๆ ก็มีเสียงโครมสนั่น ตามด้วยเสียงหวีดร้องแสบแก้วหู...ภาพต่อมาคือร่างของชายหญิงนอนจมกองเลือดอยู่ข้างทาง บ้างก็บิดตัวครวญครางด้วยความเจ็บปวด และบ้างก็นอนแน่นิ่งอยู่กับที่
เสียงร้องโอดโอยโหยหวนทำให้ผมสะดุ้งตื่น เหงื่อแตกพลั่กเต็มหน้า หัวใจเต้นโครมครามแทบจะกระทบโพรงอก หันไปมองลูกเมียที่หลับสนิทอยู่ในความสลัว นึกถึงความฝันก็ต้องหนาวเยือกไปทั้งตัว ปากคอแห้งผากจนต้องกลืนน้ำลายติดๆ กัน ช่างเถอะ! มันก็แค่ความฝันเท่านั้นเอง!
ขากลับกรุงเทพฯ พวกเรานั่งเงียบๆ คงจะคิดถึงบ้านตรงกัน...ก่อนจะถึงหนองมนที่จะแวะให้ซื้อของดังๆ เช่น ของทะเลและข้าวหลาม เหตุสยองก็อุบัติขึ้นกะทันหัน
"โครม!!" เสียงเหมือนฟ้าผ่าดังมาเข้าหู เสียงผู้หญิงวี้ดว้าย รถเบรกเอี๊ยดจนหัวคะมำไปตามๆ กัน...ผมตาพร่า เสียววูบไปถึงหัวใจเมื่อนึกถึงความฝัน หันไปกอดลูกชายเอาไว้แน่น เสียงโจษจันดังอื้ออึงไปทั้งรถ...ผมมองไปเห็นรถตู้ข้างหน้าพลิก ตะแคงอยู่ข้างทาง หญิงชายราว 4-5 คนนอนเลือดโชกร้องครวญคราง อีก 2 คนนอนแน่นิ่งเบิกตาโพลง...
ปรากฏว่ารถตู้คันหน้าเกิดอุบัติเหตุยางแตก พลิกตะแคงเพราะวิ่งมาด้วยความเร็วสูง...ภาพของคนเจ็บและคนตายไม่ผิดอะไรกับภาพที่ผมเห็นในความฝันแม้แต่น้อยนิด...ขนหัวลุกซีครับ! บรื่อออ...
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก
ภาพประกอบทางอินเทอร์เน็ต
คอลัมน์ ขนหัวลุก
โดย ใบหนาด