x close

10 ผู้หญิงเก่งและแกร่ง ยุค 2009

โอปอลล์

10 ผู้หญิงเก่งและแกร่งยุค 2009

         หญิงสาวสามช่วงวัย 20,30 และ 40 ที่ต่างสามารถฝ่าฟันอุปสรรคไปสู่สุดยอดแห่งชัยชนะแห่งวิชาชีพจนสังคมต่างยอมรับในความสำเร็จของพวกเธอ จะมีใครบ้างเราไปดูกันเลย

โอปอลล์-ปาณิสรา พิมพ์ปรุ

ฉันเป็นฉันเอง

         ในกระแสสังคมที่สาวสวย หมวย อึ๋มกำลังมาแรงแต่สาวน้อยมากพลังคนนี้ขอเลือกที่จะทวนกระแสด้วยการเป็นตัวของตัวเอง และโชว์ความสามารถในแบบที่เธอเป็น ซึ่งกว่าจะมาถึงจุดที่เธอมีผลงาน ทั้งงานภาพยนตร์ งานพิธีกร งานดี.เจ. และล่าสุดงานนักเขียนบทซิตคอม “เนื้อคู่ประตูถัดไป” เธอต้องประสบพบเจอกับอุปสรรค ว่าด้วยเรื่องการยอมรับจากสังคมไม่น้อยเลยทีเดียว

         "ชีวิตปอลล์ไม่เคยได้อะไรมาง่ายๆ ด้วยความที่เราเกิดมาไม่สวย เราต้องลำบากและพยายามทำอะไรมากกว่าคนอื่นๆ เขา ซึ่งแต่ก่อนปอลล์เคยเป็นคนที่ไม่มั่นใจในตัวเอง แถมยังโดนเพื่อนล้อว่าดำ ตอนนั้นปอลล์หนีไปขังตัวเองอยู่ในตู้แล้วร้องไห้ใหญ่เลย แต่พอคิดได้ว่าต่อให้ร้องไห้ไปจนตาย เราคงเปลี่ยนอะไรไม่ได้ ปอลล์เลยเรียนรู้ที่จะยอมรับตัวเอง และอยู่กับสิ่งที่เราเป็นอย่างมีความสุข ปอลล์อยากบอกน้องๆ ว่าคนเราอย่าให้ใครมาตัดสินอะไรในตัวเรา เพราะทุกคนมีคุณค่าในตัวเอง ตราบใดที่เรารู้ว่าเราเป็นใคร และกำลังทำอะไรอยู่เราสามารถประสบความสำเร็จในแบบที่เราเป็นได้"

         เหตุนี้เมื่อหาจุดยืนเจอ โอปอลล์จึงโลดแล่นในวงการอย่างใจที่เธออยากเป็น และในวันนี้เธอถือเป็นหนึ่งในไอดอลที่วัยรุ่นไทยไปจนถึงรุ่นเดอะ ต่างให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น

         "ปอลล์ดีใจที่เด็กๆ เดินมาบอกว่า พี่เป็นไอดอลของหนูนะ ซึ่งปอลล์จะรู้สึกดีมากๆ ที่ตัวเองเป็นตัวของตัวเอง และมีคนยอมรับในสิ่งที่เราเป็น ปอลล์ว่ายุคนี้ เราควรหยุดเฟกกันได้แล้ว และหยุดที่จะทำอะไรที่ไม่ใช่ตัวเอง และถ้าเราเป็นตัวของตัวเองเมื่อไหร่ คนจะชื่นชอบในแบบที่เราเป็นเองนั่นแหละ และสามารถเป็นแรงบันดาลใจให้แก่คนอื่นๆ ได้"

         ในวันนี้สาวโอปอลล์วัย 27 ผู้แสนอารมณ์ดีเดินมาถึงจุดที่เธอมีความสุขเสียเหลือเกิน เพราะไม่ว่าชื่อเสียงเงินทองเธอล้วนได้มาหมด แถมในวันนี้เธอยังได้กำไรจากการทำสิ่งที่รักอีกด้วย "มันไม่ใช่ก้าวย่างที่ประสบความสำเร็จที่สุดนะคะ แต่ปอลล์ก็ถือว่าตัวเองมีความสุขเสียเหลือเกิน เพราะปอลล์ได้ทำงานในสิ่งที่ตัวเองรัก ได้เจอคนดีๆ มีเพื่อนดีๆ มีหน้าที่การงานดี แล้วเวลาไปไหนมาไหน ทุกคนจะเข้ามายิ้ม เข้ามาทัก แค่นี้ปอลล์ก็มีความสุขมากแล้ว เพราะทุกสิ่งที่เราทำไปมีคนมองเราอยู่ และคิดว่าถึงเวลาที่เราต้องแบ่งปันแล้วล่ะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเงินทอง ความสุข หรือความช่วยเหลือใดๆ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นกับปอลล์เราจะไม่ยึดติด เพราะรู้ว่าสักวันหนึ่งอะไรๆ ก็ต้องเปลี่ยนแปลงไป"

จีจ้า ญาณิน

ญาณิน วิสมิตะนันทน์

นางเอกนักบู๊หนึ่งเดียว

         ชื่อเสียงและความสำเร็จที่กำลังก้าวไกลในระดับอินเตอร์ของผู้หญิงตัวเล็กๆ วัย 25 จีจ้า-ญาณิน วิสมิตะนันทน์ เบื้องหลังต้องแลกด้วยบาดแผลรอยฟกซ้ำบนร่างกาย แถมบางครั้งยังเสี่ยงอันตรายถึงชีวิต เพราะเธอคือนางเอกหนังแอ็กชั่นที่มีสโลแกนประจำตัวว่า "เล่นจริง เจ็บจริง"

         จากเด็กน้อยขี้โรค เริ่มฝึกฝนกีฬาเทควันโดเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง กระทั่งได้เป็นครูสอนเทควันโด เป็นนักกีฬาเทควันโดเยาวชนกรุงเทพฯ คว้าเหรียญทอง และก้าวกระโดดสู่การเป็นนางเอกหนังแอ็กชั่นเรื่องแรก "ช็อคโกแลต" ซึ่งหนังประสบความสำเร็จในระดับนานาชาติ ทำให้โลกได้รู้จักเธอ "จีจ้า-ญาณิน" แอ็กชั่นฮีโร่หญิงคนใหม่จากเมืองไทย เธอบอกว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นเพราะความรักที่มีต่อแม่ บวกด้วยโอกาสที่ผู้ใหญ่มอบให้ ทว่าสิ่งสำคัญที่เธอต้องมีคือความพยายาม ความอดทน และใจนักสู้ที่ไม่เคยยอมแพ้

"จ้าไม่เคยคิดมาเป็นนักแสดง ไม่มองตัวเองว่าเป็นคนเก่ง แต่เมื่อมีโอกาสเข้ามาแล้ว จ้าต้องพยายามเพราะชีวิตจ้าไม่ใช่ตัวเราคนเดียว ทุกวันนี้จ้าอยู่เพื่อคุณแม่และครอบครัว เนื่องจากเรามีทางเลือกไม่เยอะ หลายคนถามว่าทำไมถึงกล้าเจ็บขนาดนี้ จ้าบอกได้เลย ว่าแรงบันดาลใจที่สำคัญที่สุดคือคุณแม่ ชีวิตเราลำบากกันมามากแล้ว ยิ่งตอนคุณพ่อเสียยิ่งลำบากสุดๆ จ้าเคยไม่มีตังค์ไปโรงเรียน ทั้งเนื้อทั้งตัวเหลือ 50 บาท ข้าวกลางวันก็ไม่กิน กลัวเงินไม่พอ แต่ไม่อยากบอกแม่

         ถึงวันนี้เวลาทำงาน ทุกครั้งที่เจ็บจะนึกถึงแม่ก่อน และจะพยายามไม่ให้เขาเห็น เพราะรู้ว่าถ้าเห็น เขาต้องร้องไห้แน่ๆ บางทีต้องแอบแผลเอาไว้ รอให้แผลแห้งค่อยกลับไปให้เขาเห็น จ้าไม่อยากทำให้เขาร้องไห้หรือเจ็บแทนเรา แต่อยากบอกเขาว่าสิ่งที่ทำทุกอย่างนี้ก็เพื่อแม่ สิ่งที่ทำให้กล้าขึ้นไปอยู่บนที่สูง กล้ากระโดดจากที่สูง ก็คือแม่ เขาไม่ได้บังคับให้เราทำ แต่จ้าเคยมีจุดที่ต่ำสุด แต่เราไม่ได้แย่อะไรมากมาย เพราะเรายังมีมือมีเท้า มีหัวคิด มีแรง มีกำลังใจทำต่อไป

         จ้าต้องขอบคุณคนที่เขาให้เกียรติเรา บางคนยกให้จ้าเป็นฮีโร่และจ้าพยายามทำงานที่ทำอยู่ตรงนี้ให้สมกับคำที่เขาให้ไว้ จ้าอยากเป็นจาง ซิยี่ หรือมิเชลล์ โหยวซึ่งเขาเล่นได้ดีทั้งบู๊และดราม่า และคนทั่วโลกยอมรับในความสามารถ และอยากบอกกับคนอื่นๆ ว่า ฮีโร่มีอยู่ในตัวทุกคน แค่คุณต้องหาให้เจอว่าตัวเองชอบอะไรอยากทำอะไร แล้วมุ่งตรงไปด้านนั้นๆ ที่เหลือคือความพยายาม อดทนรอโอกาส และอย่ายอมแพ้ ต้องมีสักวันที่เป็นของคุณแน่นอน"

เม-กุลพัชร์

กุลพัชร์ กนกวัฒนาวรรณ

สาวรุ่นใหม่สไตล์ Home Cook

         หลายคนมองว่าการทำขนมประเภทเบเกอรี่หรือคุกกี้เป็นเรื่องยุ่งยาก หากไม่มีใจรักชอบ ลงทุนเข้าคอร์สเรียนทำขนมเป็นเรื่องเป็นราว คงไม่มีทางได้ลิ้มรสขนมอร่อยๆ ฝีมือตัวเอง ไม่ต้องคิดไกลถึงขั้นเปิดกิจการร้านทำขนมหรอกค่ะ เพราะนั่นยิ่งเป็นไปไม่ได้...แต่สำหรับคนรักขนมอย่าง เม-กุลพัชร์ กนกวัฒนาวรรณ สาววัย 27 ทุกอย่างที่กล่าวมาเป็นไปได้ด้วยความชอบและตั้งใจทำอย่างจริงจังของเธอ

         "เมเริ่มสนใจทำขนมตอนเรียนอยู่ชั้นม.5 อาศัยเปิดตำราขนมแล้วทำตาม ลองผิดถูก แล้วทำขนมให้คนใกล้ชิดชิม พอใกล้จะจบก็มีความรู้สึกว่าเมไม่อยากเข้ามหาลัย อยากเปิดร้านขายขนม ก็เล่าโปรเจ็กต์นี้ให้พ่อฟัง ท่านบอกดีแต่เก็บไว้ก่อน ท่านอยากให้เรียนหนังสือ และระหว่างนั้นก็ให้ไปคิดมาว่าอยากทำอะไร ต้องเตรียมอะไรบ้าง ช่วงปิดเทอมเมไปสมัครทำงานโรงแรมเพื่อทำเบเกอรี่และเรียนรู้ระบบของเขา พอทำไปแล้วรู้เลยว่านี่แหละงานของฉัน ก็ตัดสินใจเลยว่าเมจะเดินในเส้นทางของคนทำขนมตั้งแต่นั้น"

         ทว่าชื่อของสาวเมเริ่มเป็นที่รู้จักในวงการเบเกอรี่ไม่ใช่ด้วยรสชาติจากขนมของเธอ แต่กลับเป็นผลงานหนังสือ May Made ที่สอนการทำขนมแบบโฮมเมดคุกกิ้ง ซึ่งสร้างปรากฏการณ์ขายได้ขายดีในเวลาอันรวดเร็ว จนแม้แต่เธอเองยังประหลาดใจ "ตอนแรกกลัวเหมือนกันเพราะเมไม่มีเครดิต ไม่ใช่คนดัง ไม่มีร้านของตัวเอง เมเป็นแค่เด็กที่ฝันอยากทำขนมมีร้านขายขนมของตัวเอง แค่อยากให้คนคอเดียวกันคืออยากทำขนมกินเอง ทำเป็นงานอดิเรก หรือทำให้แฟน พี่ พ่อแม่ ได้ประโยชน์จากหนังสือ เพราะจุดนี้เลยทำให้ May Made โดนใจคนเยอะ"

         วันนี้ ความรักในขนมพาเธอก้าวมาไกลอีกขั้น คือการเปิดร้านขนมของตัวเองชื่อ "After You" ซึ่งตอนนี้มีถึงสองสาขาในย่านทองหล่อกับอารีย์ ขนมสูตรใหม่ๆ จากความคิดสร้างสรรค์ของคนรุ่นใหม่ บวกรสชาติอร่อยถูกใจลูกค้า ทำให้ร้านโด่งดังแบบปากต่อปากในเวลาไม่กี่เดือน

         "หลายคนชมว่าเมเก่ง เมโชคดีที่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร แต่เมจะบอกเขาเสมอว่า เมไม่ได้โชคดี แต่เป็นเพราะเมไม่เคยทิ้งโอกาสที่เข้ามาตั้งแต่เด็ก ใครชวนทำงานประดิดประดอย ทำขนม เมก็ทำ แต่พอเราอยากทำขนมเอง ถึงแม้ไม่มีอุปกรณ์ ต้องใช้มือคำนวนส่วนผสม เมก็ประยุกต์สิ่งที่มีมาทำได้ ตอนนี้เมพอใจกับความสำเร็จตั้งแต่เปิดร้านแรกแล้ว ส่วนร้านต่อๆ ไปถือเป็นกำไรชีวิตค่ะ"

สุฐิตา เรืองรองหิรัญญา

สุฐิตา เรืองรองหิรัญญา

ผู้หญิงหลายมิติ

         สาวคนนี้เข้าสู่วงการบันเทิงตั้งแต่อายุ 17 ปี เป็นที่รู้จักในฐานะนักร้องสาววัยรุ่นของค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ ก่อนจะเข้าสู่แวดวงการแสดง ตามด้วยการเป็นพิธีกรและผู้ประกาศข่าว จนถึงบทบาทการเป็นโปรดิวเชอร์ภาพยนตร์ในวันนี้

         ถ้าจะบอกว่าสาววัย 25 คนนี้มีเส้นทางชีวิตที่โรยไปด้วยความสำเร็จ ก็คงเป็นคำกล่าวที่ไม่เกินเลยจากความเป็นจริงเท่าไหร่ แล้วเบื้องหลังความสำเร็จของเธอล่ะคืออะไร?

         "ตัวเองจะเป็นคนที่แปลกอยู่อย่างหนึ่งคือ ถ้างานยิ่งยากก็ยิ่งจะเพิ่มความพยายามเข้าไปอีก ไม่มีมานั่งกลัวความยากหรืออุปสรรคค่ะ อย่างช่วงที่เข้าวงการใหม่ๆ ไม่ใช่แค่ว่าเป็นนักร้องอย่างเดียว แต่ว่าต้องเตรียมตัวสอบเอ็นทรานซ์ควบคู่ไปด้วย คือเจองานเข้าในชีวิตทั้งสองเรื่องเลยล่ะ ตอนนั้นก็รู้ว่ามันเป็นสิ่งที่ยากมากแต่ก็พยายามที่สุดค่ะ และท้ายที่สุดเราก็ไปถึงความสำเร็จในชีวิตคือสอบติดที่ธรรมศาสตร์ และการทำงานก็ไม่สะดุดเลยด้วย เป็นแนวทางในการใช้ชีวิตที่ยึดถือมาจวบจนปัจจุบันค่ะ

         การที่มีทุกวันนี้ ส่วนหนึ่งจะเป็นคนที่ชอบประเมินความสามารถและขีดจำกัดของตัวเองอยู่เสมอ แต่ก็ไม่ให้ขีดจำกัดตรงนั้นมาเป็นกรงขังความฝันของตัวเองนะคะ ยากง่ายอย่างไรก็ลงมือปฏิบัติดูก่อน จะไม่บอกว่าทำไม่ได้แล้วเปลี่ยน หรือไม่ทำไปเลย อย่างช่วงที่เปลี่ยนแปลงจากการเป็นนักร้องมาเป็นนักแสดง ก็บอกกับตัวเองว่างานเพลงของเราน่าจะอิ่มตัวแล้วล่ะ จึงมองหาศักยภาพของตัวเองเพิ่มว่ามีอยู่ตรงไหน ในที่สุดก็พบว่าการแสดงน่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด ถือเป็นโอกาสที่ดีมากๆ ที่ทางช่อง 7 ให้ลองเล่นละครดู

         ส่วนการกำกับภาพยนตร์ก็เพราะว่าเป็นสาขาที่เรียนในระดับปริญญาตรี ส่วนเรื่องการเป็นผู้ประกาศข่าวกีฬาก็สนใจมาตั้งแต่เด็ก จนวันหนึ่งทางช่องติดต่อมาว่าสนใจทำหน้าที่ตรงนั้นมั้ย เมื่อโอกาสมาถึงขนาดนี้แล้วก็คว้าไว้ทันทีค่ะ แต่มีพื้นฐานเพียงแค่ความชอบดูกีฬาประเภทต่างๆ เท่านั้น ไม่ได้ร่ำเรียนทางการกีฬามาโดยตรง ดังนั้นจึงให้ความสำคัญกับการหาความรู้มากๆ จากที่ดูเล่นๆ ต้องเพิ่มดีกรีขึ้นเป็นว่าดูเพื่อนำมาวิเคราะห์และส่งสารออกไป ดังนั้น การเป็นผู้ประกาศข่าวกีฬาจึงเป็นงานที่ยากที่สุด ท้าทายที่สุดแล้วก็สนุกที่สุดเท่าที่เคยสัมผัสมาด้วยค่ะ"

         อีกกลเม็ดที่ทำให้ผู้หญิงที่ชื่อสุฐิตาคนนี้ได้ไต่บันไดชีวิตจนคว้าชัยมาได้ทุกๆ ครั้งก็คือ การน้อมเอาสิ่งต่างๆ ที่อยู่รอบๆ ตัวทั้งด้านที่เป็นลบและบวกมาเป็นครู

         "ทุกอย่างรอบตัวเราสามารถน้อมนำมาเป็นประสบการณ์ในการใช้ชีวิตได้แทบทั้งนั้น คนที่ไม่ประสบความสำเร็จ เราก็ได้เรียนรู้จากเขาว่าทำไมเขาจึงเป็นเช่นนั้น ซึ่งเราก็จะระวังไม่ให้เกิดขึ้นกับตัวเราค่ะ หรืออย่างคนที่ประสบความสำเร็จ เราก็เอามาเป็นแนวทางในการเดินตาม ทุกๆ คนสามารถเป็นครูในการใช้ชีวิตทั้งหมดนั่นแหละค่ะ"

วนิษา เรซ

วนิษา เรซ

เจ้าตำรับ "อัจฉริยะสร้างได้"

         ฮือฮามาแล้วรอบหนึ่งกับคำว่า "อัจฉริยะสร้างได้" และเจ้าของต้นตำรับผู้นำความคิดนี้มาขยายวงกว้างในสังคมไทยก็คือ หนูดี-วนิษา เรซ หญิงสาววัย 31 และวันนี้เธอก็ถือว่าเป็นหนึ่งในผู้หญิงเก่งที่เพียบพร้อมไปด้วยรูปโฉมและความสามารถ โดยเธอกุมบังเหียนทั้งผู้บริหารโรงเรียน "วนิษา" และเจ้าของบริษัท "อัจฉริยะสร้างได้" รวมถึงผู้บริหาร "มูลนิธิมหาสมุทรแห่งปัญญา" ที่เธอก่อตั้งขึ้นพร้อมกับน้องสาวสุดที่รักของเธอ

         แต่กว่าจะถึงวันนี้ได้ เธอต้องเรียนรู้ที่จะรู้จักตัวเองเสียก่อนและค่อยๆ ก้าวเข้าหาสิ่งที่เธอรัก โดยไม่หลงลืมวิถีชีวิตที่น่ายินดีระหว่างทาง...

         "หนูดีคิดเสมอว่าการใช้ชีวิตของคนเราควรยึดหลักคิด "วิถีคือเป้าหมาย" ซึ่งเป้าหมายเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จ แต่ระหว่างทางที่ไปสู่เป้าหมายเราต้องใช้ชีวิตให้เป็นเรา ไม่ควรละทิ้งวิถีชีวิตที่น่าชื่นชม ถ้าจะให้หนูดีแนะนำน้องๆ คงเป็นเรื่องอย่าเร่งตัวเองในการที่จะรู้ว่าเราชอบอะไร ไม่ชอบอะไร น้องๆ ควรดูไปเรื่อยๆ และเมื่อเจอสิ่งที่ชอบแล้ว ก็ต้องดูต่อไปอีก เพราะระหว่างทางเราอาจจะมีอะไรที่ชอบอีกก็เป็นได้ ดังนั้น อย่าไปยึดติดแค่เพียงเป้าหมายที่แน่นอนตายตัว เพราะไม่มีใครบอกได้ว่าอีก 5 ปีเราจะทำอะไรต่อไป

         ดูอย่างหนูดี ตั้งแต่เด็กมีความฝันเยอะมาก อยากเป็นโน้นเป็นนี้ โชคดีที่คุณแม่ของหนูดีเป็นคนเข้าใจและคอยสนับสนุน หลังจากหนูดีจบม.6 หนูดีขอคุณแม่ไม่ต่อปริญญาตรีในทันที แต่ขอไปเที่ยวและหาตัวเองให้เจอก่อน ครั้นพอครบหนึ่งปี ก็บินไปเรียนปริญญาตรีสาขาการศึกษา เรียนอยู่สองปีก็คิดว่าไม่ใช่ พอกลับเมืองไทยก็มาปรึกษาคุณแม่ว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่หนูดีต้องการ เลยดร็อปเรียนไว้ก่อนหนึ่งปี ค่อยกลับไปปรึกษาอาจารย์ใหม่ คราวนี้อาจารย์เลยแนะให้เรียนคณะ Family Studies ซึ่งเกี่ยวกับครอบครัวศึกษา ทำอย่างไรให้ครอบครัวมีความสุข หนูดีเรียนด้วยความรู้สึกสนุกมาก

         พอจบปริญญาตรีก็กลับมาเป็นอาสาสมัครให้แก่มูลนิธิมะขามป้อม และสมัครเรียนไปที่ฮาร์วาร์ดคณะ Mind Brain Education ไว้ด้วย คราวนี้พอไปเรียนก็รู้สึกว่า การตัดสินใจครั้งนี้ถูกที่สุดในชีวิต เพราะเรารู้จักตัวเราเองมากพอแล้ว พอเรียนจบและกลับมาเมืองไทยจึงนำความรู้เต็มถ้วยนี้มาแบ่งปัน โดยเขียนพ็อกเก็ตบุ๊กออกมา แค่หนึ่งปีก็มีคนรู้จักหนูดีเยอะมาก หนูดีจึงอยากบอกใครต่อใครว่าเส้นทางชีวิตหนูดีอาจเหมือนประสบความสำเร็จก่อนอายุ 30 ปี แต่ตลอดมาจังหวะชีวิตหนูดีช้ากว่าคนอื่นมาตลอด ดีที่เรารู้จักตัวเองและรู้จักใช้ชีวิตระหว่างทางก่อนเดินไปสู่เป้าหมาย"

         ด้วยพลังชีวิตมากมายบวกกับแนวคิดที่แน่วแน่และการรู้จักตัวเองอย่างแท้จริง คงทั้งหมดนี้แหละที่ทำให้เธอทั้งประสบความสำเร็จและเหนืออื่นใดก็คือมีความสุขอย่างเต็มเปี่ยม

         วันนี้ขอนำเสนอแค่ 5 ผู้หญิงเก่งและแกร่ง ยุค 2009 ก่อนนะคะ ส่วนที่เหลืออีก 5 คน มาติดตามได้ในวันพรุ่งนี้ค่ะ 

   

ขอขอบคุณข้อมูลจาก


ประจำวันพุธที่ 25 เดือนมีนาคม 2552
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก LIPS , genesis.co.th

เรื่องที่คุณอาจสนใจ
10 ผู้หญิงเก่งและแกร่ง ยุค 2009 อัปเดตล่าสุด 3 เมษายน 2552 เวลา 17:01:04 32,382 อ่าน
TOP