x close

6 วิธีง่ายๆ ทำให้ใจเปี่ยมสุข




6 วิธีง่ายๆ ทำให้ใจเปี่ยมสุข (Men’s Health )

คอลัมน์ Easy Ways to Clear Your Mind
เรื่องโดย  Nonny 

          สังคมสมัยนี้เต็มไปด้วยการแข่งขัน  ส่งผลให้คนจำนวนไม่น้อยมีปัญหาด้านความเครียดและความไม่สบายใจตามมา เมื่อเกิดความเครียดและภาวะที่จิตใจไม่สบาย  ทำให้อีกสารพัดโรคพาเหรดกันถามหาคุณโดยมิได้นัดหมาย เป็นเรื่องยากที่จะสามารถหลีกหนีปัญหาหรือความเครียดรอบๆ ตัวไปได้

          แต่ก็มีอีกหลายวิธีที่ช่วยให้คุณผ่อนหนักเป็นเบาได้ เริ่มต้นจากการสร้างความสุขให้เกิดขึ้นในใจของคุณก่อน เพราะเมื่อจิตใจเป็นสุขจะสามารถรับมือกับสารพัดปัญหารอบตัวได้เป็นอย่างดี Men’s Health ฉบับนี้ขอแนะนำวิธีง่ายๆ ที่ช่วยให้จิตใจมีความสุข เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้คุณ

 อย่าติดอุปกรณ์สื่อสารมากเกินไป 

          ปัจจุบันมีอุปกรณ์เทคโนโลยีใหม่ๆ เกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก เพื่อให้การใช้ชีวิตของคนยุคใหม่สะดวกสบายขึ้น ยกตัวอย่าง เช่น การใช้อุปกรณ์แบล็คเบอร์รีที่สามารถเช็คอีเมลได้ทุกที่ทุกเวลา อย่างไรก็ตามการใช้อุปกรณ์เทคโนโลยีอย่างพร่ำเพรื่อ บางครั้งอาจทำให้คนรอบข้างคุณไม่สบายใจ กรณีที่คุณมีประชุมงานสำคัญ แต่คุณกลับสนใจกับอุปกรณ์มือถือมากกว่าบทสนทนาในการประชุม จนก่อให้เกิดประเด็นวิพากษ์วิจารณ์ว่าเทคโนโลยีสื่อสารอันทันสมัยกำลังทำลายบรรยากาศการทำงาน ไม่เพียงเท่านั้นยังพลอยทำให้คนรอบข้างอารมณ์เสียตามไปด้วย

          ทอม มัสแบ็ก บรรณาธิการบริหารอาวุโส ยาฮู! ฮอตจ็อบส์ บอร์ดหางานออนไลน์ ได้ทำการสำรวจผู้ตอบแบบสอบถาม 1 ใน 3 จากกว่า 5,000 คน โดยพวกเขาเผยว่า เช็คอีเมลระหว่างการประชุมอยู่บ่อยๆ ในการสำรวจยังพบว่า อุปกรณ์อย่างแบล็คเบอร์รีทำลายสมาธิ และนำไปสู่การสูญเสียประสิทธิภาพการทำงาน เนื่องจากคนไม่สนใจงานของตัวเอง ในงานวิจัยอีกชิ้นหนึ่งของ ฮอตจ็อบส์ ยังระบุว่า ผู้ตอบแบบสอบถามเกือบ 1 ใน 5 บอกว่า ถูกตักเตือน เพราะใช้อุปกรณ์ไร้สายไม่รู้จักเวลา

 ขยันทำงานช่วยให้กาย-ใจ แข็งแรง 

          ใครบางคนเคยพูดไว้ว่า  มีงานเยอะดีกว่าไม่มีงานทำยิ่งในช่วงเศรษฐกิจแบบนี้  ใครมีงานทำก็ถือว่าโชคดีแล้ว  แม้ว่าคุณจะบอกว่างานที่ทำอยู่เครียด  แถมงานก็เยอะขึ้นทุกวัน แต่ถ้าลองคิดให้ดี  การไม่มีงานทำเลยจะยิ่งเครียดกว่าหลายเท่าตัวนัก เพราะจะมีสารพัดปัญหารุมเร้าเข้าหาคุณทันที

          บางคนที่ถูกปลดออกจากงานเนื่องจากพิษเศรษฐกิจทำให้สุขภาพกาย สุขภาพใจเขาแย่ลงโดยไม่รู้ตัว ผลการศึกษาล่าสุดจากคณะสาธารณสุข  มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดสหรัฐอเมริกา พบว่า คนที่ถูกปลดออกจากงานอย่างกะทันหันมีความเสี่ยงเป็นโรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมองเพิ่มขึ้น เคต สตัลลี นักวิจัยบอกว่า ในภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันการตกงานเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ และเกิดได้กับทุกคนและส่งผลเสียต่อสุขภาพของพวกเขาตามมา

          ผู้ที่ถูกปลดออกจากงานสุขภาพจะแย่ลง  โดยเฉพาะคนที่เคยสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์มาโดยตลอด  เมื่อโดยปลดออกจากงานแล้วกลับพบว่าสุขภาพเสื่อมลงถึง 80 เปอร์เซ็นต์ และอีก 50 เปอร์เซ็นต์ เป็นกลุ่มที่มีสุขภาพปานกลางหรือไม่ค่อยดีนัก ขณะที่ศาสตราจารย์เดวิดวิลเลียมส์ จากคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด บอกว่า ยุคนี้ไม่ใช่ว่าเราจะเน้นการดูแลสุขอนามัยอย่างเดียว แต่ต้องทำความเข้าใจด้วยว่าผลกระทบจากการตกงานส่งผลโดยตรงต่อสุขภาพกายและใจในระยะยาวของเรา

 เบี่ยงเบนความสนใจจากปัญหาชั่วคราว 

          ผมไม่ได้แนะนำให้คุณวิ่งหนีปัญหา แต่เมื่อสารพัดปัญหาประเดประดังเข้ามาจนทำให้คุณเครียด บางคนถึงกับกินไม่ได้นอนไม่หลับเมื่อคุณยังแก้ปัญหาไม่ตกในขณะนั้น แนะนำให้คุณพาตัวเองไปทำอย่างอื่นก่อน เช่น ออกกำลังกาย พักผ่อนที่ชายทะเล หรือนอนหลับพักผ่อนให้เต็มที่ แล้วค่อยหาทางแก้ปัญหาใหม่งานวิจัยชิ้นหนึ่งพบว่า การหันเหความสนใจไปจากปัญหาชั่วคราว จะทำให้คุณมีสมาธิมากขึ้นในการตัดสินใจกับปัญหาเฉพาะหน้า

          เดวี  เลอรูจ ศาสตราจารย์ด้านการตลาดของมหาวิทยาลัยทิลเบิร์กในเนเธอร์แลนด์ได้ทำการวิจัยเรื่องนี้เพราะต้องการหาคำตอบว่าการหันแหสมาธิจากการที่ต้องตัดสินใจอย่างกะทันหัน เพื่อประเมินข้อดีและข้อเสียของผลิตภัณฑ์ชนิดหนึ่งที่ใช้ในชีวิตประจำวัน  (เป็นตัวอย่างสิ่งของที่นำมาให้กลุ่มตัวอย่างทดสอบ)

          เขาบอกด้วยว่าการเบี่ยงเบนความสนใจจากการตัดสินใจต่อเรื่องเฉพาะหน้า โดยหันไปทำอย่างอื่นแทนจากนั้นค่อยมาตัดสินใจในเรื่องนั้นอีกครั้งพบว่า พวกเขามีกระบวนการคิด การตัดสินใจที่แยบยลมากยิ่งขึ้น และสามารถชี้ให้เห็นอย่างเป็นเหตุเป็นผลว่า ผลิตภัณฑ์ที่นำมาทดสอบนั้นมีข้อดีและข้อเสียอย่างไรบ้าง

 ปล่อยให้ตัวเองฝันกลางวันเสียบ้าง 

          การฝันกลางวันไม่ได้หมายความว่าบุคคลนั้นเป็นคนเลื่อนลอยหรือเพ้อฝันไปวันๆ หนึ่ง แต่ในความเป็นจริงแล้วการฝึกตัวเองให้ฝันกลางวันเสียบ้างก็เป็นผลดีกับสมองของคนเรา เนื่องจากมีผลการวิจัยบ่งบอกว่าขณะที่ความคิดของเราล่องลอยไปนั้นสมองจะทำงานควบคู่ไปด้วย เพื่อหาทางแก้ปัญหาที่เรากำลังเผชิญหน้าในชีวิตประจำวัน

          เมื่อไม่นานมานี้นักวิจัยได้สแกนสมองของอาสาสมัครที่นอนอยู่ภายในอุปกรณ์ที่สร้างด้วยสนานแม่เหล็กไฟฟ้า  พบว่าสมองของเราจะทำงานหนักขึ้น เพื่อขบคิดปัญหาระหว่างที่เราฝันกลางวัน และยังพบว่าสมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาที่มีความซับซ้อนสูง มีการทำงานหนักเช่นกัน ผลการศึกษานี้ได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร Proceedings of the National Academy of Sciences ผลการวิจัยยังระบุด้วยว่าการฝันกลางวันอาจเป็นวิธีแก้ปัญหาที่ดีกว่าการพยายามบีบคั้นความคิดเพื่อให้ได้คำตอบต่อการแก้ไขปัญหาเรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่างกะทันหัน

          คาลินา  คริสทอฟฟ์ นักวิทยาศาสตร์ด้านระบบประสาท ผู้อำนวยการห้องวิจัยของมหาวิทยาลัยบริติชโคลัมเบียในแคนาดา  ซึ่งร่วมทำงานวิจัยครั้งนี้บอกว่าคนทั่วไปมักคิดไปเองว่าคนที่ใจลอย ฝันกลางวันไปเรื่อย มักเป็นพวกจิตว่าง ซึ่งจากการศึกษาล่าสุดได้ผลออกมาในทางตรงกันข้าม กล่าวคือระหว่างที่ดูเหมือนล่องลอยอยู่นั้น สมองของเราจะทำงานหนักกว่าเดิมเสียอีก คนที่ปล่อยให้ตัวเองฝันกลางวันจะสามารถนำความคิดที่อยู่ในสมองออกมาใช้งานได้มากกว่า

 นอนตื่นสายบ้างในวันหยุด 

          ผมไม่ได้แนะนำให้คุณเป็นคนนอนกินบ้านกินเมืองนะครับ แต่อยากบอกคุณว่าในช่วงวันสุดสัปดาห์  หรือช่วงที่ลาพักร้อน และคุณไม่ได้มีธุระที่ไหน แนะนำว่าให้คุณหาเวลาไว้สำหรับการนอนตื่นสายบ้าง เพราะมีผลการวิจัยที่ทำโดยการทดลองกับกลุ่มตัวอย่างระบุว่าการหาเวลานอนตื่นสายบ้างจะช่วยให้สมองของคุณปลอดโปร่ง ขบคิดปัญหาอะไรก็ง่ายขึ้น นักวิจัยได้นำคนสองกลุ่มมาเปรียบเทียบกันโดยการมอบหมายภารกิจที่ใช้วัดปฏิกิริยาการตอบสนอง โดยระหว่างการทดลอง อาสาสมัครจะเข้านอนและตื่นตามเวลาปกติ พบว่าพวกที่นอนหัวค่ำมีแนวโน้มตื่นก่อนคนนอนดึก 4 ชั่วโมง

          ผลการทดลองยังพบว่า  อาสาสมัครทั้งสองกลุ่มปฏิบัติภารกิจได้ดีพอๆ กัน หลังตื่นนอนได้ไม่นาน แต่เมื่อเวลาผ่านไปประมาณ 9 ชั่วโมงแล้ว ผลปรากฏว่าคนที่นอนดึกแต่ตื่นสายจะทำภารกิจได้เร็วกว่าและมีปฏิกิริยาตื่นตัวที่ดีกว่า ดร.ฟิลิปเป เปโนช์ จากมหาวิทยาลัยแลจในเบลเยียม ซึ่งเป็นผู้นำการวิจัยครั้งนี้เปิดเผยว่า แม้ทั้งสองกลุ่มจะตื่นนอนมานานพอๆ กัน แต่ดูเหมือนว่าคนที่นอนแต่หัวค่ำจะรู้สึกง่วงมากกว่า ซึ่งจากการสแกนสมองพบว่าสมองส่วนที่เชื่อมโยงกับความสนใจสิ่งรอบตัวของพวกเขาเริ่มทำงานลดลงแล้ว

 มอบความรักให้แก่กัน 

          ว่ากันว่าความรักเหมือนเป็นยาขนานเอกที่ช่วยเติมเต็มชีวิตให้มีความสุขและจิตใจพองโต  ความรักยังเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงให้บุคคลนั้นมีพลังในการทำงานและใช้ชีวิต งานวิจัยจากเว็บไซต์ confetti.co.uk เปิดเผยข้อมูลว่าทีมนักวิจัยได้สอบถามสามีภรรยาประมาณ 3,000 คู่ เกี่ยวกับเคล็ดลับในการครองเรือนและสรุปผลออกมาว่า หลังแต่งงานแล้วสามีภรรยาควรบอกรักกันอย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง มีเพศสัมพันธ์กัน 3 ครั้งต่อสัปดาห์ กินข้าวด้วยกันภายใต้บรรยากาศโรแมนติกเดือนละ 2 ครั้ง และนอนอิงแอบแนบชิดกันบนโซฟาที่บ้านสัปดาห์ละ 3 คืน

          ทีมนักวิจัยบอกด้วยว่าการโทรศัพท์หากันวันละ 3 ครั้ง ส่งอีเมล หรือส่งข้อความระหว่างอยู่ที่ทำงานจะช่วยให้ความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่มั่นคง แม้ว่าคุณทั้งสองจะมีงานอดิเรกที่ทำร่วมกันแล้วก็ตาม แต่ต่างฝ่ายควรมีเวลาส่วนตัวบ้าง เช่น ออกไปเที่ยวกับเพื่อนของตัวเองเดือนละ 2 ครั้ง นักวิจัยกล่าวว่า การมีลูกหลังจากแต่งงานกันสองปังจะช่วยประคับประคองอารมณ์โรแมนติกของคนทั้งคู่ให้ยั่งยืนได้อีกด้วย


  คลิกอ่านความคิดเห็นของเพื่อนๆ ได้ที่นี่ค่ะ




ขอขอบคุณข้อมูลจาก

เรื่องที่คุณอาจสนใจ
6 วิธีง่ายๆ ทำให้ใจเปี่ยมสุข อัปเดตล่าสุด 3 กันยายน 2552 เวลา 11:01:31 38,123 อ่าน
TOP